chapter4-9
การประชุมเจรจาระหว่างประเทศนั้นเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่จะจัดขึ้นเพียงสี่ปีต่อหนึ่งครั้งซึ่งเป็นงานเจรจาระหว่างประเทศการิคและเบลอฟที่แม้จะเป็นเพียงสองประเทศเล็กๆแต่เพราะเป็นประเทศที่เป็นผู้ส่งออกพลังงานเชื้อเพลิงรายใหญ่ของโลกทำให้งานเจรจาในครั้งนี้มีความสำคัญมาก
แม้จะอยู่ในยุคที่มีพลังพิเศษแล้วก็ตามหากแต่การเดินทางส่วนใหญ่ก็ยังต้องพึ่งพายานพาหนะอยู่เพราะแม้ว่าจะมีพลังที่ทำให้การเคลื่อนไหวรวดเร็วขึ้นแต่ก็ยังไม่สะดวกมากเท่าระบบขนส่งคมนาคมอยู่ดีดังนั้นเชื้อเพลิงทั้งหลายจึงยังคงมีความสำคัญอยู่
ปัจจุบันนี้นั้นเชื้อเพลิงยุคเก่าอย่างน้ำมันทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่ถูกยกเลิกการใช้งานไปหมดแล้วทุกวันนี้นั้นยานพาหนะต่างๆใช้แร่ควอซาร์ที่ถูกค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ใช้แทนเป็นที่เรียบร้อยซึ่งเป็นพลังงานทางเลือแบบใหม่ที่ทั้งสะอาดกว่าและมีราคาถูกกว่าอีกทั้งยังสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้อีกด้วยไม่เหมือนกับน้ำมันยุคเก่าที่ต้องกังวลว่ามันจะหมดไปจากโลกเมื่อไหร่
ประเทศที่จัดงานเจรจาในครั้งนี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่ส่งออกแร่ควอซาร์เป็นจำนวนมากแม้ทั้งสองประเทศจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆแต่มีความเข้มแข็งในตัวเองสูงมากหากว่าการเจรจาครั้งนี้ผิดพลาดจนกลายเป็นสงครามขึ้นมามันจะต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตอย่างแน่นอน
“ทำไมต้องมาแต่งชุดแบบนี้ด้วยฟะ โดยเฉพาะเจ้าเนคไทบ้านี่” เสียงบ่นงึมงำของเจ้าคนเกลียดความเป็นพิธีการดังขึ้นมาในขณะที่เจ้าตัวกำลังอยู่ในชุดสูทสีดำดูเป็นพิธีการอย่างมากทำให้ตัวเขาในวันนี้ดูแตกต่างจากทุกทีที่ชอบสวมเสื้อสีอ่อนไปโดยสิ้นเชิง
“นายนี่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มีปัญชากับชุดพวกนี้ตลอดเลยจริงๆ นะ” ครอสที่มองเจ้าคนข้างตัวอย่างเฉยชาเขาผิดกับเรย์ตรงที่ด้วยฐานะทางตระกูลทำให้เข้าร่วมงานสังคมเช่นนี้บ่อยครั้งการแต่งชุดจึงทำได้เองไปโดยปริยาย
“งี่เง่า” เสียงบ่นของคาซึกิที่มองดูเรย์หัวเสียมาหลายนาทีในการที่ต้องแต่งชุดพวกนี้เปรยขึ้นมาเบาๆดวงตาสีเขียวคมกริบมองมาทางชายผู้นี้ด้วยความเหนื่อยใจ
“นายไม่ต้องมาแต่งชุดแบบนี้ก็พูดได้เดะคาซึกิ” คาซึกินั้นอยู่ในชุดลำลองที่แม้จะดูพิธีการแต่ก็ไม่มากนักเพราะเน้นความทะมัดทะแมงคล่องตัวด้วยเนื่องจากคาซึกิมีหน้าที่เพียงระวังรอบนอกเท่านั้นจึงไม่จำเป็นต้องใส่ชุดเต็มสูบแบบเขา
“ช่างมันละ อุตส่าห์ใส่ชุดนี้แล้วแค่เนคไทเส้นเดียวคงไม่เป็นไร” ทางด้านของเรย์ที่มีปัญหากับเนคไทเส้นนี้มากนักจึงตัดสินใจจะโยนมันทิ้งไปเสียดื้อๆหากแต่ในตอนนั้นเองกลับมีมือข้างหนึ่งมายื้อไม่ให้เขาทำแบบนั้น
“ไม่ได้ครับ อยู่ในชุดพิธีการยังไงก็ต้องผูก เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะผูกให้เองก็แล้วกัน” อลันที่ดูจะเหนื่อยใจกับเพื่อนของตนเองมากจึงเข้ามายุ่งก่อนค่อยๆเอื้อมมือมาผูกเนคไทให้กับเรย์
“เฮ้ย ไม่ต้องก็ได้น่าอลัน ไม่ผูกก็ไม่เห็นตายเลย” เขาไม่ได้สนอยู่แล้วว่างานจะให้เขาเข้าหรือไม่เพราะต่อให้วางกำลังไม่ให้เขาเข้าแต่ถ้าเขาจะเข้าไปละก็ยังไงเขาก็ลอบเข้าไปได้อยู่ดีกับอีแค่เนคไทเส้นเดียวไม่เห็นจะจำเป็นต้องผูก
“อยู่นิ่งๆ สิครับ เดี๋ยวก็เบี้ยวหมดหรอก” เสียงบ่นของเจ้าคนที่ยุ่งกับเนคไทของเขาอยู่นั้นดังขึ้นมาก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้ามาค้อนเล็กน้อยทำให้เรย์ได้แต่ปล่อยให้เพื่อนของตนจัดการแต่โดยดีเพราะหมอนี่ก็มักมีนิสัยแปลกๆแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไหนแล้ว
“เรียบร้อยแล้วครับ แล้วอย่าแกะมันออกอีกละ”
“ยังไงก็ขอบใจแล้วกัน นายผูกให้แล้วดีกว่าฉันผูกเองเยอะ” แม้จะไม่ชอบเท่าไหร่แต่การผูกเนคไทของอลันนั้นนับว่าพอดีไม่ได้หลวมจนเกินไปแต่ก็ไม่รัดคอแน่นมากนักอีกทั้งยังดูเรียบร้อยดีด้วยทำให้เรย์ที่แต่เดิมมักบ่นเรื่องอึดอัดพอใจไม่น้อย
“หัดผูกเองบ้างสิครับ แบบนี้ถ้าผมไม่อยู่จะทำยังไงละเนี่ย” อลันรู้สึกอ่อนใจนิดหน่อยกับเพื่อนของตนที่ดูจะไม่ปรับปรุงตัวในด้านนี้เลยเวลาแต่ชุดสูทพวกนี้ทีไรเขาต้องเป็นคนที่คอยผูกเนคไทให้เพื่อนของตนเองทุกที
“แน่นอนก็ไม่ผูกน่ะสิ ว่าแต่ไอ้สายตาแปลกๆ นั่นมันอะไรฟะ” ทางด้านของเรย์ที่ดูจะแปลกใจกับสายตาคมกริบของคาซึกิที่จ้องมองมาทางตนไม่ได้แตกต่างจากเดิมนักแต่มันกลับทิ่มแทงยิ่งกว่าเก่า ส่วนครอสนั้นกลับจ้องมองพวกเขาสองคนด้วยสายตาแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
“เปล่า ไม่มีอะไร” ครอสโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็วและไม่คิดจะพูดเรื่องที่ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อครู่ออกไปในโดยเด็ดขาดเพราะเมื่อกี้เขาเหมือนเห็นภรรยาที่คอยผูกเนคไทให้สามีก่อนออกจากบ้านไปยังไงยังงั้น
ถึงตอนนี้เรย์จะยังบาดเจ็บแต่ความสามารถในการร่ายมนต์ยังเท่าเดิมอยู่ดีแม้เขาจะมั่นใจในฝีมือของตนเองแต่ถ้าต้องปะทะกับเจ้าเรย์จริงๆก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะได้ดังนั้นหากเลี่ยงได้เขาก็ควรจะเลี่ยง
“ว่าแต่ทางฝั่งผู้หญิงแต่งตัวเสร็จรึยังน้อ” ทางด้านของเรย์ที่เหลือบตามองไปยังฝั่งผู้หญิงที่พากันไปแต่งตัวกันนานโขแล้วแต่ไม่กลับมาสักทีกระทั่งสมาชิกในวงที่เป็นผู้ชายทั้งหมดยังแต่งตัวกันเสร็จหมดแล้วเหลือแค่ผู้หญิงอีกสามคนเท่านั้น
“มาแล้วจ้า” เสียงร้องอย่างร่าเริงอารมณ์ดีจนเป็นเอกลักษณ์ไม่มีใครเกินซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดก็รับรู้ได้ในทันทีว่าต้องเป็นคานาเดะอย่างแน่นอนพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างของเด็กสาวที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ร่างที่อยู่ตรงหน้าเป็นร่างของที่อยู่ในชุดเดรสสีเหลืองอ่อนแลดูสบายตา ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนทำให้ในวันนี้นอกจากจะความน่ารักแล้วเธอยังดูงดงามสมวัย เรือนผมสีเหลืองที่ชอบผูกเป็นเปียประจำนั้นถูกปล่อยออกสยายออกจนวันนี้เธอดูไม่เหมือนเด็กสาวร่าเริงสดใสแต่แลดูราวกับหญิงสาวที่อารมณ์อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจเสียมากกว่า
“ฉันดูเป็นไงบ้างเหรอ” ทันที่มาถึงเธอก็ตรงเข้าไปถามเรย์อย่างรวดเร็วพร้อมหมุนตัวให้ดูรอบหนึ่งส่วนทางด้านของเรย์ที่เห็นดังนั้นก็อดยิ้มบางออกมาไม่ได้
“ก็ดูดีละนะ ยอมรับเลยว่ายัยม้าดีดกะโหลกอย่างเธอแต่งขึ้นเหมือนกัน” ด้วยนิสัยและท่าทางที่คล้ายคลึงกับเรเดียทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าแม่สาวคนนี้อายุน้อยกว่าเขาเสมอทั้งที่เธอก็อายุเท่ากับเขาแท้ๆ มาวันนี้กลับดูเป็นผู้ใหญ่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาขึ้นมาได้
“ใครเป็นม้าดีดกะโหลกกัน แต่ก็ขอบคุณนะที่ชม” แม้ว่าเขาจะบอกว่าเธอเป็นม้าดีดกะโหลกแต่เธอก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเท่าไหร่เพราะแม้ปากจะบอกแบบนั้นแต่ชั่วพริบตานึงเธอสังเกตเห็นว่าเขาดูจะตกใจกับชุดที่เธอสวมในวันนี้มากซึ่งแค่นี้ก็นับว่าคุ้มค่ากับที่เธอยอมแต่งชุดนี้แล้ว
“เอ้า มัวทำอะไรอยู่ล่ะ รีบออกมาให้พี่ชายเห็นสิจ๊ะ เร็วเข้า” ทางด้านของมือวิโอล่าสาวซึ่งเป็นคนที่คอยสวมชุดให้กับสองสาวน้อยนั้นส่งเสียงพร้อมดันร่างของแม่สาวอีกคนซึ่งเข้าไปแต่งชุดนานจนผิดวิสัยก่อนที่ร่างของเด็กสาวอีกคนจะโผล่ออกมา
ร่างของเด็กสาวอยู่ในชุดเดรสสีชมพูอ่อนงดงามแปลกตาเรือนผมสีแดงยังคงเป็นทรงฮิเมคัทดังปกติหากแต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ความงดงามดั้งเดิมของเธอฉายชัดออกมาอย่างเต็มที่ เรือนขาเรียวเผยวับๆแวมๆยามที่เธอเคลื่อนไหว ดวงตาสีแดงที่ราวกับทับทิมเม็ดงามคู่นั้นกำลังจับจ้องมาทางมีพี่ชายราวกับกล้าๆกลัวๆ
“ถ้าเสร็จเรียบร้อยก็รีบไปกันเถอะ เราต้องไปเตรียมตัวอีกพักนึงด้วย” หากแต่ครอสไม่ได้สนใจจะหันมามองน้องสาวของตัวเองเลยแม้แต่น้อยก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไปจากห้องเหลือทิ้งไว้เพียงเด็กสาวที่ได้แต่นิ่งค้างไปเท่านั้น
“แฮะๆ พี่ชายของเราเขาคงแค่เครียดจากการทำงานเท่านั้นแหละ อย่าคิดมากเลยจ๊ะ” เธอรู้สึกผิดนิดๆ ที่ทำให้เด็กสาวต้องมีสีหน้าหงอยเช่นนี้เพราะตอนที่แต่งตัวนั้นเธอปฏิเสธเสียงแข็งที่จะต้องใส่ชุดนี้แต่เธอคะยั้นคะยอและบอกว่าพี่ชายจะต้องชมอย่างแน่นอน
การเดินทางไปงานประชุมนั้นค่อนข้างราบรื่นตลอดเส้นทางแม้ว่าพวกเรย์จะเฝ้าระวังการลอบโจมตีเอาไว้ในระดับนึงหากแต่มันกลับไม่มีการโจมตีมายังพวกเขาเลยสักนิดจนพวกเขาสามารถมาถึงงานแห่งนี้ได้โดยสวัดดิภาพ
“เอาล่ะนับจากตรงนี้ก็คงต้องให้เป็นงานของนาย คุ้มกันผู้ว่าจ้างให้ดีด้วยล่ะ” นับแต่นี้ไปพวกเขาต้องแยกกับทำงานดังแผนการที่วางเอาไว้ดังนั้นครอสจึงย้ำเตือนให้เรย์ตระหนักถึงหน้าที่หลักของตัวเองเอาไว้มิเช่นนั้นงานอาจล่มได้
“นายคิดว่าฉันเป็นใครวะครอส บอกแล้วไงว่าภารกิจที่ฉันลงมือทำน่ะอัตราสำเร็จร้อยเปอร์เซนต์น่ะ ” หากเป็นตามปกติเขาอาจมีรายการเหี้ยนดอดออกมาจากงานคุ้มกันหลักไปซัดกับชาวบ้านบ้างแต่กับงานนี้เขาไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด
“ เราก็เหมือนกันเนียร์ ระวังตัวด้วยล่ะ ” ตามปกติแล้วหากเป็นคำพูดของพี่ชายนั้นเธอก็มีทีท่าไม่ค่อยชอบใจอยู่แล้วยิ่งพอเป็นตอนนี้ด้วยแล้วแม่สาวน้อยคนนี้ยิ่งไม่สนใจมากกว่าเก่าดวงตาสีแดงทับทิมคู่นั้นเบือนมาหาพี่ชายอย่างรวดเร็ว
“ ไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องของฉันหรอกน่า!! ” สิ้นคำเธอก็ก้าวฉับๆเข้าไปในงานอย่างรวดเร็วเหลือทิ้งไว้เพียงผู้เป็นพี่ที่ได้แต่ถอดถอนใจเบาๆเพราะแม้น้ำเสียงที่พูดกับเขานั้นดูจะโกรธเคืองแต่สิ่งที่แววตาคู่นั้นแสดงออกมาคือความน้อยใจและคำตัดพ้อมากกว่า
“ ไม่ต้องห่วงฉันจะช่วยคุ้มครองแม่น้องสาวของนายให้ในระดับนึงด้วยแล้วกัน แต่ทางที่ดีไปคิดหาวิธีง้อคืนดีให้ไวก็แล้วกัน ” เรย์กระซิบก่อนที่จะเดินเข้าไปในอีกคนนึงหากแต่ในขณะที่เขาจะก้าวเข้าไปในประตูนั้นเองเขาก็ต้องหยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหันและตวัดสายตาไปทางด้านหลัง
ความรู้สึกเมื่อครู่ทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้เพราะมันแผ่วเบาและเลือนลางมากจนเขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพียงแค่การรู้สึกไปเองหรือไม่หากแต่เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติเท่าไหร่นักหากแต่เขาก็เดินเข้าไปในงานต่อโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยใดๆออกไป
“ ทีนี้ก็มาปัญหาของพวกเรา อลันนายคอยไปเฝ้าอยู่บนหอคอยนั่นสอดส่องความผิดปกติ คาซึกิตรวจตราโดยรอบอาณาบริเวณพยายามอย่าให้ใครจับพวกเราได้เพราะงานนี้แม้เราจะมาอย่างเปิดเผยแต่จะไปสอดส่องซ้อนทับกับคนอื่นตรงๆก็ไม่ดี ” นอกจากพวกเขาแล้วยังมีคนอื่นๆที่รับหน้าที่คุ้มกันด้วยงานเจรจาระดับประเทศแบบนี้คนคุ้มกันย่อมต้องมากเป็นธรรมดาเขาไม่อยากไปทำงานซ้อนทับกับคนอื่นเท่าไหร่
“ ชูนายก็ไปช่วยคาซึกิตรวจดูโดยรอบด้วย ส่วนฉันจะคอยสอดส่องภายนอกและหากจำเป็นก็จะเข้าไปสนับสนุนเจ้าเรย์มันด้านใน ” ด้วยความสามารถเทเลพอร์ตที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วทำให้เขาคิดว่าตนนั้นเหมาะกับตำแหน่งที่จะคอยเป็นตัวอิสระที่จะคอยสนับสนุนทั้งสองกลุ่มจะดีกว่า
“ ที่เหลือก็ ฝากด้วยล่ะเรย์ ” เขาฝากการเฝ้าระวังภายในตัวงานประชุมทั้งหมดให้กับเรย์และหากเจ้าหมอนี่ไม่ติดต่อมาเขาก็จะไม่เข้าไปช่วยโดยเด็ดขาด
ทางด้านของพวกเรย์นั้นพวกเขาเข้ามายังที่พักซึ่งถูกจัดเตรียมเอาไว้พร้อมกับที่พวกเขาเริ่มซ้อมเพลงในส่วนที่ต้องเล่นในวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย
“เยี่ยมเลย วันนี้หัวหน้าเรากลับมาท็อปฟอร์มเลยนะเนี่ย ต้องยอมรับว่าการพาหัวหน้าไปเที่ยวของนายนี่แน่มากไอ้น้อง” เสียงทักทายของมือเปียโนดังขึ้นมาทั้งที่เมื่อวานหัวหน้าของพวกเขานั้นกำลังอยู่ในช่วงอารมณ์บูดหากแต่มาวันนี้ดนตรีที่เล่นกลับสดใสกังวาลดังเดิมแล้ว
“ก็แค่ให้ยัยนี่เดินเที่ยวตามใจชอบแค่นั้นเอง ถึงขากลับมาจะบาดเจ็บไปนิดหน่อยก็เถอะแต่ก็แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษเลย” เขาไม่ได้บอกความจริงว่าแผลของเขายังไม่หายเพราะรังแต่จะเพิ่มความกังวลให้กับคนอื่นเขาเสียเปล่าๆในที่นี้ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงแล้วเขายังไม่หายดีกระทั่งเนียร์ที่เป็นทหารมนตราเหมือนกันก็ตาม
“แต่ฉันว่าดนตรีที่หัวหน้าเล่นน่ะเพราะกว่าเดิมอีกนะ จะว่าไปหัวหน้าคะตั้งแต่กลับมาจากเมื่อวานก็ดูจะพยายามแต่งตัวให้มากขึ้นหรือเปล่าเอ่ย” ทางด้านของนักดนตรีหญิงอีกคนในวงเจ้าของนามเซร่านั้นรู้สึกได้ในทันทีเพราะตามปกติแล้วหัวหน้าของพวกเธอนั้นไม่มีทางที่จะยอมใส่ชุดที่เธอเลือกให้หรอกเธอเลือกเพราะแค่อยากจะใส่สบายเสียมากกว่าที่ยอมแต่งชุดที่ตัวเองไม่ชอบแบบนี้หรือว่า
“หืม ทำไมเหรอ ฉันก็แค่คิดว่าอยากลองแต่งตัวดูบ้างเท่านั้นเอง” แม่สาวนักดนตรีเอียงคออย่างไม่เข้าใจในคำพูดของเธอหากแต่ทางด้านของมือวิโอล่าสาวกลับยิ้มขำอมพะนำไม่บอกต่อเธอคิดว่าทางที่ดีให้หัวหน้าของเธอรู้ตัวเองจะดีกว่า
“แต่ก็ดีแล้วละนะที่การเล่นดนตรีครั้งสุดท้ายของวงออร์แลนเทียหัวหน้าสามารถกลับมาท็อปฟอร์มแบบนี้ได้น่ะ” ชายชื่ออาเธอร์ดูโล่งใจเป็นอย่างมากเพราะตามปกติแล้วในยามที่หัวหน้าของพวกเขาเกิดเหวี่ยงขึ้นมาอย่างต่ำต้องใช้เวลาปรับอารมณ์สามสี่วันเคยมีบางครั้งที่หัวหน้าของพวกเขาปรับอารมณ์ไม่ทันทำให้การเล่นดนตรีในครั้งนั้นแม้คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้สึกแต่ถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญดนตรีจะรู้ได้เลยว่ามันกร่อยพิกล
“ครั้งสุดท้าย?” แต่ทางด้านของเรย์กลับขมวดคิ้วกับคำพูดของอีกฝ่ายมากกว่าส่วนทางด้านของคนที่เผลอหลุดปากไปนั้นก็ชะงักไปชั่วครู่หากแต่ก็แกล้งทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวินาทีถัดมา
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูอย่างแผ่วเบาก่อนที่เนียร์ที่เอาแต่เงียบมาตลอดจะเป็นคนเปิดประตูพร้อมกระชับอาวุธของตนเองเอาไว้ด้วย แม้ว่าจะอยู่ในงานประชุมแต่เธอก็จะประมาทไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวยิ่งเป็นในตอนที่เธอกำลังหงุดหงิดได้ที่แบบนี้อยู่ด้วยแล้วเธอยิ่งพร้อมจะเอาศัตรูมาเป็นเป้าอย่างเต็มที่
“อาหารว่างค่ะ” เสียงของบริกรหญิงคนนั้นก่อนที่เธอจะเข็นรถเข็นเข้ามาแล้ววางจานแซนวิชเอาพร้อมเครื่องดื่มเอาไว้อย่างรวดเร็วก่อนเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบงัน
“โอ้ กำลังหิวอยู่พอดี” ทางด้านของมือเปียโนตรงดิ่งไปหาแซนวิชของตัวเองอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในวงรวมไปถึงคานาเดะที่รู้สึกหิวอยู่ไม่น้อยก็เดินเข้าไปหาอาหารว่างของตนเองในทันทีพร้อมกับยกน้ำขึ้นมาดื่มไปได้อึกหนึ่ง
“มากินด้วยกันไหม?” แน่นอนว่าคนที่เธอชวนนั้นหาใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากหัวหน้าหน่วยที่สี่นั่นเองทางด้านของเรย์นั้นก็เดินตามคำชวนของเธอพร้อมกับหยิบแซนวิชขึ้นมาด้วยเช่นกันหากแต่ในตอนนั้งเองเขาก็ต้องหยุดไป
“ทานละนะค้า อะ ว้าย” เธอหยิบแซนวิชชิ้นหนึ่งก่อนเตรียมจะกินโดยไม่ได้สังเกตคนข้างตัวเธอเลย ขณะที่กำลังจะเอาเข้าไปในปากนั้นเองที่แซนวิชในมือของเธอถูกปัดทิ้งลงไปบนพื้นอย่างรวดเร็วและไม่ใช่เพราะฝีมือของใครนอกเสียจากคนที่เธอเพิ่งออกปากชวนให้มากินด้วยกัน
“อย่ากิน มันมียาพิษ!!” เสียงประกาศดังไปทั่วห้องและคำพูดนั่นเองที่ทำให้คนทั้งห้องชะงักไปในทันทีมือที่กำลังจะนำอาหารว่างเข้าปากหยุดกึกกลางอากาศพร้อมกับที่เรย์มองสำรวจคนอื่นๆไปในตัวหากแต่ดูเหมือนเขาจะเตือนช้าเกินไป
“อ่อก” เสียงของมือเปียโนดังขึ้นมาพร้อมกับเลือดสดๆที่ถูกพ่นออกมาอย่างรวดเร็วยาพิษที่เพิ่งกินเข้าไปนั้นออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างที่ล้มทรุดลงไปกับพื้นในทันทีท่ามกลางความตื่นตะลึงของเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ
“ชานัน” เสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจของทุกคนในวงก่อนที่พวกเขาจะวิ่งเข้าไปดูอาการของเพื่อนในทันทีหากแต่ทางด้านของคนที่ถูกเรียกดูจะไม่มีสติเลยแม้แต่น้อยเพราะฤทธิ์ของพิษนั้นกำลังทำให้ร่างของเขาสั่นกระตุกอยู่
“หลบก่อน เดี๋ยวขอดูอาการหน่อย” ทางด้านของเรย์นั้นผลักให้ทุกคนออกไปจากบริเวณที่กำลังออกันอยู่ในตอนนี้ชายที่ได้รับยาพิษเข้าไปนั้นยังคงกระอักเลือดออกมาไม่หยุดริมฝีปากเริ่มเขียวขล้ำร่างกายยังคงสั่นกระตุกไม่หยุดเช่นเดิมอีกทั้งใบหน้ายังเริ่มขาวซีดไร้สีเลือดแล้วด้วย
“พิษทำลายระบบประสาทงั้นเหรอ?” เรย์ที่มองเพียงครู่เดียวก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของพิษในทันทีพิษทำลายระบประสาทนั้นเป็นพิษตระกูลที่นิยมใช้กันมากเพราะจะสามารถสังหารเหยื่อได้รวดเร็วและต่อให้รักษาได้ก็ยังมีอาการตกค้างอยู่หากไม่รีบรักษาอาจอันตรายถึงชีวิต
“ทำไงดีคะรุ่นพี่เรย์ เราไม่รู้ด้วยว่าเป็นพิษอะไรกว่าจะหาเซรุ่มได้ก็...” ไม่นับในกรณีที่ไม่มีเซรุ่มต่อให้เป็นพิษที่มีเซรุ่มต้านพิษได้ก็ตามหากแต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากว่าจะรู้ว่าเป็นพิษของอะไรนั้นคนที่ถูกพิษอาจตายไปก่อนก็เป็นได้
“ก็ต้องลองทำเท่าที่ทำได้ล่ะนะ” ทางด้านของเรย์ที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมาไม่น้อยหากแต่ดูเหมือนเขาจำเป็นจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างมิเช่นนั้นแล้วภารกิจในคราวนี้ของพวกเขาจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน
“ข้าแด่เทพีแห่งการรักษาเอเลน่า ผู้เมตตาสรรพชีวิตทั้งปวง ด้วยความเมตตาอันเปี่ยมล้น โปรดเยียวยาชีวิตแห่งพวกพ้องข้าให้หายจากพิษภัยทั้งปวง แสงอรุณแรกทิวา” มนต์ธาตุแสงบทเดิมถูกใช้ออกอีกครั้งแต่คราวนี้เขาร่ายเต็มบทอีกทั้งยังทุ่มพลังมนตราปริมาณมหาศาลลงไปด้วย
พร้อมกันนั้นเองที่ร่างของชายที่ถูกพิษนั้นเริ่มทุเลาอาการลงอาการชักกระตุกเลือนหายไปรวมถึงใบหน้าเริ่มกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้งหนึ่งส่วนทางด้านของเรย์ที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาและพยุงร่างของคนผู้นี้ขึ้นมา
“ชำระพิษออกไปหลายส่วน ทีนี้ก็พ้นขีดอันตรายแล้วพาไปหาหมอพักฟื้นสักอาทิตย์ก็น่าจะหาย” คำพูดของเรย์ทำให้ทุกคนในวงนั้นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาที่เพื่อนของตนพ้นขีดอันตรายแล้วพร้อมกับที่พวกเขาไปติดต่อเรื่องพาชานันไปโรงพยาบาล
“เดี๋ยวสิ ถ้าชานันไม่อยู่แล้วเราจะเล่นกันยังไงล่ะ” คำพูดของคานาเดะทำเอาเรย์ชะงักไปในทันทีเช่นเดียวกับคนอื่นๆในวงที่นึกถึงปัญหานี้ได้เช่นกันเพราะนี่เป็นปัญหาที่หนักหนามากเลยทีเดียว
“เอ่อ ถ้าเปียโนไม่อยู่จะเล่นไม่ได้เลยเหรอคะ” ทางด้านของเนียร์ที่ดูจะไม่เข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์ตรงหน้าหากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเพราะเธอไม่ได้รู้เรื่องดนตรีคลาสสิกมากเสียเท่าไหร่นัก
“เพลงที่พวกเราบรรเลงในคราวนี้เป็นสไตล์น็อคเทิร์นที่มีเปียโนเป็นตัวหลัก ถ้าขาดเปียโนไปเราเล่นไม่ได้แน่นอน” มือวิโอล่าสาวอธิบายหากขาดชานันไปสักคนก็ไม่มีใครคอยเล่นเปียโนนั่นเท่ากับว่าพวกเธอจะไม่อาจแสดงได้ไปโดยปริยาย
“ทำไงดีละ” ทางด้านของคานาเดะส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยินแต่ถึงแบบนั้นเรย์ก็ยังได้ยินอยู่ดีสีหน้าของเธอนั้นแม้จะไม่ได้ยิ้มแย้มเหมือนทุกทีแต่ก็ไม่มีความกังวลเหมือนคนอื่นๆในวง หากแต่แม้จะทำสีหน้าแบบนั้นแต่เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าตัวเธอในตอนนี้กำลังกังวลเป็นอย่างมากจากคำพูดเมื่อครู่
