บท
ตั้งค่า

chapter6-2

หลังจากที่ผ่านภารกิจเรือโจรสลัดผีสิงไปนั้นตัวของเรย์และหน่วยที่สี่ก็ไม่ได้รับภารกิจใดๆอีกเพราะยังไม่มีงานจ่ายมาให้เลยซึ่งแน่นอนโดยส่วนตัวของเขาเองนั้นย่อมต้องชอบให้เป็นแบบนี้อยู่แล้วหากแต่กลับเกิดปัญหากับคนอื่นแทน

“ตกลงว่าพวกนายมีปัญหาเรื่องค่าเช่าของหอพักในเดือนนี้ เลยอยากจะขอให้หน่วยที่สี่ไปรับภารกิจมาสินะ” เรย์สรุปปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่อลันกับคาซึกิต้องมาพูดกับเรย์ในเรื่องนี้เป็นเพราะว่าหากเข้าร่วมหน่วยทั้งเจ็ดแล้วจะไม่สามารถรับภารกิจเองได้ต้องให้หัวหน้ารับภารกิจมาให้เท่านั้น

“ว่าแต่พวกนายไปใช้จ่ายกันอีท่าไหนฟะ ถ้าให้คำนวณคร่าวๆมันก็น่าจะพอใช้ทั้งเดือนไม่ใช่เรอะ” เขาอดที่จะแปลกใจไม่ได้เพราะเงินค่าภารกิจที่สองคนนี้ได้ไปนั้นน่าจะพอให้ใช้จ่ายได้ทั้งเดือนต่อให้รวมค่าเช่าหอพักแล้วก็เถอะ

“แฮะๆ ผมคำนวณค่าใช้จ่ายผิดไปหน่อยน่ะครับ เผลอเอาไปลงกับปืนซะเยอะเลย” พ่อหนุ่มหน้าหวานหัวเราะแห้งๆเพราะเขาเป็นพวกดัดแปลงปืนตัวยงแน่นอนแม้ว่าอะไหล่จะสามารถทำการเบิกได้ก็ตามแต่เจ้าตัวก็ต้องจ่ายค่าแรงให้ผู้ดัดแปลงปืนเองอยู่ดี

ส่วนคาซึกิไม่ได้ตอบคำถามแต่โดยส่วนตัวเรย์ก็พอจะเดาได้คาดว่าเจ้าตัวคงใช้เงินที่มีในการตามหาอดีตของตัวเองเพราะจะยังไงเสียมันก็จำเป็นจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายไม่น้อยเช่นกันแต่ไม่นึกว่าสองคนนี้จะมีปัญหาขึ้นมาพร้อมกัน

“งั้นจะเอาเงินฉันไปยืมก่อนไหมละ กับพวกนายเป็นกรณีพิเศษไม่คิดดอกด้วย เอ้า” ถ้าเป็นเรื่องเงินเขามีอยู่เยอะพอตัวเพราะค่าเบี้ยเลี้ยงต่อเดือนของเขาสูงกว่าเจ้าสองคนนี้โขแถมตัวเขายังไม่ต้องไปจ่ายค่าหอและไม่ได้ใช้จ่ายอะไรพิสดารด้วยแต่ละเดือนจึงมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อย

“ไม่ละครับ ผมเกรงใจ” แม้จะรู้ดีว่าเรย์ไม่มีปัญหาขัดสนเรื่องฐานะการเงินแถมเผลอๆถ้าเจ้าตัวลืมก็ไม่จำเป็นต้องคืนด้วยซ้ำก็ตามแต่โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ค่อยอยากยืมเงินของเรย์เสียเท่าไหร่นักแถมเขาก็ยังไม่ได้วิกฤติขนาดนั้นด้วย

“ฉันขอจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองดีกว่า” เช่นเดียวกับคาซึกิที่ให้คำตอบแบบเดียวกันเธออยากจัดการปัญหาของตัวเองด้วยกำลังของตัวเองมากกว่าเหมือนกับตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอส่วนทางด้านของเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ถอนใจ

“โอเคๆ เดี๋ยวฉันไปเคลียร์กับลุงให้แล้วกัน คานาเดะ เรเดียฝากร้านเอาไว้หน่อยนะแล้วก็ฝากบอกพี่ไรอาด้วย เดี๋ยวฉันขอแวะเข้ากองสักหน่อย” แต่เหนือสิ่งอื่นใดเขาต้องไปเปลี่ยนชุดและคืนร่างเดิมเสียก่อนเพราะหากให้เข้าไปในกองทั้งสภาพแบบนี้อาจมีคนไม่รู้จักเขาก็เป็นได้

“เอ๋ พี่ชายจะไปทำงานอีกแล้วหรอ ไหนบอกว่าช่วงนี้ว่างไงอะ” เสียงกระเง้ากระงอดของแม่น้องสาวตัวน้อยที่ได้ยินว่าพี่ชายของเธอซึ่งบอกเองว่าจะอยู่ช่วยงานนั้นไปกองทหารมนตราก็หน้างอขึ้นมาเล็กน้อย

“พี่ไปเคลียร์เรื่องภารกิจให้สองคนนี้ อย่างอนเลยน่านะ คนเก่ง” เขาลูบหัวของแม่ตัวน้อยไปด้วยส่วนทางด้านของแม่จอมป่วนนั้นเมื่อได้รับการลูบหัวอย่างอ่อนโยนจากพี่ชายเธอก็หยุดงอแงและยอมให้ไปแต่โดยดี

“งั้นเอย์จิฝากดูทางนี้หน่อยแล้วกัน” เขาหันไปหาเจ้าเพื่อนสมัยเด็กที่มานั่งจิบชาตั้งแต่ร้านเปิดจนถึงปัจจุบันที่ตอนนี้เจ้าตัวดื่มเครื่องดื่มหมดไปแล้วเกือบสิบแก้วและอาหารที่สั่งไปแล้วสามถึงสี่จานซึ่งตอนนี้ลงท้องไปหมดแล้ว

“อืม” การรับคำสั้นๆเหมือนไม่ค่อยเต็มใจและเจ้าตัวก็ละสายตาออกมาจากหนังสือเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้นแต่นั่นเป็นนิสัยของเอย์จิมาแต่ไหนแต่ไรแล้วซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะการที่หมอนี่รับปากเท่ากับรับรองความปลอดภัยในร้านได้ร้อยเปอร์เซนต์

“ไปดีมาดีนะ” ทางด้านของคานาเดะเธอเพียงแค่ทักทายเขาตามสไตล์ของเธอโดยการโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มเท่านั้นแต่คำพูดนี้ทำเอาเรย์ขมวดคิ้วไปชั่วขณะเพราะไอ้คำที่เธอใช้นั้นมันราวกับคนเป็นสามีภรรยากันแล้วยังไงยังงั้นแต่เขาก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนักเพราะบางครั้งแม่นี่ก็อินโนเซนต์กว่าที่คิด

“ดีจังนะมีสาวมาอวยพรก่อนออกจากบ้านด้วย” แต่ทางด้านของคาซึกิกลับส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาดวงตาสีเขียวดุจผืนป่านั้นทอประกายคมกริบขึ้นมาแม้มันจะไม่เหมือนกับตอนที่เพิ่งเจอกันใหม่ๆก็ตามหากแต่ถ้านับความเสียดแทงทางสายตามันรุนแรงเป็นเท่าทวี

“อะไรของนายฟะคาซึกิ อิจฉาหรือไง” แน่นอนไอ้ประโยคหลังเขาแค่ถามไปงั้นเพราะรู้อยู่แล้วว่าแม่นี่เป็นสาวแต่งหนุ่มแต่ที่เขาแปลกใจก็คืออยู่ๆเธอมาไม่พอใจอะไรเขากันแน่แต่ทางด้านของเจ้าตัวกลับเบนสายตาหนีไม่ยอมตอบ

“เฮ้อ เรย์เนี่ยไม่มีความละเอียดอ่อนเลยนะครับ” คำพูดและการถอนใจด้วยรอยยิ้มของอลันยิ่งทำให้เรย์งงมากยิ่งขึ้นไปอีกแต่ถึงแบบนั้นทั้งอลันและตัวคาซึกิเองก็ไม่ยอมบอกได้แต่ปล่อยให้เรย์ไม่เข้าในเรื่องนี้ต่อไปอย่างนั้น

“แย่กว่าที่คิดแฮะ” หลังจากที่ผ่านการเจรจาเสียงดังสนั่นเพราะเสียงโวยวายของเรย์และการขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิดของซาเอนอสเป็นเวลากว่าสองชั่วโมงในที่สุดเจ้าตัวก็เดินออกมาจากห้องผู้บังคับบัญชาอย่างรวดเร็ว

“ตกลงไม่ได้ภารกิจหรือครับ?” เขาอดแปลกใจไม่ได้ตามปกติแล้วภารกิจที่ถูกรีเควสมาให้หัวหน้าหน่วยทำนั้นมีเป็นจำนวนมากตอนแรกเขานึกว่าจะได้แน่ๆแล้วเสียด้วยซ้ำแต่พอเห็นสีหน้าของเรย์เขาก็ชักจะไม่แน่ใจ

“เปล่าหรอก ได้น่ะมันได้เพียงแต่พวกนายไม่ได้ทำภารกิจร่วมกับฉันน่ะสิ ลุงแกบอกว่าเรื่องของฉันตอนเรือผีสิงยังเคลียร์ไม่จบเพราะมีผู้เสียหายหลายคนที่เรียกร้องความเสียหายเรื่องทหารมนตราไม่ให้ความคุ้มกันช่วงนี้เลยต้องให้ฉันอยู่เฉยๆไปก่อน กว่าจะเสร็จเรื่องก็อีกอาทิตย์เลยไปทำภารกิจกับพวกนายไม่ได้” ที่ช่วงนี้ไม่มีภารกิจมาถึงเขามันก็เพราะเหตุนี้แต่โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเนื่องจากในสายตาของเขาคนพวกนั้นแทบทั้งหมดไม่มีค่าพอจะให้ปกป้อง

“แล้วตกลงจะให้ทำภารกิจเดี่ยวงั้นเหรอ?” หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่เพราะแต่เดิมก่อนที่จะมาอยู่หน่วยที่สี่แล้วคาซึกิก็เป็นประเภทฉายเดี่ยวมาตลอดแม้จะรู้สึกเหงานิดหน่อยแต่นี่เป็นปัญหาของเธอดังนั้นเธอก็จำต้องแก้ด้วยตัวเอง

“ดีกว่านั้นนิดพวกนายสองคนจะได้เข้าร่วมภารกิจของหัวหน้าหน่วยคนอื่น อลันนายได้ทำภารกิจร่วมกับหน่วยที่ห้า ส่วนคาซึกิทำภารกิจร่วมกับหน่วยที่สาม” คำพูดของเรย์ทำเอาแม่สาวแต่งหนุ่มเครียดขึ้นมาทันตาเพราะแต่ไหนแต่ไรเธอก็ไม่ถนัดปรับตัวร่วมกับคนอื่นอยู่แล้วยิ่งให้ทำงานร่วมกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ด้วยนี่มัน

“หน่วยที่สามกับหน่วยที่ห้างั้นเหรอ ของผมยังไม่เท่าไหร่แต่ของคาซึกิเนี่ยสิ” เขาเคยทำงานร่วมกับสองหน่วยนี้มาก่อนทำให้พอจะรู้นิสัยใจคอของสมาชิกในแต่ละหน่วยอยู่บ้างในหน่วยที่ห้าที่เขาต้องไปทำงานร่วมนั้นยังไม่เท่าไหร่แต่หน่วยที่สามเนี่ยสิ

“เลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” ปกติเธอก็ไม่ชอบที่จะทำภารกิจร่วมกับคนอื่นอยู่แล้วแต่ดูเหมือนท่าทางมันจะหนักหนายิ่งขึ้นไปอีกเพราะดูจากสีหน้าของอลันแล้วไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อยกระทั่งเรย์ยังมีสีหน้าเบื่อหน่ายอยู่ด้วย

“อันที่จริงคนในหน่วยก็กลางๆ แค่แต่ละคนจะสุดโต่งกันไปนิด แต่ที่หนักที่สุดก็น่าจะ ไอ้ตัวหัวหน้านั่นแหละ” หากจะบอกว่าหมอนั่นนิสัยเลวร้ายไหมของตอบว่าไม่เพียงแต่ควรจะบอกว่หมอนั่นมันทำอะไรตามใจตัวเองหนักยิ่งกว่าเขาเสียอีก

“แต่ผมว่าคุณโคสุเกะเขาก็โอเคนะครับ คนในหน่วยก็อัธยาศัยดีแต่คุณไซนี่ก็ แฮะๆ” แม้ในสายตาของเขาแล้วคนในหน่วยนั้นจะพอทำใจยอมรับในนิสัยได้แต่กับหัวหน้าหน่วยที่สามนั้นค่อนข้างจะมีนิสัยเป็นเอกลักษณ์เกินไปจริงๆ

“แต่ถ้าเทียบโดยส่วนตัวนะ ฉันว่าเจ้าไซมันก็ยังดีกว่าเจ้าเด็กบ้าที่อยู่หน่วยห้านั่นอยู่ดีนั่นแหละ” โดยส่วนตัวแล้วหากให้เทียบกับนิสัยอย่างเจ้าหัวหน้าหน่วยที่สามเขายังรับได้มากกว่านิสัยแบบเจ้าคนที่ถูกพาดพิงถึงนี่แหละ

“แล้วตกลงคนในหน่วยที่สามเป็นไงกันแน่” เมื่อเรื่องที่ถามออกไปชักจะออกทะเลไปเรื่อยแล้วคาซึกิจึงรู้สึกว่าหากเธอไม่ดึงหัวข้อสนทนาให้กลับมาละก็โอกาสที่จะได้รับคำตอบในสิ่งที่เธอถามออกไปคงไม่มีอย่างแน่นอน

“เอาเป็นว่านายไปลองเจอด้วยตัวเองดีกว่าคาซึกิ ถ้าได้ฟังคำพูดจากพวกฉันนายจะตั้งอคติกับพวกนั้นเปล่าๆ ไปลองมองด้วยตาของตัวเองแล้วตัดสินเองเถอะ” แต่เจ้าหัวหน้าของเธอก็ยังทำตัวอมพะนำได้อย่างน่าเตะเพราะแค่ข้อมูลที่เธอได้ยินมานั้นก็ทำให้อดหวั่นใจไม่ได้แล้วแต่มาตอนนี้กลับบอกว่าเอาไว้ไปเจอเองจนเธอชักอยากจะเอาดาบในมือฟันใส่ตงิดๆ

วันรุ่งขึ้นคาซึกิก็ไปยังจุดนัดพบตามที่แจ้งไว้ในใบภารกิจเธอไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่นักที่ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นแต่เท่าที่ดูแล้วภารกิจนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรมากมายก็เพียงแค่ภารกิจกวาดล้างกลุ่มโจรที่แถบชายแดนเท่านั้นคิดว่าไม่นานก็น่าจะจบภารกิจได้ไม่ยาก

แต่ทันทีที่ไปถึงก็ต้องพบว่ามีคนที่ไปถึงก่อนหน้าเธออยู่แล้วถึงสามคนทุกคนในที่นั้นสวมชุดเครื่องแบบของทหารมนตรากันหมดเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสามคนนี้คือคนที่ร่วมภารกิจกับเธอแต่แปลกใจนิดหน่อยตรงที่เธอมาก่อนเวลานัดสิบนาทีแล้วยังมีคนมารออยู่อีก

“สวัดดีเธอเป็นคนที่จะมาเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้กับพวกเราสินะ” คนที่มาทักทายเธอนั้นเป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าสวยมากเลยทีเดียวเรือนผมสีทองของเธอถูกผูกเป็นทรงหางม้าเอาไว้ลวกๆ ดวงตาสีเขียวอ่อนต่างจากสีดวงตาของเธอฉายแววขี้เล่นและอารมณ์ดีแฝงเอาไว้ด้วย

“อืม คามิงาริ คาซึกิ เป็นนักดาบฝากตัวด้วย” ด้วยความที่ไม่รู้จะแนะนำตัวเช่นไรดีจึงพูดออกไปแบบนั้นยังไงเสียการแนะนำความถนัดของตัวเองให้คนในกลุ่มที่ต้องทำงานร่วมกันรู้ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกัน

“ไม่ต้องพิธีการมากแบบนั้นก็ได้คาซึกิ ฉันชื่อมีอา วาเซนิสเป็นผู้ใช้มนตราธาตุลมยินดีที่ได้รู้จักจ๊ะ” ดูจากอาวุธในมือที่เป็นไม้คฑาแล้วก็นับได้ว่าแปลกพอตัวเพราะในปัจจุบันมีไม่กี่คนที่จะใช้อาวุธประเภทนี้ผู้ใช้มนตราส่วนใหญ่นั้นมักทำให้อัญมณีเสริมพลังมนต์ของตัวเองอยู่ในรูปแบบเครื่องประดับมากกว่า

“ฉันชื่อเอเรีย เนรีออนค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณคามิงาริ” ส่วนทางด้านของแม่สาวคนนี้ก็ตรงข้ามกับคนชื่อมีอาโดยสิ้นเชิงหากจะบอกว่ามีอาเป็นคนสบายๆเป็นกันเองไม่ค่อยถือกฏเกณฑ์ละก็เธอเป็นคนที่คำนับให้คาซึกิตามระเบียบมารยาทของชาวตะวันออกเสียจนคาซึกิโค้งคำนับกลับแทบไม่ทัน

เธอเป็นเด็กสาวที่สวมชุดเครื่องแบบทหารมนตราเช่นกันเรือนผมสีดำอมน้ำเงินถูกจัดแต่งเป็นทรงฮิเมคัทอย่าเรียบร้อย ดวงตาสีน้ำเงินเหมือนดั่งท้องทะเลแลดูงดงามไปอีกแบบเมื่อมารวมกับกิริยามารยาทเรียบร้อยทำให้เธอดูสมเป็นกุลสตรีเป็นอย่างมากจนราวกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่เลยทีเดียว

“เอเรียจัง ไม่เห็นต้องทำเป็นพิธีขนาดนั้นเลยนี่นา ฟังดูแล้วมันตลกออกไหนๆก็จะทำงานด้วยกันแล้วทั้งทีสนิทกันไว้น่าจะดีกว่านะ”

“แต่ฉันว่าเราควรให้ความเคารพเขาสักหน่อยนะคะมีอา เราเพิ่งเคยเจอกันเองเรียกชื่อเขาตรงๆแบบนั้นมันเสียมารยาทเกินไปนะคะ” เป็นสองสาวที่อยู่ในขั้วตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงจะบอกว่าคนนึงก็ตีสนิทเกินไปอีกคนก็ทำตัวมากพิธีการเกินไปจนน่าแปลกใจ

“ส่วนฉันเทชิงาวะ โคสุเกะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” สมาชิกอีกคนของกลุ่มถอดถอนใจกับท่าทางของแม่สองสาวที่ไร้ซึ่งความพอดีของกลุ่มและเข้ามาแนะนำตัวกับคาซึกิคนเบื้องหน้าของเขาเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารมนตราเหมือนกับเขาไม่มีผิด

ผมสีเหลืองอ่อนของคนเบื้องหน้ายาวถึงไหล่ซึ่งจัดว่าแปลกมากสำหรับผู้ชาย ดวงตาสีส้มออกไปทางแดงฉายชัดถึงความเหนื่อยหน่ายกับเหตุการณ์นี้แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือไม้พลองยาวที่เจ้าตัวพาดเอาไว้บนหลัง ก่อนยื่นมือมาหาเขาราวกับต้องการทักทายด้วยการจับมือส่วนทางด้านของคาซึกิที่เห็นดังนั้นก็ยื่นมือตอบรับ

“เอาเป็นว่าจะให้ฉันเรียกนายว่าไง? ชื่อหรือนามสกุล?” เพื่อตัดปัญหาให้ทั้งสองสาวที่ยังคงถกเถียงกันไม่เลิกเจ้าตัวจึงเป็นฝ่ายออกปากถามแทนด้วยสีหน้าที่ฉายชัดถึงความอ่อนใจต่อทั้งสองคนนี้

“เรียกฉันว่าคาซึกิก็แล้วกัน ว่าแต่คนไหนที่เป็นหัวหน้าหน่วยเหรอ?” เขาพอเข้าใจถึงสิ่งที่โคสุเกะต้องการจึงช่วยเปลี่ยนเรื่องไปในตัวเพราะเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครเป็นหัวหน้าหน่วยเจ้าหัวหน้าของเขาก็อมพะนำไม่ยอมบอกซะด้วย

“อย่าหวังกับหมอนั่นมากนักเลย เพราะจนป่านนี้ยังไม่โผล่หัวมาสักนิด” สีหน้าเบื่อหน่ายของโคสุเกะที่แต่เดิมก็มากอยู่แล้วยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิมน้ำเสียงที่แฝงแววความไม่พอใจเอาไว้อย่างเด่นชัดจนทำให้คาซึกิอดแปลกใจไม่ได้เพราะมันเหมือนกับเขาในตอนที่ได้เจอกับเรย์ใหม่ๆเลย

“ช่วยไม่ได้นี่นะ ไซเขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แค่ไม่สายเกินสามสิบนาทีก็ดีแล้วละ” เสียงหัวเราะเบาๆด้วยความอ่อนใจเพราะเธอก็เคยชินนิสัยของหัวหน้าตนเองแล้วดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเพียงอย่างเดียวจนเวลาผ่านร่วมครึ่งชั่วโมง

“อ๊ะ มาแล้ว” ด้วยความที่เป็นผู้ใช้มนตราธาตุลมทำให้มีอาสามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าคนที่เธอต้องการจะหามาแล้วแน่นอนคาซึกิก็สามารถรับรู้ได้เช่นกันว่ามีคนกำลังเดินมาก่อนที่จะปรากฏร่างของหัวหน้าหน่วยที่สามคนนั้น

ร่างที่กำลังเดินมานานนั้นเป็นร่างของชายผู้หนึ่งที่สวมชุดเครื่องแบบทหารมนตราพร้อมผ้าคลุมที่เป็นสัญลักษณ์ของหัวหน้าหน่วยหากแต่บนผ้าคลุมของเขานั้นกลับปรากฏสัญลักษณ์ของคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายประดับอยู่แทน ผมของเจ้าตัวมีสีน้ำตาลออกแดงแต่สิ่งที่โดดเด่นก็คือดวงตาสีแดงแต่มันกลับชวนให้รู้สึกเย็นเยือกของชายผู้นี้

“นายสินะที่บอกว่าจะมาร่วมภารกิจในวันนี้ ฉันไซอาเซีย คราซิสหัวหน้าหน่วยที่สาม” น้ำเสียงของชายเบื้องหน้าราบเรียบสนิทจนราวกับไร้อารมณ์ยิ่งเมื่อมารวมกับแววตาที่ขวางนั้นด้วยแล้วทำให้ชายผู้นี้ค่อนข้างเป็นคนที่น่ากลัวเลยทีเดียวก่อนที่เธอจะแนะนำตัวไปอีกครั้ง

“ถ้านายมาตรงเวลาสักวันนายจะตายหรือไง ไซ” ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ไม่พอใจกับการที่เจ้าตัวชอบมาสายเหมือนกันเพราะทางด้านของโคสุเกะที่มารอเป็นคนแรกนั้นหงุดหงิดไม่น้อยที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่หมอนี่ก็ไม่เคยมาตรงเวลาเลยสักที

“ฉันไม่เคยบอกหรือขอให้นายมาตรงเวลาเลยนี่ โคสุเกะ” ทางด้านของเจ้าคนมาสายก็ใช่ว่าจะยอมรับผิดเพราะเจ้าตัวตวัดสายตาไปหาตรงๆเช่นกันทำเอาเจ้าคนจุดเดือดต่ำนั้นกระชับพลองที่ตนพาดเอาไว้บนหลังอย่างรวดเร็วเตรียมมีเรื่องในทันที

แต่ทางด้านของไซนั้นกลับยังคงสงบนิ่งได้เช่นเดิมดวงตาสีน้ำของเจ้าตัวจับจ้องไปทางอีกฝ่ายโดยไม่ได้เคลื่อนไหวหรือตั้งท่าเตรียมพร้อมใดๆแม้จะดูเหมือนเคยชินกับเหตุการณ์เช่นนี้แต่หากสังเกตดีๆมันราวกับจะบอกว่า‘การโจมตีของนายไม่มีคุณค่าพอให้ตั้งท่ารับมือหรอก’

“นี่ๆ อย่าทะเลาะกันสิ เรากำลังจะไปทำภารกิจด้วยกันนะ เมื่อไหร่จะเลิกตีกันสักทีเนี่ยทั้งสองคน” การตีกันของสองคนนี้เป็นเรื่องที่มีอยู่เป็นประจำสำหรับพวกเธอแทบจะกลายเป็นความชาชินไปแล้วด้วยซ้ำเนื่องจากทั้งสองคนนั้นชอบทะเลาะกันเป็นประจำ

“เซียร์ก็เหมือนกันนะคะ หัดมาตรงเวลาซะบ้างสิ นี่เลยเวลานัดไปเกือบครึ่งชั่วโมงแน่ะ” ทางด้านของเอเรียก็ตรงเข้าไปห้ามเซียร์ด้วยอย่างรู้งานก่อนปรามเจ้าตัวไปด้วยเพราะอันที่จริงแล้วนิสัยแบบนี้นั้นไม่ว่าใครก็ต้องไม่พอใจกันทั้งนั้น

“เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน” แม้จะพูดแบบนั้นแต่โคสุเกะรู้ดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอนเพราะไม่ว่าครั้งไหนเจ้าหมอนี่ก็ไม่เคยทำตามที่พูดเลยซักครั้งและคราวนี้ก็คงเป็นแค่การรับปากไปแบบนั้นเหมือนเคยนั่นแหละแต่ดูเหมือนแม่คุณหนูสาวก็จะไม่ยอมให้ทำแบบนั้นแล้วเหมือนกัน

“รับปากมาก่อนสิคะเซียร์ สัญญานะว่าคราวหน้าจะมาตรงเวลาหรืออย่างน้อยก็ให้สายน้อยกว่านี้หน่อยก็ยังดี” หากยังปล่อยเอาไว้แบบนี้เกิดเขาต้องไปทำภารกิจกับคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเธอไม่สิ เกิดต้องไปทำภารกิจโดยไม่มีเธอหรือมีอาอยู่ด้วยละก็มีหวังได้ตีกับคนอื่นตั้งแต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรเลยแน่

ไม่เพียงว่าเปล่าเท่านั้นเธอยังกอดแขนของเขาเอาไว้แน่นดวงตาสีน้ำเงินของเธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีแดงเย็นเยือกของหัวหน้าหน่วยของเธอราวกับว่าถ้าเขาไม่ยอมสัญญากับเธอแล้วล่ะก็เธอจะไม่ยอมปล่อยมือโดยเด็ดขาด

“อืม เข้าใจแล้ว” ถึงจะไม่อยากรับปากเท่าไหร่แต่ดูเหมือนเจ้าตัวก็จำเป็นต้องรับปากจนได้แม้ว่าจะรับปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสีหน้าที่นิ่งสนิทสุดขีดก็ตาม ส่วนทางด้านของเอเรียที่ได้ยินดังนั้นก็ขยับยิ้มออกมาอย่างยินดี

“เท่านี้ก็โอเคแล้วใช่ไหมคะโคสุเกะ ทีนี้เซียร์เขาก็จะมาตรงเวลามากกว่านี้แล้วล่ะค่ะ” การที่เชื่อในสัญญาแบบนี้อาจจะแปลกออกไปสักหน่อยแต่ถ้าเป็นสัญญาระหว่างเจ้าหัวหน้าเฮงซวยกับแม่สาวเอเรียคนนี้ละก็ไม่มีปัญหาเพราะเจ้าหัวหน้าไม่เคยขัดเธอคนนี้ได้สักที

“เอาล่ะทีนี้เราก็ไปกันเถอะ” เมื่อเห็นว่าเรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้วมีอาจึงออกปากชวนให้คนอื่นเดินทางไปยังสถานที่ๆต้องทำภารกิจอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาเหนื่อยใจของคาซึกิไม่รู้ทำไมในเวลานี้เขาชักนึกถึงเรย์ขึ้นมายังไงก็ไม่รู้เขาว่าหัวหน้าของเขาเป็นคนพิลึกแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจยากและเหนื่อยเวลาอยู่ด้วยเท่ากับคนพวกนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel