บท
ตั้งค่า

chapter6-1

“ เฮ้อ กว่าจะเคลียร์กับลุงเสร็จเหนื่อยชะมัดเลยแฮะ แถมยังเป็นภารกิจที่ได้ไม่คุ้มเสียเลย” หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงฝั่งกันแล้วก็ไปรายงานผลกับลุงแกต่อแถมยังต้องเคลียร์เรื่องรายได้อีกเพราะเขาได้รับงานนี้ในภารกิจระดับCทั้งที่ถ้าให้เทียบตามความยากนี่เป็นภารกิจระดับAได้เลยด้วยซ้ำแต่สุดท้ายเขาก็ได้เงินมาแค่ภารกิจระดับBทั้งที่เขาเสียเวลาทะเลาะกับลุงแกจนถึงช่วงบ่ายของวันถัดไปแล้วทำให้เขาอดหงุดหงิดไม่ได้เหมือนกัน

“เอาน่าครับ เราก็ได้ไปเที่ยวบนเรือสำราญแล้วนี่นา ถึงจะได้เที่ยวแค่ไม่กี่วันก็เถอะ” ผิดกับอลันที่อารมณ์แจ่มใสสุดๆหากจะบอกว่าใครที่ได้รับกำไรจากภารกิจในครั้งนี้มากที่สุดก็คงจะไม่พ้นหมอนี่นั่นแหละที่ได้เที่ยวเล่นอย่างเต็มคราบ

“ช่วยไม่ได้ละนะ ก็ตอนแรกไม่นึกว่าศัตรูจะเป็นผีดิบนี่” กระทั่งเรย์ยังคาดการณ์ในเรื่องที่ว่าศัตรูเป็นผีดิบได้ในช่วงหลังจากที่ไปกลางทะเลแล้วเลยทำให้ภารกิจที่พวกเธอได้รับถูกจ้างเป็นภารกิจระดับCแทนในสายตาของคาซึกิแค่ได้รับเงินค่าจ้างเพิ่มก็นับว่าดีถมไปแล้ว

“ว่าแต่เรย์ทำยังไงครับเนี่ยดูเหมือนว่าคาซึกิเลิกตั้งกำแพงกับคนอื่นแล้วนะครับ” เขาอดแปลกใจไม่ได้เพราะแค่วันเดียวกำแพงที่คาซึกิตั้งเอาไว้กับผู้อื่นนั้นหายไปหลายส่วนโดยเฉพาะกับเรย์ที่เจ้าตัวดูสนิทใจขึ้นมากเลยทีเดียว

“ก็นะเคลียร์กันจบแล้วนี่ ต่อแต่นี้ไปหมอนี่คือพวกพ้องของพวกเราเต็มตัวแล้วล่ะ” เรื่องที่คาซึกิเป็นผู้หญิงถูกสัญญาเป็นความลับแต่ผลพลอยได้จากเรื่องนั้นทำให้คาซึกิสามารถพูดคุยกับเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องกังวลว่าความลับจะแตกอีกเลยทำให้เขากับเธอสนิทกันมากขึ้น

“งั้นผมขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ” อลันโบกมือลาก่อนจะเดินกลับหอพักเนื่องจากอลันนั้นหอพักของเจ้าตัวอยู่ใกล้กับกองทหารมนตรามากเดินเพียงสองสามร้อยเมตรก็ถึงแล้วด้วยความที่การทำภารกิจในคราวนี้ของพวกเขาไม่ได้ต่างจากการไปเที่ยวเท่าไหร่ทำให้ไม่มีการเลี้ยงข้าวเหมือนทุกครั้ง

“ฉันก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน” คาซึกิเองก็อยู่หอพักเดียวกับอลันเช่นกันเพราะขนาดของห้องนั้นไม่คับแคบเพราะมีจำนวนห้องร่วมสี่ห้องได้ ตัวห้องก็ค่อนข้างอยู่ในสภาพดีที่สำคัญราคาไม่สูงมากค่าภารกิจรายเดือนสามารถนำไปจ่ายได้อย่างไม่มีปัญหามากนักหากบริหารดีพอ

“ถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อมาแล้วกัน ถ้าฉันช่วยได้ก็จะพยายามช่วย” คำพูดของเรย์ทำเอาคาซึกิยิ้มออกมาอย่างบางเบาก่อนเดินลับสายตาไปส่วนตัวของเรย์เองนั้นก้าวเท้าเดินต่อไปเพราะบ้านของเขานั้นอยู่ถัดจากนี้อีกสักพักก่อนที่เขาจะมาถึงร้านอาหารของพี่สาวตัวเอง

“ยินดีต้อนรับค่ะ เอ่อ จะรับอะไรดีคะ” เป็นเสียงที่ไม่คุ้นหูเท่าที่ควรทำเอาเรย์ชะงักไปแน่นอนว่าวิธีการพูดแบบนี้นั้นไม่ใช่แม่น้องสาวของเขาแน่นอนและไม่น่าใช่แม่สาวนักดนตรีด้วยเพราะเสียงของเธอจะต้องร่าเริงกว่านี้แต่เสียงที่เขาได้ยินนั้นมันแผ่วเบาราวกับจะรู้สึกอายที่ต้องมาพูดแบบนี้ก่อนที่เขาจะตวัดสายตาหันไปมองใช้ชัด

ร่างตรงหน้าเป็นร่างของเด็กสาวคนนึงที่น่าจะมีรุ่นราวคราวเดียวกับแม่จอมป่วนของเขาใบหน้าของเธอขึ้นสีนิดๆจากการที่ต้องพูดสิ่งที่ไม่เคยชิน เรือนผมสีดำของเธอยาวสยายจนเกือบจะถึงเอวดวงตาของเธอก็เป็นสีดำเช่นกันหากแต่เป็นสีดำที่สุกสว่างราวกับยามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว และแน่นอนเธอสวมชุดเมดชุดมาตราฐานของพนักงานร้านนี้(มาตราฐานbyเรเดีย)

“หวัดดีนาโอะ มาช่วยงานที่ร้านงั้นเหรอ” เขารู้จักกับเด็กคนนี้พอสมควรเพราะตัวของเรเดียนั้นมีเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ไม่กี่คนเธอคนนี้คือคุโรงาระ นาโอะ เป็นน้องสาวของทหารมนตราคนนึงที่มีอยู่พักหนึ่งเธอเคยมาสมัครงานในร้านเพื่อเรียนทำอาหารจากพี่ไรอาและได้เป็นเพื่อนกับเรเดีย เธอถือเป็นลูกศิษย์ด้านอาหารสายตรงคนแรกของพี่สาวเขาปัจจุบันฝีมือการทำอาหารของเธอเป็นรองเขาไม่มากหรืออาจจะพอๆกับเขาด้วยซ้ำ

แม้ว่าในตอนนี้เธอจะไม่ได้เป็นพนักงานที่ร้านแล้วแต่เธอก็มักจะโผล่มาช่วยงานที่ร้านอยู่บ้างเป็นบางครั้งหรือตามที่เรเดียชักชวนโดยไม่รับค่าจ้างเนื่องจากเธอถือว่าที่นี่เป็นสถานที่สอนทำอาหารให้เธอ แต่ดูเหมือนการที่เธอมาแต่งชุดเมดนั้นจะไม่ใช่ความต้องการของตัวเองและไม่ต้องคิดก็รู้ว่าคนที่บังคับให้เด็กคนนี้ใส่ชุดเมดนั้นคือแม่น้องสาวของเขาแน่นอน

“ค่ะ เรเดียเขาชวนฉันมาก็เลยมาช่วยงานที่ร้านด้วยน่ะค่ะ” เธอตอบอย่างสุภาพพร้อมค้อมหัวให้เขาจนเรย์ยิ้มแหย กิริยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อยและขี้เกรงใจของเด็กคนนี้มีหลายครั้งที่ทำให้เขาหนักใจอยู่เหมือนกันเป็นนิสัยที่ตรงข้ามกับพี่ของเธอโดยสิ้นเชิง

“อะ พี่ชายกลับมาแล้ว ดูสิๆ พวกหนูสามคนน่ารักใช่ม้า” แม่น้องสาวของเขาอวดอย่างร่าเริงข้างตัวของเธอนั้นมีเนียร์แม่น้องสาวของครอสที่อยู่ในชุดเมดเช่นกันใบหน้าของเธอขึ้นสีเล็กๆเนื่องจากว่าเธอก็รู้สึกอายเหมือนกันที่ต้องมาอยู่ในชุดนี้

“อืม ทั้งสามคนน่ารักมากเลยนะ วันนี้น่ะเรียกลูกค้ามากกว่าเดิมได้อื้อเลย” แม่สาวนักดนตรีพนักงานประจำที่ร้านของเขาอีกคนนั้นโผล่ออกมาด้วยเช่นกันแม่น้องสาวสามทั้งสามคนนั้นเป็นน้องสาวที่มีนิสัยต่างกันไปแต่ก็มีความน่ารักกันไปคนละแบบ

“วันนี้พี่ไม่ขอช่วยงานที่ร้านนะ พี่ยังเหนื่อยอยู่เลย ขอตัวไปพัก...” เขาพูดยังไม่ทันจบคำก็ต้องชะงักไปเพราะสายตาของเขาสะดุดไปยังมุมนึงของร้านซึ่งมีชายที่สวมชุดเครื่องแบบของทหารมนตราคนนึงที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับนั่งอยู่ด้วย โดยที่ข้างกายของเขามีเด็กหนุ่มผมแดงที่กำลังนั่งจิบชาและแม่สาวในชุดกี่เพ้าที่นั่งกอดแขนเจ้าตัวอยู่ด้วย

“ฮัลโหลครอส นายจะมานั่งปล่อยจิตสังหารไล่ลูกค้าของฉันหรือไงฟะ” เรย์ทักทายครอสที่ตอนนี้มีสีหน้าพร้อมจะกระทืบคนเต็มที่เนื่องจากมั่นใจในพลังของตัวเองแต่อันที่จริงสีหน้าของครอสก็ไม่ค่อยได้ผลมากเท่าไหร่นักเพราะแม่น้องสาวทั้งสามคนนั้นเป็นตัวเรียกลูกค้าชั้นเยี่ยมยังไม่รวมคานาเดะอีกคนนึงที่ถือว่าอยู่ในระดับสูงเหมือนกัน

“สวัดดีค่ะ ท่านเป็นเพื่อนของนายท่านสินะเจ้าคะ ข้าหลินเหมยฮัว ทาสของนายท่านยินดีที่ได้รู้จักเจ้าค่ะ” เรย์ในตอนแรกเมื่อได้ยินคำพูดของแม่สาวในชุดกี่เพ้านั้นถึงกับมีสีหน้าตกตะลึงก่อนจ้องมองไปยังครอสที่ในยามนี้จิตสังหารรุนแรงกว่าเดิม

“ยัยนี่เป็นเทพรับใช้ที่ฉันเพิ่งทำสัญญาไปหมาดๆ หวังว่าฉันคงไม่ต้องอธิบายซ้ำเป็นครั้งที่สามนะ” เจ้าคนที่หงุดหงิดเต็มพิกัดบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าถ้ายังขืนเข้าใจอะไรผิดๆอีกงานนี้คงได้ต่อยกันเรย์จึงยกมือขึ้นยอมแพ้

“เป็นอะไรไปสหาย วันนี้จุดเดือดต่ำเกินคาดนี่” ปกติแล้วครอสจะเป็นคนเยือกเย็นวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีเรียกได้ว่าเป็นสายเสนาธิการคนนึงเลยทีเดียวแต่ตอนนี้เจ้านี่มันราวกับคนบ้าสงครามที่ขอแค่ไปแหย่นิดเดียวก็อาจสวนกลับมาชุดใหญ่ได้

“นายลองมาเป็นฉันดูไหมละ!! เจอน้องสาวไล่ฆ่าแถมเข้าใจผิดถึงว่าฉันทำอะไรแม่เทพรับใช้นี่ไปแล้ว ยังไม่รวมคุณแม่ที่เข้าใจว่าฉันไปทำอะไรต่อมิอะไรกับยัยนี่จนเกือบถูกจับแต่งงาน กว่าจะอธิบายให้เคลียร์ได้ก็เพิ่งเมื่อวาน” ก็น่าเห็นใจอยู่เพราะตั้งแต่ที่เขากลับจากภารกิจในครั้งนั้นมันก็เป็นอาทิตย์กว่าๆแล้วแสดงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหมอนี่ใช้ชีวิตแบบเหนื่อยยากในบ้านมาตลอดไม่แปลกที่จุดเดือดจะต่ำลงขนาดนี้

ยังโชคดีที่ป๋าที่เคารพของครอสมีพลังมนตราสูงส่งและยืนยันว่าเธอเป็นเทพรับใช้จริงๆประกอบกับเขาใช้จำแลงร่างเทพให้ดูต่อหน้ากันตรงนั้นเลยทำให้คุณแม่ของเขาเชื่อแต่ถึงแบบนั้นความเข้าใจผิดที่เขาทำอะไรแม่เทพนี่ไปแล้วก็ยังไม่ค่อยได้รับการแก้ไขมากนัก

“คิดดูจนวันนี้เนียร์พูดกับฉันไม่ถึงสิบคำ แถมยังไม่มีภารกิจอะไรมาเลย จนตอนนี้ฉันต้องมาหาที่ระบายอารมณ์อยู่นี่ไง” ไม่ว่าเปล่าครอสจัดการดีดร่างของเจ้าคนที่ลูบมือน้องสาวของตัวเองไปในพริบตาประตูร้านเปิดดังโครมก่อนที่ร่างนั้นจะปลิวไปไกลหลายสิบเมตรบ่งบอกถึงความเครียดสะสมในหลายวันนี้ได้เป็นอย่างดี

“แหม ถ้านายท่านทนไม่ไหวมาระบายอารมณ์ใส่ข้าก็ได้นี่เจ้าคะ ข้ายินดีให้ท่านทำได้ทุกอย่างเลย” หน้าอกหน้าใจที่เบียดกันอยู่ภายในชุดกี่เพ้านั้นสั่นไหวเล็กน้อยขณะที่เธอกอดแขนของเจ้าครอสทำเอาเจ้าตัวอดเหลือบมองไม่ได้

“ช่วยเลิกพูดแบบนั้นได้แล้ว เพราะยิ่งเธอพูดเนียร์ยิ่งไม่ยอมพูดกับฉันหนักขึ้น อย่างล่าสุดที่เธอไปพูดกับเนียร์น่ะเล่นเอาฉันโดนตบเลยนะ” เป็นอะไรที่เขางงมากจริงๆว่าแม่นี่ไปพูดอะไรกับน้องสาวของเขาทั้งที่แม่ของเขาก็หายโกรธแล้วแต่น้องสาวของเขายังไม่ยอมหายเลย

‘ฉันว่าส่วนนึงก็เป็นเพราะนายทำตัวเองด้วยนา ครอส’ ท่าทางของครอสที่เหลือบมองสัดส่วนของแม่เทพรับใช้นั่นในบางครั้งนั้นยิ่งทำให้เนียร์โมโหมากขึ้นเช่นกันแม้จะพอเข้าใจว่ามันเป็นส่วนนึงของชีวิตลูกผู้ชายแต่เขาไม่มีความคิดจะบอกเพราะมันไม่ใช่เรื่องของเขา

“งั้นขอให้นายคุมน้องสาวอย่างสบายอารมณ์ไปก็แล้วกัน ฉันขอตัวไปพักก่อนนะเหนื่อยฟะ” เขาไม่ได้ว่างมากเหมือนเจ้าครอสแต่อันที่จริงก็น่าสงสารมันนิดๆเพราะที่เจ้านี่ต้องตามมาดูแลน้องสาวส่วนนึงก็เป็นเพราะพ่อกับแม่ของหมอนี่หวงลูกสาวยิ่งกว่าอะไรดีชนิดที่ว่าถ้าเจ้าครอสไม่ตามมาคุมเองก็ไม่แน่ว่าพ่อของเจ้าตัวอาจมาเองเลยก็ได้

“นายคงไม่ได้คิดว่าฉันมานั่งคุยกับนายเพื่อนเล่นตลกให้ดูหรอกนะ รา-คิ-ออส ไร-คา-ลิส” เปลวเพลิงลุกโชนอยู่ในมือขวาของครอสด้วยอำนาจแห่งไพโรคิเนซิสราวกับรู้ตัวเพราะอันที่จริงแล้วเรย์เองก็แอบคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน

“งั้นตกลงนายจะคุยอะไร บอกตรงๆ ว่าฉันเหนื่อยจากภารกิจกวาดล้างเรือผีสิงมาเลยนะเฟ้ย” ขืนลองไม่ฟังเจ้าครอสตอนนี้มันอาจส่งอะไรสักอย่างมาทักทายเขาแน่นอนซึ่งอาจส่งผลให้ข้าวของในร้านเสียหายดังนั้นเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง

“ฉันจะมาคุยกับนายเรื่องเมืองราฟาส หมู่นี้นายได้ข่าวเกี่ยวกับเมืองนั้นหรือเปล่า” เมืองราฟาสนั้นเป็นเมืองที่มีขนาดกลางที่อยู่ในประเทศซาเซเรียเมืองที่ค่อนข้างห่างไกลจากเมืองหลวงและความเจริญแต่เป็นแหล่งส่งออกอาหารแห่งสำคัญของแผ่นดินเซเฟียร์แห่งนี้

“อืม ก็ไม่นา จะบอกว่าราคาที่ดินในเมืองนั้นมันแพงก็แพงหูดับอยู่แล้วนี่นา เออโอเค ไม่เล่นแล้วก็ได้บอกมาเลยแล้วกัน หมู่นี้ชีวิตฉันยุ่งจนไม่ค่อยได้ตามข่าวยิบย่อยว่ะ” ช่วงนี้เขาชีวิตค่อนข้างชุลมุนแค่จัดการเรื่องต่างๆและรับฟังข่าวใหญ่ๆก็แทบไม่เหลือเวลาแล้วจึงไม่ค่อยได้รับรู้ข่าวแนวนี้นัก

“ช่วงนี้คนในเมืองนั้นเกิดคดีคนหายไปเป็นจำนวนมาก แถมยังมีคดีฆาตกรรมประหลาดอีก” สิ่งที่ครอสพูดมานั้นไม่ได้กระตุ้นต่อมความสนใจของเรย์มากนักเพราะยังไงเสียใครมันจะเป็นอะไรยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเท่าไหร่

“เกิดคดีประเภทที่มีการฆาตกรรมแต่คนที่ทำกลับบอกว่า‘เหมือนกับโดนคำสั่งของใคนบางคนแล้วต้องทำตามให้ได้’นี่ก็เกิดมาแล้วเป็นสิบคดี ส่วนในกรณีคนหายนั้นตัวเลขโดยคร่าวก็น่าจะเป็นรายที่สามสิบของเมืองแล้ว” หากแต่พอได้ยินเพียงเท่านั้นคิ้วของเรย์ก็ขมวดขึ้นมาในทันทีดวงตาสีฟ้าครามของเขาหรี่ลงเล็กน้อยราวกับต้องการวิเคราะห์ประมวลผล

“หมายความว่านี่เป็นฝีมือของคนบางกลุ่มหรือใครบางคนสินะ แถมเรายังไม่รู้จุดประสงค์ที่แน่นอนด้วย และที่สำคัญที่สุดมันเข้าเค้ามากเลย” จำนวนขนาดนี้ไม่ใช่ธรรมดาแล้วถ้าไม่ใช่ฝีมือคนชักใยย่อมไม่ทีทางที่จะทำได้อย่างแน่นอนและจะต้องมีฝีมือพอตัวด้วย

“อืม ต้นตอเรื่องในครั้งนี้ถ้าไม่ใช่ผู้ใช้มนตราสายความมืด สายพิเศษก็ต้องเป็นพวกผู้มีพลังจิตสามอย่างนี้เท่านั้น” การที่จะสามารถบังคับคนให้ทำตามที่พูดได้นั้นมีอยู่สามกรณีหนึ่งคือใช้วจีแห่งมารร้ายมนตราต้องห้ามที่สามารถบงการด้วยคำพูดได้ปัจจุบันบทร่ายของมนต์บทนั้นหายสาบสูญไปแล้ว

สองคือสร้างภาพมายาหลอนประสาทแต่ประเภทนี้ต้องเป็นมนตราสายพิเศษจริงๆจึงจะและต้องหลอกหลอนชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะทำให้อีกฝ่ายเป็นบ้าไปก่อนจึงจะทำได้ หรือสามใช้พลังจิตจำพวกเทเลพาธีส่งคลื่นความคิดอันรุนแรงเข้าควบคุมคนผู้นั้นโดยตรง

“ดูจากจำนวนแล้วไม่น่าใช้วจีแห่งมารร้ายเพราะเท่าที่เคยได้ยินมามันเป็นมนตราที่ค่อนข้างใช้งานยากไม่น่าเอามาเล่นพร่ำเพรื่อกับคนทั่วไปได้มากแบบนี้ ส่วนอีกสองอย่างก็ก้ำกึ่งถ้าไม่ได้ไปปะทะด้วยตัวเองก็คงบอกไม่ได้” ตัวเลือกแรกตัดออกไปแต่อีกสองตัวเลือกที่เหลือตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะแน่ใจเพราะข้อมูลที่น้อยเกินไปหากได้ไปเก็บข้อมูลด้วยตัวเองคงวิเคราะห์ได้มากกว่านี้

“คิดว่าอีกไม่นานคงมีภารกิจส่งตรงมาถึงพวกเราและคาดว่าจะเป็นภารกิจระดับSด้วย ไม่รู้จะส่งมาที่ใครแต่ที่แน่ๆหนึ่งในนั้นมีนายแน่นอน” ภารกิจระดับนี้ยังไงก็ต้องให้ระดับหัวหน้าหน่วยเป็นคนจัดการแน่นอนและดูจากความยากและความร้ายแรงก็น่าจะเป็นภารกิจระดับSแต่ตัวเขาไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตนจะได้ร่วมภารกิจนี้หรือเปล่าผิดกับเรย์

หากเป็นตัวเลือกสองในสามอย่างแรกเรย์จะมีอัตราการต้านทานสูงมากด้วยโลหิตแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ทำให้ต้านทานคำสาปทุกประเภทในระดับสูงอาจใช้ไม่ค่อยได้ผลกับมนต์สายมายาก็ก่ำกึ่งไม่ค่อยมั่นใจแต่ยังไงเรย์ก็จะรู้ตัวก่อนใครเนื่องด้วยมีความสามารถทางมนตราธาตุแสง

มีแค่กรณีสุดท้ายอย่างเดียวที่ความได้เปรียบของเรย์เรื่องมนตราจะไม่ช่วยอะไรเลยเพราะแม้จะต้านคำสาปแต่ก็ไม่ได้ช่วยต้านพลังจิตหากไม่ใช่พวกที่มีจิตใจแน่วแน่มากพอหรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่มีพลังจิตเหมือนกันเช่นเขาเท่านั้นแต่อย่างว่าหากเป็นสองกรณีแรกเขาคงเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่าอีกทั้งผู้มีพลังจิตนั้นเมื่อเทียบกับผู้ใช้มนตราแล้วมีอยู่ในสัดส่วนที่น้อยกว่ามากเสียด้วย

“แล้วนายเอาเรื่องนี้มาบอกฉันทำไม คงไม่ได้แค่อยากจะให้ฉันรู้เรื่องนี้เฉยๆเท่านั้นใช่ไหม?” พวกเขาไม่ได้ว่างมากพอจะมาแลกเปลี่ยนข่าวสารกันถึงขนาดนั้นหากไม่มีเหตุจำเป็นแล้วพวกเขาจะไม่ช่วยเหลือกันเสียด้วยซ้ำถ้าอีกฝ่ายไม่เอ่ยปากขอมาเองหัวหน้าหน่วยอย่างพวกเขาจะไม่ช่วยกันเด็ดขาดมันเป็นศักดิ์ศรีส่วนตัวของแต่ละคน

“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว แต่นายไม่คิดเหรอเรย์ว่าหมู่นี้มันชักจะมีอะไรแปลกๆ ‘ภารกิจ’ที่พวกเราทำน่ะช่วงนี้แล้วค่อนข้างจะมีอะไรที่เหมือนกับจะเชื่อมโยงกันอยู่แต่ไม่ว่าจะวิเคราะห์ยังไงก็มองไม่ออก” เขาใช่ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ครอสบอกแต่ถึงแบบนั้นข้อมูลที่พวกเขามีในมือตอนนี้ก็ยังน้อยเกินกว่าจะสรุปอะไรออกมาได้อย่างเด่นชัด

“อันนี้ฉันไม่เถียงแถมจากลางสังหรณ์ของฉัน ถ้าพวกเราไม่รีบสืบให้รู้ละก็อาจเป็นเรื่องใหญ่ที่สายเกินแก้เลยก็ได้” ยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆงานที่เขาทำมาพักนี้รวมไปถึงเรื่องของเรือโจรสลัดผีสิงนั้นเหมือนมีอะไรเชื่อมกันอยู่แต่เขายังมองไม่เห็นสายใยนั่น

“ข้อมูลที่มีตอนนี้น้อยเกินไปบางทีเราอาจต้องให้เอลช่วยในการวิเคราะห์ด้วยแต่ หมอนั่นมันจะยอมช่วยหรือเปล่ายังเป็นปัญหา” เขาก็รู้ดีว่าชื่อที่ครอสพูดถึงนั้นเป็นสุดยอดด้านการวิเคราะห์และค้นหาข้อมูลแต่ถึงแบบนั้นก็ยังยากจะบอกว่าจะยอมช่วยหรือไม่

“เอาเถอะ ในเมื่อคิดไม่ออกก็คือคิดไม่ออก คิดมากไปกว่านี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สู้เอาเวลามาทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก่อนดีกว่า” ในเมื่อข้อมูลมีน้อยเกินไปก็อย่าเพิ่งเสี่ยงตั้งสมมิฐานที่ยังมีความคลุมเคลือแล้วรอข้อมูลใหม่แล้วค่อยมาวิเคราะห์อีกทีก็ยังไม่สาย

“แล้วก็ฉันมีเรื่องจะฝากนายอีกเรื่องนึงเรย์” ในขณะที่เขากำลังจะลุกออกไปจากโต๊ะคำพูดของครอสก็หยุดเขาเอาไว้อีกครั้งแววตาจริงจังจากดวงตาสีน้ำตาลเกือบดำคู่นั้นทำให้เขาต้องยอมรับฟังคำพูดของอีกฝ่าย

“ในกรณีที่ต้นตอของเรื่องเป็นผู้ใช้พลังจิต ฝากตะบันหน้ามันแทนฉันที” มันอาจเป็นทิฐิโง่ๆแต่สำหรับเขาแล้วเขาทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นผู้ใช้พลังจิตแบบเดียวกับเขาใช้พลังในการทำร้ายผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องแบบนี้สำหรับเขาพลังจิตเป็นพลังที่วิเศษและเหมาะจะใช้ในการต่อสู้เพื่อทำลายความชั่วร้ายไม่ใช่มาทำร้ายผู้บริสุทธิ์

“อา ฉันรับปากก็แล้วกันในกรณีที่ฉันได้ทำภารกิจนี้และเจ้านั่นเป็นผู้ใช้พลังจิตจริงๆ อะนะ” เรย์โบกมือลาครอสขึ้นไปบนบ้านอย่างรวดเร็วโดยส่วนตัวแล้วต่อให้ได้รับภารกิจมาเขาก็ไม่สนใจสักเท่าไหร่อย่างมากก็ไปจับอีกฝ่ายมาเท่านั้นโดยไม่ได้รู้เลยว่าในยามนั้นเขานี่แหละจะเป็นคนที่ปรารถนาในการเข่นฆ่าอีกฝ่ายมากที่สุด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel