chapter5-2
เวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็วในที่สุดก็ได้เวลาปิดร้านของพวกเขาแล้วดังนั้นงานในร้านจึงเหลือเพียงแค่การทำความสะอาดตัวร้านเท่านั้นเพราะในเรื่องของห้องครัวทั้งไรอาและเรย์เป็นคนจัดการจนหมดหน้าที่ในส่วนนี้จึงตกมาอยู่ที่อีกสองสาวในชุดเมดที่เหลือ
“เฮ้อ วันนี้เหนื่อยจริงๆ เลยน้า ไม่นึกเลยว่างานในร้านมันจะหนักแบบนี้” แม้ว่าเธอไม่เคยคิดว่าการทำงานนั้นมันจะสบายแต่เธอก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าแค่การเป็นเด็กเสริฟจะเหนื่อยขนาดนี้เพราะร้านนี้พอถึงเวลาลูกค้ามาจริงๆ นั้นวุ่นวายแทบจะทำเอาเธอหัวหมุนไปหมดเพราะลูกค้ามาแทบไม่ขาดสายเลยขนาดเธอที่เคยทำงานพิเศษมาบ้านยังรู้สึกเหนื่อย
“เอ๋ แต่หนูไม่เหนื่อยเลยนะ สนุกดีออกได้เจอคนมากหน้าหลายตาแบบนี้น่ะ” แม่สาวตัวน้อยกลับต่างออกไปเธอเคยชินการทำงานในร้านอาหารนี้มาเป็นปีแล้วจึงไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิดยิ่งความที่มีพลังงานเหลือเฟือแบบนี้ด้วยแล้ว
“เอ้าๆ อย่ามัวแต่โม้ รีบเก็บร้านให้เสร็จเถอะ พี่กับพี่ไรอาอุตส่าห์ทำแกงกะหรี่เอาไว้ทั้งที” เรย์ที่จัดการเก็บห้องครัวของร้านเสร็จแล้วและในยามนี้เจ้าตัวกลับมาอยู่ในชุดปกติเรือนผมสีขาวที่เคยยาวนั้นก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมดั่งทหารมนตราคนนั้น
“จริงอะพี่ชาย งั้นหนูจะรีบทำความสะอาดเร็วจี๋เลย” พริบตาต่อมาความเร็วในการทำความสะอาดของแม่สาวตัวน้อยก็สูงขึ้นเป็นเท่าตัวทำเอาคานาเดะอดทึ่งกับพลังงานของแม่ตัวน้อยที่ราวกับจะไม่มีวันหมดไม่ได้
“แต่นายนี่ก็น่าแปลกใจเหมือนกันนะว่าทำยังไงผมถึงได้ยาวสั้นกลับไปกลับมาแบบนั้นได้” ผมที่ยาวขึ้นของเรย์นั้นเธอแน่ใจว่ามันไม่ใช่วิกร้อยเปอร์เซนต์จากคำยืนยันของเจ้าตัวและแม่น้องสาวแถมผมที่ยาวขึ้นของเขานั้นยังนุ่มสลวยมากด้วย
“ก็บอกแล้ว ความลับทางการค้า” เขายักไหล่อย่างไม่สนใจเพราะอันที่จริงแล้วหากให้ถามเขาก็ไม่ได้ชอบที่จะอยู่ในสภาพแบบนั้นเท่าไหร่แต่เป็นเพราะเรเดียที่เคยเห็นเขาในสภาพนั้นอยากให้เขาแต่งชุดเมดเขาเลยยอมก็เท่านั้นเอง
“เย้ เสร็จแล้ว” เสียงใสที่ทำเอาคนทั้งสองชะงักเพราะในยามนี้นั้นร้านอาหารถูกทำความสะอาดจนหมดเกลี้ยงแล้วทั้งที่มันเพิ่งจะผ่านไปเพียงไปประมาณห้านาทีเสียด้วยซ้ำบริเวณที่ต้องทำความสะอาดยังเหลืออีกกว่าครึ่งแต่ถึงแบบนั้นแม่ตัวน้อยนี่กลับทำความสะอาดเสร็จหมดแล้ว
“รีบไปกันเถอะพี่ชาย หนูหิวจะแย่แล้ว” น้องสาวตัวน้อยของเขารีบวิ่งเร็วจี๋ขึ้นไปยังห้องกินข้าวของบ้านที่อยู่ชั้นสองทิ้งให้เรย์และคานาเดะอึ้งไปตามกันขนาดเรย์ที่อยู่กับน้องสาวตัวเองมาร่วมห้าปียังงงไม่ต้องพูดถึงคานาเดะที่เพิ่งรู้จักกับเรเดียได้ไม่กี่วันเลย
“น้องสาวนายนี่ร่าเริงดีเนอะ แหะๆๆ” เสียงหัวเราะแห้งๆเนื่องจากเธอแทบจะจนด้วยคำพูดทั้งมวลไปแล้วส่วนทางด้านของเรย์นั้นเลิกสนใจในเรื่องนี้แล้วเดินตามแม่น้องสาวของเขาไปกินข้าวเย็นที่เขากับพี่สาวทำเอาไว้ให้อย่างรวดเร็ว
“หอมจัง แถมน่ากินมากเลยด้วย” กลิ่นหอมของอาหารนั้นลอยโชยออกมากระตุ้นความหิวของผู้คนได้เป็นอย่างดีส่วนทางด้านของแม่ตัวน้อยนั้นเมื่อได้กลิ่นก็เดินเข้าไปหาจานของตัวเองอย่างรวดเร็วหากแต่ถูกพี่สาวหยุดเอาไว้ซะก่อน
“ไปล้างมือก่อนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวค่อยมากินข้าวนะ” คำพูดของพี่สาวนั้นแม้จะทำให้แม่ตัวน้อยหน้างอไปเล็กน้อยแต่เธอก็ยินดีทำตามโดยไม่ปริปากบ่นใดๆ ภาพที่อยู่ตรงหน้านั้นดูไม่เหมือนพี่สาว-น้องสาวเลยหากแต่มันดูราวกับแม่กับลูกสาวที่น่ารักเสียมากกว่า
“ทานละนะค้า” แม่สาวตัวน้อยกล่าวจบก็ตักอาหารใส่ปากอย่างรวดเร็วในทันทีส่วนทางด้านของคนอื่นๆนั้นก็เริ่มกินด้วยเช่นกันทางด้านของเรย์กับไรอานั้นไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาเพราะทั้งสองย่อมรู้ถึงรสชาติอาหารที่ตนทำอยู่แล้วผิดกับอีกคนสองที่เหลือ
“อร่อยมากเลย ไม่เคยกินข้าวราดแกงกะหรี่ที่อร่อยขนาดนี้เลยนะเนี่ย” แม้เธอจะเคยกินแกงกะหรี่แบบนี้มาบ้างก็ตามหากแต่ก็มันไม่ได้อร่อยมากเท่านี้ทั้งเนื้อที่นุ่มจนแทบจะละลายในปากแต่ก็เหนียวกำลังดีไม่เละรวมถึงเครื่องต่างๆและตัวแกงก็กลมกล่อมกำลังดี
“แหง ก็ทำกันเองตั้งแต่ผงแกงไม่ได้ใช้แกงสำเร็จรูปสักแอะ” เขากับพี่สาวนั้นไม่ได้ทำโดยใช้ผงแกงสำเร็จรูปหากแต่เริ่มทำตั้งแต่ผงแกงกันเลยต่างหากต้องนับว่าโชคดีที่เขาเคยฝึกทำมาบ้างไม่อย่างนั้นเขาคงช่วยพี่สาวตัวเองทำอาหารไม่ได้แน่ๆ
“จริงเหรอเนี่ย” สมัยนี้แทบไม่มีใครทำผงแกงกันเองแล้วเพราะโดยส่วนมากการทำนั้นมันยุ่งยากเลยมักจะซื้อผงแกงสำเร็จรูปมาทำกันเสียมากกว่าเพราะสะดวกแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะยังไงเธอก็เป็นแม่ครัวในร้านอาหารนี่นะ
“งั่มๆ แกงกะหรี่ที่พี่ชายกับพี่สาวทำอร่อยที่สุดเลย” เสียงใสอารมณ์ดจากแม่สาวตัวน้อยที่กินอาหารในจานตนเองหมดเรียบร้อยนั้นทำเอาคนเป็นพี่ทั้งสองอดยิ้มไม่ได้ก่อนที่แม่สาวตัวน้อยจะลุกขึ้นมาเติมอาหารอย่างรวดเร็ว
“เรเดียกินแครอทไปด้วยสิ พี่อุตส่าห์ใส่ไม่เยอะแล้วนะ” หากสังเกตให้ดีที่ขอบจานของแม่ตัวน้อยจะมีแครอทที่ถูกเขี่ยออกมาจากจานด้วยส่วนทางด้านของเจ้าตัวที่ได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งราวกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าทำความผิด
“ไม่เอาอะ ก็หนูไม่ชอบนี่นา ขมจะตาย” เธอดื้อแพ่งไม่ยอมกินเสียแบบนั้นเพราะสำหรับเธอแล้วแครอทนั้นเป็นผักชนิดเดียวที่เธอไม่ชอบกินเอาเสียเลยแต่กับผักชนิดอื่นนั้นเธอสามารถกินได้อย่างไม่มีปัญหา
“อย่าเลือกกินสิ พี่กับพี่ไรอาอุตส่าห์ทำตั้งนานนะ แถมพี่อุตส่าห์ทำให้มันไม่ขมแล้วด้วย” แครอทที่อยู่ในแกงนั้นเขาจัดการอย่างดีเพื่อให้น้องสาวของเขากินได้ด้วย ตัวแครอทแทบจะละลายไปในปากด้วยซ้ำแต่ทางด้านของแม่ตัวน้อยก็ยังคงดื้อตามประสาเด็กที่เกลียดผัก
“อย่าดื้อสิจ๊ะเรเดีย พี่กับพี่เรย์น่ะทำด้วยความตั้งใจเต็มที่เลยนะ จะให้มันเสียเปล่าหรอ?” คำพูดของพี่สาวของเธอทำเอาแม่สาวตัวน้อยที่ตอนแรกกะจะดื้อแพ่งไม่ยอมกินชะงักไปเล็กน้อยก่อนเกิดอาการลังเลขึ้นมาก่อนจ้องมองไปยังแครอทในจานของตน
“มะ มันไม่ขมจริงนะ” น้ำเสียงของเธอสั่นเล็กน้อยราวกับกลัวว่าเวลาที่เข้าปากไปแล้วมันจะขมขึ้นมาส่วนทางด้านของไรอาพยักหน้ายืนยันเบาๆกับน้องสาวของเธอเพื่อยืนยันว่ามันไม่ขมจริงๆก่อนที่แม่ตัวน้อยจะเอื้อมมือไปตักอย่างเชื่องช้า
นั่นทำให้เจ้าตัวเอาช้อนที่ตักแครอทเข้าปากพลางหลับตาปี๋อย่างน่ารักหากแต่พอผ่านไปได้สักพักเธอก็ลืมตาขึ้นมาก่อนที่ดวงตาสีฟ้าสดใสคู่นั้นจะฉายแววแปลกใจ
“ไม่ขมจริงๆ ด้วย แถมยังหวานมากเลย อร่อยจัง” เสียงของเรเดียที่ประหลาดใจเพราะเมื่อก่อนตอนเด็กๆเธอกินแครอทที่ร้านอาหารนั้นมันขมแถมแข็งมากจนเธอเข็ดกับผักชนิดนี้ไปเลยแต่ในวันนี้ทัศนคติกับผักนี้กลับเปลี่ยนไปลิบลับก่อนที่เธอจะรีบกินข้าวแกงกะหรี่หมดไปอีกจาน
“ก็บอกแล้วไงว่ามันอร่อย วัตถุดิบทุกอย่างพี่ไรอาทำเอาไว้ให้เรากินได้เลยนะ แล้วยังจะเลือกกินอีกแบบนี้มันต้องลงโทษสักหน่อย” เรย์เอื้อมมือไปดึงแก้มของแม่สาวตัวน้อยในทันทีส่วนทางด้านของเรเดียนั้นก็ดิ้นขลุกขลักจากการลงโทษของพี่ชาย
“แอ อี่ไออาอ้วยอูอ้วย(แง พี่ไรอาช่วยหนูด้วย)” เสียงร้องของแม่สาวตัวน้อยที่ถูกดึงแก้มพร้อมกับที่มือเล็กนั้นทุบพี่ชายของเธอราวกับต้องการประท้วงแต่แน่นอนว่าเรี่ยวแรงที่ทุบนั้นสำหรับเรย์แล้วมันเป็นเพียงการนวดเบาๆเท่านั้น
บรรยากาศครอบครัวที่แสนอบอุ่นเช่นนี้นั้นทำเอาคานาเดะที่เป็นคนนอกอดยิ้มไม่ได้ความสนิทสนมของพี่น้อง ความอบอุ่นของคนในครอบครัวนั้นมันทำให้รอยยิ้มที่ตามปกติมักสดใสกลายเป็นรอยยิ้มเหงาหงอยไปวูบนึงก่อนกลับมาเป็นปกติตามเดิม
“ไง อิ่มจนลุกไม่ไหวเลยเหรอ?” หลังจากที่จัดการเรื่องจานชามเสร็จแล้วเรย์จึงเดินเข้ามาหาคานาเดะที่จนตอนนี้ก็ยังนั่งอยู่ในบ้านหากแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะนิสัยอย่างแม่นี่เขาไม่คิดว่าเธอจะขโมยอะไรอยู่แล้ว
“อือ ก็แน่นท้องอยู่นะ แต่ไม่นึกเลยว่าน้องสาวของนายจะกินเก่งขนาดนี้ ตอนแรกฉันนึกว่าจะเหลือเอาไว้เยอะซะอีก ที่ไหนได้กินคนเดียวเรียบ” เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันไม่รู้แล้วที่เธออดตกใจไม่ได้จากปริมาณอาหารที่แม่ตัวน้อยกินเข้าไปมันมากกว่าเธอและพี่ๆทั้งสองคนของเด็กคนนั้นรวมกันเสียอีก
“อะนะ ยังสงสัยเลยว่าน้องสาวของฉันมีกระเพาะสี่มิติหรือเปล่า?” ยังคงเป็นปริศนาสำหรับเขาจนทุกวันนี้ว่าทำไมน้องสาวของเขาถึงได้กินเก่งขนาดนี้แต่ก็ยังไม่ยอมโตเสียทีส่วนทางด้านของคานาเดะที่เห็นสีหน้าของเขาก็อดหัวเราะเบาๆไม่ได้
“ว่าแต่เธอน่ะเป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ๆ ก็ทำสีหน้าแบบนั้น” ดวงตาสีฟ้าครามหันมาจับจ้องคนข้างตัวส่วนทางด้านของแม่สาวนักดนตรีชะงักไปเล็กน้อยปากจะปฏิเสธในเรื่องนั้นแต่พอได้เห็นแววตาจริงจังของเขาเธอก็เงียบไป
“ขนาดตอนนั้นนายแกล้งน้องสาวตัวเองอยู่ยังสังเกตเห็นอีกเหรอ” เธออดยิ้มบางไม่ได้เพราะไม่นึกว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นด้วยซ้ำมันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาจริงๆ แต่คนข้างตัวของเธอยังอุตส่าห์สังเกตเห็นจนได้
“ฉันมันพวกสัมผัสไว แค่ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์นิดหน่อยก็รู้ได้แล้วล่ะน่า ว่าแต่ตกลงเป็นอะไรกันแน่” แม้ว่าหลายต่อหลายครั้งเขาจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงเข้ามาอยู่ในอารมณ์แบบนั้นได้แต่โดยส่วนตัวแล้วเขามั่นใจว่าตังเองอ่านอารมณ์คนเก่งพอตัว
“อืม จะว่าไงดีล่ะ ฉันอิจฉาครอบครัวของนายละมั้ง”
“อิจฉา?” คำพูดของแม่สาวนักดนตรีทำให้เรย์อดขมวดคิ้วไม่ได้หากแต่เขาก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกไปมากกว่านั้นเพราะแม้ว่าในยามนี้ใบหน้าของเธอนั้นแม้จะมีรอยยิ้มประดับอยู่หากแต่มันแลดูอ้างว้างและเศร้าสร้อยจนน่าใจหาย
“แต่เดิมน่ะฉันน่ะเป็นเด็กกำพร้าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง ซิสเตอร์บอกว่าฉันน่ะถูกทิ้งมาตั้งแต่แรกเกิดโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อแม่” ตั้งแต่จำความได้เธอก็ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกพ่อแม่แล้วสำหรับเธอสิ่งที่ถูกเรียกว่าครอบครัวนั้นมันไกลตัวเหลือเกิน
“แต่บอกตามตรงฉันก็ไม่ได้คิดมากหรอกนะ ไม่เคยร้องไห้เพราะเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ไม่รู้จะนั่งร้องไห้ให้คนที่ทอดทิ้งเราไปทำไม ฉันเลยตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตให้สนุกสนานตามที่ตัวเองต้องการ” เธอไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นทำไมต้องจากเธอไปทั้งที่เป็นคนให้กำเนิดเธอออกมาแต่เธอไม่อยากรู้และไม่สนใจจะรู้ด้วยในเมื่อพวกเขาทอดทิ้งเธอได้เธอก็ทอดทิ้งพวกเขาได้เช่นกัน
“รอบตัวของฉันมีแค่พี่สาวซิสเตอร์แล้วก็เพื่อนๆเท่านั้นเอง จนกระทั่งวันที่ฉันได้ยินเพลงของคุณเครอาเข้าวันนั้นแหละที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป” ตัวเธอในตอนเด็กๆนั้นไม่ได้สนใจถึงอนาคตเลยแค่สนุกสนานไปวันๆตามประสาเด็กเท่านั้นแต่พอได้ยินเพลงที่คุณเครอาเล่นในวันนั้นมันเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเธอเลย
“ฉันอยากเล่นดนตรีให้ได้อย่างนั้นบ้าง เลยพยายามเก็บเงินแทบเป็นแทบตายแต่ก็แทบไม่ได้เลย โชคดีที่ตอนนั้นมีคนใจดีคนนึงยกไวโอลีนเก่าๆ ให้ฉัน” ตอนแรกเธอรู้สึกท้อแท้ไม่น้อยเพราะค่าไวโอลีนแต่ละตัวนั้นแพงเหลือเกินสำหรับเด็กอย่างเธอแล้วมันแทบจะเป็นความฝันที่ไกลเกินเอื้อมมือ
“ฉันไม่รู้หรอกว่าพี่สาวคนนั้นเป็นใครไม่รู้กระทั่งชื่อแต่เธอใจดีมาก เธอบอกด้วยว่าจริงๆเธออยากรับฉันไปอยู่ด้วยแต่ทำไม่ได้ เลยให้สิ่งนี้มาเป็นของขวัญแทนไวโอลีนตัวนั้นปัจจุบันนี้ฉันก็ยังใช้อยู่นะ แม้มันจะเก่าแล้วแต่สำหรับฉันมันมีคุณค่าทางจิตใจมากเลย”
“ฉันฝึกเล่นมันทุกวันขอให้ซิสเตอร์ช่วยหาเพลงมาให้ฉันเล่น จนวันนึงฉันก็ไปเจอกับวงออร์แลนเทียเข้า วันนั้นฉันยังจำได้ดีเลยนะว่าทุกคนในตอนนั้นน่ะมาเปิดการแสดงที่ห้างแห่งหนึ่งตัวฉันในตอนนั้นน่ะอยากให้คนอื่นๆได้ยินเสียงดนตรีของฉันบ้างเลยไปเล่นใกล้ๆ ไม่รู้ทำไมไปๆมาๆพวกนั้นถึงได้ยอมให้ฉันเป็นหัวหน้าวงกันนะ” ตัวเธอในตอนนั้นอายุเพียงสิบสามปีเท่านั้นเองที่เธอแบกไวโอลีนไปเล่นตอนนั้นเพราะอยากให้มีคนเยอะๆมาลองฟังดนตรีของเธอดูเพราะปกติเธอเล่นให้ฟังเฉพาะคนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างเดียว
“อ้อ และนั่นคือกำเนิดเจ้าหญิงแห่งเสียงดนตรีสินะ” เขาไม่รู้หรอกว่าประวัติของเธอเป็นแบบไหนเพราะเขาไม่คิดจะเข้าไปดูประวัติของใครสำหรับเขาแล้วอดีตไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเลยสักนิดสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเขาคือปัจจุบันต่างหาก
“ฉันไม่เศร้าใจเลยแม้จะไม่มีใครก็ตามเพราะดนตรีช่วยกลบช่องว่างพวกนั้นและยังแถมเพื่อนพ้องมาให้อีก ถามว่าฉันเสียใจที่ได้เป็นเด็กกำพร้าไหมขอบอกเลยนะว่าไม่สักนิดเพราะไม่งั้นอาจไม่มีฉันในทุกวันนี้ก็ได้” หากเธอมีพ่อแม่เธออาจไม่ได้ฟังดนตรีของคุณเครอา หากเธอมีพ่อแม่เธออาจไม่ได้เจอพี่สาวใจดีคนนั้นและพองเพื่อนที่อยู่ในวง หากเธอมีพ่อแม่เธออาจไม่ได้แตะต้องเครื่องดนตรี
“แต่ไม่รู้ทำไมพอได้เห็นภาพครอบครัวของนายแล้ว มันทำให้ฉันเหงาขึ้นมา” เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ ถึงได้รู้สึกแบบนี้ขึ้นมาทั้งที่มันไม่น่าจะมีเลยเธอเคยคิดว่าดนตรีและคนในวงช่วยกลบช่องว่างนี้กันหมดแล้วเสียอีก
แต่มันไม่เป็นแบบนั้นช่องว่างนั้นไม่ได้ถูกกลบมันแค่ถูกฉาบเอาไว้บางๆจนดูเหมือนไม่เป็นไรเท่าไหร่แต่จริงๆแล้วเธอก็ยังรู้สึกอิจฉาคนที่มีครอบครัวอบอุ่นแบบนี้แม้จะไม่เศร้าก็จริงแต่เธอก็อดที่จะเหงาไม่ได้ถ้ามีครอบครัวแบบที่คนข้างตัวมีมันก็อาจจะดีเหมือนกัน
“ก็พอเข้าใจละนะว่าการที่ไม่มีใครอยู่ข้างๆเลยมันก็ทั้งเหงาหงอยและเปล่าเปลี่ยวจนน่ากลัว” มือของเรย์เอื้อมไปลูบหัวของแม่สาวนักดนตรีข้างตัวอย่างถือวิสาสะแต่ทางด้านของเธอกลับไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเพราะความอบอุ่นที่ส่งผ่านเขามานั้นทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
“ฉันอาจจะกลบช่องว่างของเธอไม่ได้ อาจช่วยเธอไม่ได้มากนักเพราะฉันก็ยังเอาตัวเองไม่ค่อยรอด แต่ว่านะ” ตัวเขาเองยังมีปัญหามากมายที่แก้ไขไม่ได้ในชีวิตจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้แค่ไหนแต่ถึงแบบนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาจะทำเพื่อแม่สาวนักดนตรีที่ชอบทำตัวเข้มแข็งคนนี้ได้
“อย่าลืมล่ะว่าฉันยังอยู่ตรงนี้ เธอไม่ได้ตัวคนเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันพร้อมจะช่วยเธอเสมอ ถ้าเหงาก็คิดซะว่านี่เป็นบ้านของเธอก็ได้ยังไงก็มีที่เหลือเฟืออยู่แล้ว เรเดียก็คงดีใจด้วยที่ได้พี่สาวอีกคน” ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามืดนั้นทำให้จิตใจของเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นความเหงาเลือนหายไปอย่างน่าประหลาดเป็นอีกครั้งที่เขาทำให้จิตใจของเธอสงบดังเดิม
“ถือเป็นกรณีพิเศษฉลองการได้พนักงานร้านใหม่ ฉันจะเล่นเจ้านี่ให้ฟังแล้วกัน” สิ่งที่อยู่ในมือของเรย์คือฮาร์โมนิก้าสีดำอันนึงตัวมันไม่มีความพิเศษอะไรมากนักหากแต่ทางด้านของแม่สาวนักดนตรีที่เห็นดังนั้นกลับตาลุกวาว
“นี่นอกจากเปียโนกับไวโอลีนแล้วยังเล่นเครื่องดนตรีอะไรเป็นมั่งเนี่ย นายจะครบเครื่องไปแล้วนะทั้งเล่นดนตรี ทำอาหาร แถมยังต่อสู้อีก” หมอนี่ชักจะหลายความสามารถไปแล้วนะจนเธอชักคิดแล้วว่าเขายังเป็นคนอยู่หรือเปล่าความสามารถหลากหลายเหลือเกิน
“เฮ้ย อันนี้ฉันแทบเล่นไม่ได้เลยนะที่ฉันเล่นได้มีแค่สองอย่างนั้นแหละ และอีกอย่างเกือบทั้งหมดนั่นน่ะมันไม่ใช่ของฉันหรอก” ประโยคหลังทำเอาเธอมองคนตรงหน้าอย่างงุนงงแต่เธอก็ใส่ใจเรื่องนั้นไม่นานนักเนื่องจากตอนนี้เขากำลังจะเริ่มเล่นฮาร์โมนิก้าแล้ว
“แล้วฉันจะรอดูนะว่าไอ้ที่บอกเล่นแทบไม่ได้ของนายน่ะมันเป็นแบบไหน” เธอไม่ค่อยเชื่อในคำพูดนี้เท่าไหร่เพราะขนาดเปียโนที่เล่นได้ในระดับเดียวนั้นยังอยู่ในระดับสูงเกินคาดส่วนทางด้านของเรย์ก็เริ่มทำการเล่นในทันที
ดนตรีที่บรรเลงมาจากฮาร์โมนิก้าของเขานั้นอาจไม่ได้มีความไพเราะมากเท่าในยามที่เขาเล่นเปียโนหรือไวโอลีนหากแต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยเพราะดนตรีที่เขาเล่นออกมานั้นสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของบทเพลงออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“เธอจะร้องไห้ทำไมเนี่ย มันห่วยได้โล่ขนาดนั้นเลย” หลังเล่นจบเรย์ก็อดแปลกใจไม่ได้กับการที่เขาได้เห็นแม่สาวที่แจ่มใสตลอดเวลานั้นมีหยดน้ำเกาะอยู่ที่หางตาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวเลยสักนิดหากแต่ในวินาทีถัดมาเธอกลับยิ้ม
“เปล่าก็แค่คิดว่ามันเพราะมากน่ะ เพราะยิ่งกว่าดนตรีไหนๆที่เคยฟังในโลกซะอีก เพราะพอๆกับดนตรีของคุณเครอาเลย”
“ไอ้ดนตรีที่บรรเลงห่วยๆเนี่ยนะเพราะพอๆกับดนตรีของคุณแม่ หูเธอแปลกไปหรือเปล่าเนี่ย” ถึงจะบอกว่ารสนิยมของแต่ละบุคคลมันไม่เหมือนกันแต่การเอาดนตรีที่มาจากฮาร์โมนิก้าของเขาไปเทียบกับคุณแม่นั้นเป็นอะไรที่เขางงสุดขีด
“ฮิ ไม่หรอกฉันไม่ได้เทียบในแง่ของความเพราะหรือเทคนิคแต่เป็นอารมณ์ที่นายถ่ายทอดมาต่างหาก” เขาอาจไม่รู้ตัวก็ได้ว่าในยามที่เล่นฮาร์โมนิก้านั้นบรรยากาศที่เขาสร้างขึ้นมาชั่วพริบตานึงมันเลือนหายไปหมดจนเธอสัมผัสได้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม
“ขอบคุณมากนะที่ให้ฉันได้ฟังดนตรีเพราะๆ คิดถูกจริงๆที่มาทำงานที่ร้านนี้นับแต่นี้ไปสนุกแน่ ไปนะ” เธอโบกมือลาก่อนจากไปอย่างรวดเร็วทิ้งความงุนงงไว้ให้กับเรย์หากแต่เขาก็ถอนใจเพราะการจะเข้าใจผู้หญิงคนนี้อาจเป็นการยากไปนิด
“เอาเถอะถ้าเธอชอบฉันก็ดีใจละนะ ยัยบ๊อง”
