chapter5-3
ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่บัดนี้มีเรือสำราญสุดหรูลำหนึ่งซึ่งค่อยๆแล่นเอื่อยอยู่กลางทะเลผู้คนที่อยู่บนเรือส่วนมากนั้นเป็นพวกมหาเศรษฐีที่มีเงินเหลือใช้เกินเหตุกันทั้งนั้นที่จะมาหาความสำราญบนเรือนี้หากแต่เรื่องเหล่านี้นั้นก็ต้องมีข้อยกเว้นกันบ้าง
“แล้วทำไมตูต้องมาขึ้นเรือพรรค์นี้ฟะ” เจ้าคนที่จากใจจริงไม่อยากขึ้นเรือเลยนั้นได้แต่แค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ เพราะที่จริงแล้วเขาไม่เคยอยากจะมาขึ้นเรือที่น่าเบื่อขนาดนี้เลยถ้าให้เขาเลือกเขายินดีช่วยงานในร้านดีกว่ามาทำภารกิจแบบนี้
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับเรย์ ถือโอกาสว่าเราได้มาเที่ยวไง” ทางด้านของคนที่คอยเป็นคู่หูมานานอย่างอลันกลับตรงข้ามเขารู้สึกแจ่มใสสุดๆกับการได้มาเที่ยวในครั้งนี้เพราะตลอดชีวิตเขาแทบจะเที่ยวนับครั้งได้แถมยังฟรีตลอดงานอีก
“ฉันไม่ชอบเที่ยว นายก็รู้สิ่งที่ฉันชอบที่สุดคือการนอนอยู่บ้านและอีกอย่างเจ้าลุงก็งกจองมาให้ห้องเดียวแต่ให้นอนอัดกันตั้งสามคนเนี่ยนะ” ผิดกับเจ้าคนที่ยังรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจไม่หายกับการต้องมาร่องเรือในคราวนี้แต่ไหนแต่ไรเขาเป็นคนไม่ชอบการเดินทางแต่เป็นผีติดถิ่นอยู่บ้านเสียมากกว่า
“เลิกส่งเสียงดังก่อนที่ฉันจะอัดนาย อุ๊บ” สมาชิกหน่วยสี่อีกคนที่รู้สึกรำคาญคำบ่นของเรย์ตั้งท่าจะเดินเข้าไปหาแต่ก็ไม่ไหวเนื่องจากเจ้าตัวนั้นไม่ชินกับการเดินทางในทะเลส่งผลให้เกิดอาการเมาเรือขึ้นมาอย่างง่ายดายจนตอนนี้แค่จะลุกมามีเรื่องกับเรย์เหมือนที่ทำประจำยังทำไม่ได้
“ก่อนจะมีเรื่อง ฉันว่านายเดินโดยไม่เซก่อนดีกว่าไหม สหาย” สภาพคาซึกิตอนนี้ต่างจากนักดาบที่ทำให้เขารู้สึกอยากเอาชนะโดยสิ้นเชิงเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกสงสารที่ปนความสมเพศนิดๆไปด้วยทำเอาคาซึกิได้แต่เม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ที่พวกเขาได้มาอยู่ในเรือสำราญสุดหรูแบบนี้ทั้งที่ในความเป็นจริงเงินจากค่าเบี้ยเลี้ยงรายเดือนและเงินค่าภารกิจมารวมกันก็ไม่มีทางที่จะซื้อตั๋วได้นั้นเป็นเพราะภารกิจของพวกเขาในคราวนี้จำเป็นต้องมาที่ทะเลนั่นเอง
ภารกิจของพวกเขาในคราวนี้คือการกวาดล้างเรือโจรสลัดที่หมู่นี้ออกอาละวาดในแถบบริเวณนี้เป็นประจำและยังชอบปล้นสินค้าและฆ่าลูกเรือไปจนหมดสร้างปัญหาให้กับการขนส่งทางทะเลมากอีกทั้งยังทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนไม่น้อยแล้วด้วยจนภารกิจนี้ถูกส่งมาให้กองทหารมนตราของเขา
“ไอ้ลุงนั่นบอกไม่เคยจำ ก็บอกว่าภารกิจทำลายล้างแบบนี้มันงานหลักของครอสกับไซไงฟะ ทำไมขยันให้ฉันทำเหลือเกิน” ไอ้เรื่องภารกิจมันไม่หนักหรอกที่เขาเบื่อก็คือการต้องมานั่งรอคอยเวลาให้โจรสลัดบุกมาบนเรือนี่ต่างหากแถมไม่มีอะไรยืนยันด้วยซ้ำว่าสุดท้ายพวกมันจะมาหรือเปล่า
“แต่ผมว่าเรย์ก็ดูจะเหมาะกับภารกิจแนวๆนี้ออก” อลันเห็นว่าเรย์เหมาะสมกับภารกิจแนวนี้พอตัวเพราะมนตราธาตุแสงของเรย์นั้นทั้งรุนแรงและทรงพลังแถมยังยากจะหลบพ้นอีกด้วยหากให้เทียบกันแล้วอานุภาพการทำลายล้างของเรย์ก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย
“ว่าแต่คาซึกิ นายไหวเปล่าวะเนี่ย เมาเรือหนักมากเลยนี่นา” จนตอนนี้คาซึกิอ๊วกออกมาจนเขาคิดว่าไม่เหลืออะไรในท้องแล้วถ้ายังฝืนปล่อยออกมามากกว่านี้อีกละก็มีหวังเครื่องในได้ออกมาแทนเป็นแน่ส่วนทางด้านของคนโดนถามกลับไม่ได้ตอบอะไร
“ตอนแรกนึกว่าพามารับลมทะเลจะดีขึ้นแต่ดูเหมือนจะหนักกว่าเดิมอีกแฮะ งั้นไปนอนที่ห้องดีกว่าน่ามา” เขาไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าเพื่อนคนนี้จะมีอาการเมาเรือหนักขนาดนี้มาก่อนดังนั้นทางที่ดีพาไปนอนพักก่อนที่เจ้าจะถึงเวลาลุยจริงๆจะดีกว่า
“ไม่ต้องฉันเดินกลับเองได้” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวปัดมือของเรย์ที่คิดจะไปช่วยพยุงทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใยก่อนที่จะเดินโงนเงนค่อยๆกลับเข้าไปความไม่เป็นมิตรของคาซึกิที่มีต่อเขารวมถึงระยะห่างที่วางเอาไว้กับคนอื่นๆนั้นไม่ลดลงตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลยแม้แต่น้อยจนเรย์อดคิ้วกระตุกไม่ได้
“ไอ้บ้าเอ๊ย!! สถาพแบบนั้นเลิกอวดเก่งซักทีเถอะน่า ถ้าไม่ให้พาไปดีๆจะใช้กำลังละนะเฟ้ย” หากเป็นตามปกติเรย์อาจจะปล่อยผ่านแต่ในสภาพแบบนี้ถ้าเรือโคลงอีกสักทีเจ้านี่ไม่มีทางลุกขึ้นแน่นอนเขาจึงไม่อาจฝืนปล่อยผ่านไปได้และถ้าเจ้านี่ไม่ยอมให้พยุงทางเลือกก็เหลือเพียงหนึ่ง
“จะ จะทำอะไร ปล่อย” เสียงของคาซึกิสั่นไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าตอนนี้ตนโดนรวบร่างขึ้นมาบนบ่าและถูกหิ้วไปทั้งอย่างนั้นด้วยความที่เขาในตอนนี้แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆทำให้ไม่เหลือแรงต่อต้านเจ้าคนมือไวนี่เลยสักนิด
“บอกให้ปล่อยไง!! คิดจะทำอะไรฉัน!!” เสียงของเจ้าตัวยังคงดังจนคนเริ่มหันมาดูแต่แน่นอนมนุษย์ไม่แคร์สื่ออย่างเรย์ไม่เคยมีคำว่าสนใจอยู่แล้วเขาจัดการเดินพาร่างของเจ้าคนที่ถูกหิ้วไปทั้งแบบนี้โดยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงกระซิบกระซาบ
“เลิกดิ้นสักที!! จบงานนี้จะมาฟาดปากกันก็ไม่ขัด แต่ตอนนี้อยู่เฉยๆไปก่อนแค่เดินยังจะไม่ไหวอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” สภาพของคาซึกินั้นเขาที่เป็นผู้ใช้มนตราธาตุแสงที่ถนัดด้านการเยียวยาย่อมสามารถประเมินได้จากภายนอกอย่างไม่ยากเย็นอยู่แล้ว
“มันเรื่องของฉัน” ถึงแบบนั้นคาซึกิก็ยังไม่ยอมแพ้แม้จะรู้ดีว่าตัวเองในตอนนี้อยู่ในสภาพที่แค่เดินยังยากลำบากแต่การจะยืมมือคนอื่นไม่ใช่นิสัยอยู่แล้วและยิ่งมาถูกผู้ชายอุ้มแบบนี้ด้วยอีกทำให้เจ้าตัวออกแรงดิ้นมากขึ้น
“ก็อย่ามาทำตัวอ่อนแอจนแทบจะยืนไม่ไหวให้เห็นสิเฟ้ย!! เรื่องมากจริงหลับไปก่อนไป!!” เรย์ที่เริ่มรำคาญจัดการฟาดสันมือเข้าใส่คำคอเรียวของเจ้าคนที่ถูกหิ้วมาและแน่นอนทั้งระยะและสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยนี้เองทำให้คาซึกิแทบไม่มีโอกาสต่อต้านเลยแม้สักนิด
“กว่าจะสงบลงได้ ไอ้บ้านี่” ไม่เคยรู้ว่าการทะเลาะกับคนป่วยมันจะเหนื่อยได้ขนาดนี้เลยก่อนที่เขาจะพาคาซึกิไปยังห้องพักที่พวกเขาถูกจัดเตรียมไว้อย่างรวดเร็วก่อนพาเจ้าคนที่มีสีหน้าขาวซีดจนแทบจะเป็นกระดาษไปวางบนเตียงอย่างนุ่มนวล
“ตอนแรกนึกว่าตัวจะหนักกว่านี้ซะอีกแต่ตัวเบาจังแฮะ แถมยังเอวบางร่างน้อยกว่าที่คิดอีก” ตอนแรกเขาคิดว่าคาซึกิจะตัวหนักกว่านี้เสียอีกแต่พออุ้มมากลับรู้สึกว่าเบากว่าที่เขาเคยคาดการณ์เอาไว้มากแถมเอวยังบอบบางจนดูราวกับ
‘เฮ้ยๆๆ เดี๋ยวก่อนๆ นี่คงไม่ใช่...’ ความเป็นไปได้ที่ผุดขึ้นมาในหัวนั้นทำเอาเขาเหงื่อตกเพราะสภาพร่างกายของคนตรงหน้ามันก็ใกล้เคียงอยู่เพราะหากสังเกตดีๆแล้วละก็ใบหน้าที่จัดได้ว่าคมคายที่หากมองโดยลบอคติบอกได้เลยว่าหล่อนั้นหากมองอีกมุมมันก็ดูสวยคมคายไปอีกแบบเมื่อมารวมกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาใหม่
“ฮ่าๆๆ ตลกน่ามันจะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า เรานี่ชักเพี้ยนๆแล้วแฮะ เอาเป็นว่าไปฉกยามาให้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวตื่นขึ้นมาจะได้ให้มันกินได้” เขาไล่ความคิดไร้สาระออกไปจากหัวของตนเองแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้คาซึกินอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง
ดวงตาสีเขียวดุจผืนป่าคู่นั้นค่อยๆเปิดขึ้นมาอย่างเชื่องช้าอาการวิงเวียนเล่นงานเจ้าตัวมากกว่าที่คาดคิดจนตอนนี้ยังรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยการที่เพื่งตื่นขึ้นมาทำให้คาซึกิอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมตนถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ก่อนที่ดวงตาสีเขียวของเขาจะเบิกตากว้างและลุกพรวดขึ้นมา
“อย่าลุกพรวดขึ้นมาสิฟะ เพิ่งเมาเรือไม่ใช่เรอะลุกขึ้นมาดื้อๆแบบนั้นเดี๋ยวก็ร่วงอีกรอบ นั่นไง” เสียงเตือนที่มันไม่ทันเพราะในยามนี้เจ้าคนที่เพิ่งลุกขึ้นมานั้นเริ่มเอามือกุมขมับจากอาการวิงเวียนเล็กน้อยทำให้เรย์อดถอนใจเบาๆไม่ได้
“ดื้อจริงฟะนายนี่ เอายาแก้เมาเรือไปขอมาให้แล้ว กินซะแล้วกินโจ๊กนี่ไปด้วย คงทำให้พออยู่ท้องได้บ้าง” เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมมันถึงส่งแววตาแบบนั้นมาได้ทุกเวลาราวกับอาฆาตเขามาตั้งแต่ชาติปางก่อนทั้งที่เขาแน่ใจว่าไม่เคยเอามีดไปแทงบรรพบุรุษฝ่ายไหนของมันเสียหน่อย
“ไม่ต้องส่งแววตาเหมือนฉันทำอะไรนายหรือเปล่าเลย ไอ้แววตาแบบนั้นเขาสงวนลิขสิทธิ์ใช้ได้เฉพาะผู้หญิงเฟ้ย และฉันไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นด้วยฉวยโอกาสกับผู้ชายมีแต่จะขาดทุนย่อยยับมากกว่า” นี่ถ้าไม่ติดว่าไอ้บ้านี่ป่วยอยู่แล้วมันส่งแววตาแบบนี้ละก็เขาจะส่งศรแสงไปทักทายมันสักหน่อยแล้วหากแต่ด้วยความที่สภาพในตอนนี้ทำให้เขาพอหยวนๆให้ได้
“คิดว่าคงกินได้นะ ฉันทำเองแต่วัตถุดิบที่ฉกมาจากห้องครัวชาวบ้านเขามันก็ทำได้แค่นี้” แม้ไอ้ห้องสุดหรูนี่จะมีเครื่องครัวไว้ให้คนที่อยากทำอาหารลองทำดู(ซึ่งเขาแน่ใจว่าไอ้เศรษฐีที่มางานแบบนี้ไม่มีทางแตะของพวกนี้แน่นอน)แต่วัตถุดิบนั้นมันมีแต่พวกขนมขบเคี้ยวดังนั้นเขาจึงทำการฉกมาจากห้องครัวส่วนหนึ่ง
“ไม่ขอบคุณหรอกนะ” ต้องยอมรับว่าตัวเขาในตอนนี้เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างเหมือนกันดังนั้นคาซึกิจึงรับยาในมือแล้วกินลงไปก่อนรับชามอาหารที่ถูกตั้งไว้ข้างๆด้วยแม้จะบอกว่าทำได้แค่นี้แต่กลิ่นหอมกรุ่นที่ลอยมาจากโจ๊กบอกถึงความอร่อยได้เป็นอย่างดี
“ฉันทำอะไรไม่เคยหวังคำขอบคุณจากใครอยู่แล้ว ฉันทำเพราะอยากทำ” เขาไม่เคยสนว่าใครจะมองเขาแบบไหน ไม่เคยใส่ใจว่าใครจะนินทาเขาเช่นไรเพราะเขาแค่ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้องมันก็เท่านั้น
“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันมีเรื่องที่อยากเคลียร์ให้จบกับนายก่อน” เมื่ออยู่กันแค่สองคนและเจ้าหมอนี่อยู่ในสภาพอ่อนแรงเช่นนี้จึงไม่มีโอกาสไหนที่มันจะดีไปมากกว่านี้อีกแล้วส่วนทางด้านของคาซึกิที่เห็นดังนั้นก็หยุดมือลง
“นายเกลียดขี้หน้าอะไรฉันขนาดนั้น ฉันเคยทำอะไรนายมาก่อนหรือไง” หากตอนแรกที่มีเรื่องกันนั้นเขาพอเข้าใจว่าจะไม่ชอบหน้าเขาเพราะตอนนั้นเขาก็ไม่อยากได้หมอนี่มาร่วมหน่วยจริงๆนั่นแหละแต่ในเมื่อเขาก็เลิกคิดมากกับเรื่องนั้นแล้วเจ้าหมอนี่จะมาคิดมากเรื่องนั้นอีกทำไม
ส่วนทางด้านของคาซึกิได้แต่ปิดปากเงียบดวงตาสีเขียวที่คมเหมือนพญาเหยี่ยวคู่นั้นทอแววอ่อนลงชั่วขณะเพราะตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องไม่ชอบใจคนผู้นี้มากขนาดนี้จากภารกิจที่ผ่านมาก็ได้เห็นแล้วว่าหัวหน้าหน่วยคนนี้ไม่ได้นิสัยเลวร้ายอย่างที่แสดงออกแต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันไม่สิอันที่จริงก็รู้อยู่หรอก
“คงเป็นเพราะคิดว่าการเป็นนายนี่มันดีจังนะ ประมาณนั้นละมั้ง” เป็นครั้งแรกที่ในยามคุยกันน้ำเสียงของคาซึกิไม่แข็งกระด้างและเป็นครั้งแรกที่ดวงตาที่แต่เดิมเคยคมกริบชอบเสียดแทงเขาเป็นประจำนั้นอ่อนลงจนดูแปลกตาไปโดยสิ้นเชิง
“ฉันมาเข้าหน่วยนี้เพราะการร้องขอนายก็คงจะรู้สินะว่าการทำแบบนี้มันต้องมีสาเหตุอะไรแอบแฝง” แน่นอนเขารู้อยู่แล้วดูจากสีหน้าบอกบุญไม่รับในตอนที่ต้องมาเป็นลูกน้องเขาก็รู้แล้วยิ่งเป็นหน่วยของเขาที่ติดอันดับในชื่อเสียงด้านลบด้วยยิ่งแล้วใหญ่
“ฉันน่ะเข้ามาเพราะอยากหาข้อมูลเกี่ยวกับของสิ่งนี้” เจ้าตัวยื่นตราอันหนึ่งมาให้เขามันเป็นตราที่ลวดลายของดอกไม้ที่มีกลีบห้ากลีบอยู่ด้วยดูเรียบง่ายแต่ก็โดดเด่นมันราวกับเป็นตราของสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่างที่ทำให้เรย์ขมวดคิ้วแทบจะเป็นปม
“จริงๆ แล้วฉันสูญเสียความทรงจำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ที่จำได้ก็มีแค่ชื่อกับเพลงดาบแค่สองอย่างนี้เท่านั้นเอง การใช้มนตราน่ะมาฝึกเอาทีหลัง” คำพูดของคาซึกิทำเอาเรย์เบิกตากว้างเพราะไม่นึกว่าเพื่อนผู้ไม่ชอบการพูดของตนจะเก็บปัญหาแบบนี้เอาไว้ด้วย
“สิ่งที่ติดตัวมีแค่เสื้อผ้า ดาบและก็ตรานี้เท่านั้น ดาบน่ะฉันให้ใครดูไม่ได้เพราะมันเป็นอาวุธป้องกันตัว ส่วนตรานี้น่ะฉันลองตระเวณหาข้อมูลตามที่ต่างๆแต่ก็หาไม่เจอเค้าลางของมันเลย” การค้นหานั้นแทบจะมืดแปดด้านเพราะไม่เจอข้อมูลอะไรเลยไม่ว่าจะไปถามจากพ่อค้าข่าวหรือตามสถานที่ต่างๆก็ไม่พบ
“หลังจากนั้นฉันเลยเข้ากองทหารมนตราเพราะคิดว่าถ้าทำงานที่นี่ได้สักพักและมีเส้นสายในระดับนึงอาจหาเจอก็ได้ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นสัญลักษณ์ของอะไรกันแน่” ถ้าทำงานที่นี่ก็เป็นทั้งการหาเงินและรวบรวมข่าวสารไปในตัวแม้ว่าการทำภารกิจต่างๆคนเดียวมันจะลำบากไปสักหน่อยแต่ก็พอจะถูไถไปได้
“และฉันก็ได้ยินเกี่ยวกับว่าถ้าได้เข้ามาอยู่ในหน่วยทั้งเจ็ดของกองทหารมนตราจะมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลในเชิงลึกที่ตามปกติแล้วไม่มีโอกาสจะเข้ามาค้นคว้าได้ เลยลองฝากความหวังเอาไว้กับมันและก็ขอยื่นเรื่องในวันนั้นน่ะ”
“สิทธิพิเศษของคนในหน่วยทั้งเจ็ดสินะ” มันเป็นสิทธิที่ให้กับทหารมนตราที่มีฝีมือเพียงพอและความไว้ใจได้เท่านั้นเพราะมันเป็นข้อมูลที่ลับและเชิงลึกมากหากหลุดหรือแพร่งพรายออกไปอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเลยทีเดียว
“ใช่ แต่ถึงแบบนั้น ก็ยังไม่เจออะไรเลย มันลึกลับถึงขนาดนั้นเลยจนฉันชักท้อแล้วว่าตกลงมันคือตราของอะไร แล้วฉันเป็นใครกันแน่?” น้ำตาไหลปริ่มตรงหางตาทั้งที่ยอมลงทุนไปมากมายขนาดนี้กลับพบเพียงความว่างเปล่าตกลงแล้วตัวตนของเขานั้นเป็นอะไรกันแน่หรือที่จริงแล้วเขาเป็นคนไม่มีตัวตนกันนะ
“ฉันไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนต่อ อดีตก็มืดมิด อนาคตก็ไร้หนทางจนฉันได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆงั้นเอง” หยดน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาได้ระบายให้คนอื่นได้ฟังตลอดเวลาที่ผ่านมาคนไร้อดีตอย่างเขาไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ไม่รู้ว่าใครจะไว้ใจได้จึงเผลอสร้างกำแพงกับทุกคนโดยไม่รู้ตัวแต่กับเรย์ที่ยอมเปิดปากคุยกันตรงๆเช่นนี้ทำให้ความรู้สึกที่อัดอั้นมานานพรั่งพรูออกมาอย่างมิอาจอดกลั้น
“พอได้มาเจอนายที่กล้าเดินไปตามเส้นทางที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้องอย่างไม่สั่นคลอน ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้โดยไม่ลังเล มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าทำไมฉันไม่เป็นให้ได้อย่างนายบ้างนะ” ไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนเลยคนที่แม้จะถูกทุกคนมองว่าบ้าบอหรืออะไรยังไงก็ไม่เคยสนใจแต่ยังคงทำตามใจอยากของตัวเองต่อไป
ชื่อเสียงของเรย์จากที่ได้ยินมาในตอนแรกนั้นราวกับเขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ท้าตีท้าต่อยชาวบ้านเขาไปทั่ว ชอบใช้กำลังและยังเป็นคนทำอะไรแหกกฏเป็นประจำมีแต่ชื่อเสียงด้านลบจนตอนแรกเขาตกใจที่ต้องมาเข้าหน่วยเช่นนี้ตอนที่อยู่ในห้องของผู้บังคับบัญชา
แต่พอได้มาเจอตัวจริงแล้วแม้จะเป็นคนชอบหาเรื่องแต่โดยเนื้อแท้กลับเป็นคนดีกว่าที่คิดชอบทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแต่จุดนี้จะไปว่าไม่ได้เพราะเขาก็เป็นเหมือนกัน เป็นคนที่สามารถยืดหยุ่นกฏเกณฑ์และทำให้คนที่อยู่รอบข้างอดผ่อนคลายไปด้วยไม่ได้ที่สำคัญคือใจดีและชอบใจอ่อนกับเรื่องไม่เข้าเรื่องอย่างไม่น่าเชื่อ
และเจ้าตัวก็ไม่สนใจด้วยว่าใครจะมองเช่นไรแม้คนอื่นจะมองยังไงแต่ก็ยังทำทุกอย่างเสมอต้นเสมอปลายเช่นเดิมไม่หวั่นไหวกับคำพูดและสายตาของผู้อื่นถึงจะดูเหมือนบ้าหากแต่เขาก็เป็นคนแน่วแน่และอบอุ่นมากคนนึงเท่าที่เคยรู้จักเลยทีเดียว
“มันก็แค่ผลพลอยได้จากการเดินทางนานๆเท่านั้นเองล่ะน่า ไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมขนาดนั้นหรอก” ตอนแรกเขานึกว่าหมอนี่เกลียดอะไรเขาซะอีกแต่ที่ไหนได้ดันมาพูดชมเขาแบบนี้ทำเอาเขาอดขนลุกไม่ได้เหมือนกัน
“แต่ว่านายก็พยายามเต็มที่แล้วนี่นา ถึงนายจะไม่ได้อะไรกลับมาแต่ฉันก็ขอชื่นชมนะว่านายมีความอดทนค้นหาอดีตได้ขนาดนั้น เป็นฉันเลิกล้มตั้งแต่สามวันแรกแล้ว” สำหรับเขาอดีตถ้าไม่รู้ก็ไม่เห็นตายไม่สิ อันที่จริงแล้วเขาอยากจะไม่มีอดีตมากกว่าจะต้องมามีอดีตแบบตัวเขาในตอนนี้
“สำหรับฉันแล้วนะ ถ้าไม่นับการที่นายเขม่นเหมือนกับจะเอาดาบเสียบฉันสามเวลาหลังอาหารละก็ นายเป็นคนที่ใช้ได้คนนึงเลยแน่วแน่ในการตามหาอดีตและไม่ละทิ้งความพยายามถึงมันจะไม่สำเร็จแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาอายสักหน่อย โดยส่วนตัวฉันชอบนายที่เป็นแบบนั้นนะ” แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ถือว่าได้ทุ่มสุดตัวลงไปแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะต้องว่ากล่าวเลยสักนิดเพราะนั่นเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายคนนึงทำเต็มที่แล้วผลลัพธ์หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที
“หึ งั้นเหรอ” พอได้พูดระบายออกไปทำให้สบายใจขึ้นพอดูและโดยไม่รู้ตัวรอยยิ้มเล็กๆประดับอยู่บนใบหน้าของเจ้าตัวทำให้ใบหน้าที่แต่เดิมเคยทำแต่สีหน้าเรียบเฉยหรือไม่สบอารมณ์กลับทำให้เจ้าตัวดูดีขึ้นมากกว่าเดิมร่วมเท่าตัวและยังทำให้หมอนี่ดูราวกับ...
“เป็นอะไรไปเหรอ?” แต่ในวินาทีต่อมามันก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยสีหน้าแปลกใจแทนเมื่อพบว่าคนเบื่องหน้าตนเองกำลังขยี้ตาแบบเอาเป็นเอาตาย
“เปล่า เหมือนลูกตาจะเพี้ยนไปหน่อย แต่ไอ้เรื่องตราน่ะรับฝากไว้ที่ฉันก่อนได้ไหม ฉันมีคนที่น่าจะพอช่วยเรื่องนี้ได้ แต่ต้องเอาไปให้เขาดูและคงต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ น่ะ” เขาไม่พูดแน่นอนว่าพริบตาเมื่อครู่หมอนี่ดูสาวขึ้นอย่างประหลาดมิเช่นนั้นการที่เขาอุตส่าห์เคลียร์กับมันตั้งนานต้องกลายเป็นได้ถูกดาบคาตานะไล่สับแน่นอน
“ได้สิ” ยังไงเขาก็ไม่มีข้อมูลอะไรอยู่แล้วและมืดแปดด้านแล้วด้วยหากว่ามีความหวังเล็กๆที่จะสามารถตามหามันได้เขายินดีจะเสี่ยงแต่อันที่จริงต่อให้หาไม่เจอก็ไม่เป็นไรเพราะลึกๆแล้วเขาก็รู้สึกว่าการได้ผจญภัยร่วมกับคนๆนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
