chapter4-10
ทางด้านของครอสที่เฝ้าดูอยู่รอบนอกนั้นก็กำลังเดินเอื่อยเฉื่อยตรวจตราโดยรอบอย่างไม่ค่อยมีจุดหมายเพราะในสายตาของเขาแล้วการเดินตรวจตรานั้นไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่นักแต่ที่เขาทำนั้นเป็นเพราะตัวเขาไม่รู้จะทำอะไรดีมากกว่า
“อลันตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกติสินะ ” เสียงติดต่อดังลอดไปตามเครื่องติดต่อสื่อสารเพราะยังไงเสียคนที่มีระยะการมองรวมไปถึงคนที่มีความสามารถสังเกตการณ์สูงที่สุดในกลุ่มนั้นก็ต้องยกให้กับเจ้ามือปืนคนนี้นั่นแหละ
“ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี” เขาไม่ใช่พวกบ้าการต่อสู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรที่เขาเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้นั้นเพียงเพราะแค่ต้องการจะรู้ว่าเพราะอะไรเผ่าอสูรถึงได้เข้ามาโจมตีมนุษย์เท่านั้นเรื่องการต่อสู้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาเท่าไหร่นักดังนั้นการที่ยังไม่เกิดอะไรขึ้นก็ถือเป็นเรื่องดีแต่เขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะคงตัวเช่นนี้ต่อไปได้นานนัก
“อะ มีรถคันนึงกำลังแล่นเข้ามาในพื้นที่ครับ” เสียงติดต่อลอดมาตามสายพร้อมกับที่ครอสขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยก่อนเหลือบมองไปยังนาฬิกาข้อมือของตนเองเพราะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างประหลาด
“ไม่ต้องเป็นห่วง ดูเหมือนเป็นเพียงแค่รถขนส่งของธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษ” ทางด้านของคาซึกิที่เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของรถคันนั้นอยู่จากวงนอกติดต่อมาเช่นกันเพราะการเปลี่ยนแปลงของสายลมทำให้เขาสัมผัสได้ถึงรถที่เคลื่อนที่เข้ามาในงานประชุมเช่นกันและดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ชู ป่นรถคันนั้นซะ” เสียงสั่งการดังลอดผ่าเครื่องติดต่อไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือครอสส่งเสียงเข้าสู่สมองของเด็กหนุ่มผมแดงโดยตรงเลยต่างหากทางด้านของคนถูกสั่งเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างพร้อมพุ่งเข้าใส่รถบรรทุกคันนั้นอย่างรวดเร็ว
ตูม
ร่างของเทพแห่งเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่รถบรรทุกคันนั้นก่อนที่รถคันนั้นจะพลิกคว่ำในทันทีราวกับระเบิดมนุษย์ไม่จบเพียงแค่นั้นเพราะทางด้านของเจ้าตัวยังคงใช้เปลวเพลิงทำลายรถคันนั้นต่อไปโดยไม่มีคำว่าปราณีใดๆ
“อลัน คาซึกินั่นเป็นกับดัก สังหารทุกคนที่อยู่ในรถและบริเวณโดยรอบตัวรถรัศมีหนึ่งร้อยเมตร พวกนั้นคืออสูร” เสียงสั่งการของครอสดังขึ้นมาส่วนทางด้านของอาชูร่าที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่มีคำว่าลังเลใดๆเปลวเพลิงสายหนึ่งพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนที่เฝ้าอยู่รอบนอกในทันที
“กี๊ซ” เสียงร้องด้วยความทรมานดังขึ้นมาพร้อมกับเนื้อหนังมนุษย์ที่เริ่มหลุดลอกเผยให้เห็นว่าภายในนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่มนุษย์จริงๆแต่เป็นอสูรที่ใช้มนต์จำแลงร่างมาเท่านั้น
“นี่มันอะไรกัน?” เสียงของคาซึกิดังขึ้นด้วยความตื่นตระหนกแต่ก็ไม่มีเวลาคิดมากนักเพราะเหล่าคนที่แต่เดิมเคยทำหน้าที่ตรวจตราดีๆนั้นในยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นอสูรพร้อมกับพุ่งเข้ามาโจมตีเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงแบบนั้นทางด้านของคาซึกิก็หาได้เกรงกลัวใดๆต่อเหตุการณ์ตรงหน้า คมดาบคาตานะที่หลับไหลอยู่ในฝักถูกชักออกมากระบวนดาบอิไอถูกวาดออกด้วยความรวดเร็วผ่าร่างของอสูรเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายดาย
“หึ ตลกน่าฉันจำตารางเวลาการส่งของและการเดินรถทั้งหมดแล้วงานใหญ่ระดับนี้คงไม่มีเรื่องนอกเหนือกำหนดการนักหรอกแถมเจ้าพวกยามก็ดันปล่อยให้เข้าหน้าตาเฉยโดยไม่ติดต่อใครในงานเลยยิ่งผิดปกติเพราะงั้นสรุปได้อย่างเดียวว่าไอ้ที่เดินกันให้ขวักตอนนี้เป็นพวกที่โดนเก็บแล้วสวมรอยมากันทั้งนั้น” ความสามารถในการจดจำของครอสอยู่ในระดับที่น่าทึ่งก่อนเริ่มงานเขาสืบข้อมูลเรื่องตารางเวลาในงานมาหมดแล้วดังนั้นเขาจึงจำได้ทั้งหมดว่าในเวลานี้ในตารางกำลังทำอะไร
“แต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามนต์มายาที่ปกปิดกลิ่นอายน่ะเนียนมาก เดี๋ยวนี้กระทั่งคลื่นจิตยังปลอมแปลงได้ทำเอาตัวฉันในตอนแรกที่ไม่ได้ใส่ใจมากนักยังไม่รู้ตัว แต่บังเอิญว่าไอ้ตัวที่กำลังบุกเข้ามาน่ะดูเหมือนว่าจะทรงพลังจนการปลอมคลื่นจิตใช้ไม่ได้ผลนะ” ด้วยความสามารถเทเลพอร์ตเพียงพริบตาเขาก็มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าของซากรถที่ถูกเทพรับใช้ของตนทำลายไปเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับที่เขาบงการธรรมชาติให้จัดการเหล่าอสูรที่ประปรายอยู่ทั่วงาน
ที่ครอสสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในครั้งนี้เป็นเพราะคลื่นจิต ตามปกติแล้วมนุษย์นั้นย่อมมีคลื่นจิตกันทุกคนเพียงแต่คนส่วนมากจะไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้มีเพียงผู้มีฝีมือการต่อสู้ในขั้นสูงๆเท่านั้นจึงจะสามารถรับรู้จิตประเภทนี้ได้
แต่ในกรณีของเขานั้นเป็นข้อยกเว้นด้วยความที่เขาเป็นผู้ใช้พลังจิตทำให้สามารถสัมผัสคลื่นจิตได้โดยกำเนิดแถมยังสัมผัสได้อย่างละเอียดชนิดที่ผู้มีพลังพิเศษสายอื่นทำไม่ได้อาทิ การสัมผัสคลื่นจิตเพื่อระบุตัวตนของคนผู้นั้น การอ่านอารมณ์ผ่านคลื่นจิตที่แผ่ออกมาและอีกมากมายล้านแปด
แน่นอนการที่เขารับรู้ถึงความผิดปกติเป็นเพราะว่าคลื่นจิตนี้ด้วยเช่นกันคลื่นจิตของอสูรมีรูปแบบแตกต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิงหากตั้งใจสัมผัสจะรับรู้ได้ในทันทีแต่ก็มีบางครั้งที่สามารถปลอมแปลงคลื่นจิตเพื่อตบตาได้เหมือนกันดังในกรณีนี้ที่กว่าเขาจะรู้ตัวก็เกือบสายเกินไป
“อลัน คาซึกิ พวกนายไปเก็บเจ้าพวกนี้ที่กระจายอยู่รอบงานอย่าให้หลุดเข้าไปด้านในได้แม้แต่ตัวเดียวและฝากติดต่อเจ้าเรย์ให้เฝ้าระวังภายในงานด้วย” เขาสั่งการอย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของคาซึกิและอลันนั้นก็ทำตามคำสั่งในทันทีกระสุนปืนของอลันสังหารเหล่าอสูรที่คิดกระจายอยู่ทั่วไป ส่วนคาซึกินั้นใช้การก้าวเท้าที่ว่องไวของตนเก็บเจ้าพวกที่คิดจะเข้าไปในงานได้ทั้งหมดอย่างทันท่วงที
“ว่าแต่ออกมาได้แล้วมั้ง คงไม่คิดมุดหัวอยู่ในนั้นตลอดไปหรอกนะ อุตส่าห์เอามาเป็นอาวุธหลักแล้วทั้งที” เมื่อสั่งการเสร็จแล้วเขาจึงหันมาเผชิญหน้าสิ่งที่กำลังจะออกมาจากซากรถนั้นเพราะแม้ว่าจะสามารถหลอกคนอื่นได้แต่คลื่นจิตที่แผ่ออกมานั้นบ่งบอกได้ถึงความน่ากลัวของศัตรูเป็นอย่างดี
“ถ้าไม่คิดจะออกมาก็เป็นตอตะโกอยู่ตรงนั้นซะเถอะ” ดูเหมือนเทพที่ไม่ได้มีความเยือกเย็นเท่าเจ้านายจะไม่ชอบการรีรอเพราะเมื่อประกาศท้าทายแล้วยังนิ่งเฉยเปลวเพลิงลูกหนึ่งก็ถูกส่งไปทักทายสิ่งที่อยู่ภายในซากรถบรรทุกคันนั้นในทันที
เปลวเพลิงลุกท่วมรถคันนั้นอีกครั้งหากแต่ทางด้านของครอสกลับไม่ได้ออกปากห้ามลูกน้องตนเองเลยเขามองการย่างสดในครั้งนี้อย่างเฉยชาเพราะเขาไม่คิดว่าเจ้าของคลื่นจิตระดับนั้นจะเสียท่าง่ายๆอยู่แล้วแม้ว่าตอนนี้ตัวรถบรรทุกนั้นจะแทบบุบี้ไม่เหลือสภาพก็ตาม
และก็เป็นอย่างที่เขาคาดเดาในพริบตาต่อมาซากรถก็แตกกระจายออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างๆหนึ่งที่ยืนหยัดขึ้นมาท่ามกลางเปลวเพลิงนั้นอย่างเชื่องช้าหากแต่นั่นเองเป็นสิ่งที่ทำให้ดวงตาที่ฉายความเบื่อหน่ายของหัวหน้าหน่วยหนึ่งอย่างเขาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง
ร่างเบื้องหน้าเป็นร่างสูงร่วมสามเมตรเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนท่วมร่างจากฝีมือของเทพอัคคีนั้นไม่ได้ระคายผิวของมันเลยแม้แต่น้อยส่วนหัวของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าคล้ายวัวหากแต่มันกลับดูดุดันและโหดเหี้ยมจนน่าหวาดหวั่นในมือมีขวานขนาดยักษ์ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่บางส่วน
“มิโน..ทอร์” ข้อมูลในหัวของเขาประมวลผลได้ในทันทีว่าสิ่งมีชิวิตตรงหน้าคืออะไรเพราะไม่มีอะไรที่ตรงกับลักษณะของเจ้าตัวหน้ามากกว่าชื่อนี้อีกแล้วส่วนทางด้านของมิโนทอร์นั้นเมื่อเหลือบมาเห็นร่างของมนุษย์ตัวจ้อยเบื้องหน้าก็คำรามดังสนั่น
“ฮูม” ลมหายใจอันร้อนระอุถูกปล่อยออกมาคลื่นพลังที่แสดงถึงความไม่เป็นมิตรนั้นบ่งบอกได้ในทันทีเลยว่าหากเขาพลั้งเผลอหรือประมาทไปแม้เพียงเสี้ยววินาทีมีหวังถูกเจ้านี่ฆ่าตายอย่างแน่นอน
“ต้องแบบนี้สิ ถึงจะคุ้มค่ากันการรอคอยหน่อย” ทางด้านของเทพพระเพลิงที่ดูจะถูกใจกับคู่ต่อสู้เบื้องหน้าตนมากนั้นพุ่งทะยานเข้าใส่ร่างของศัตรูอย่างรวดเร็วกำปั้นที่มีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่นั้นพุ่งเข้าปะทะกับร่างของอสูรตัวนั้นในทันที
“ชู อย่าทำแบบนั้น!! ” เสียงร้องตะโกนของครอสห้ามปรามเทพใต้อาณัติแต่ก็สายเกินไปหมัดขวาของเจ้าตัวปะทะกับใบหน้าของมิโนทอร์เป็นที่เรียบร้อยเสียงดังสนั่นจากแรงปะทะหากแต่ทางด้านของมิโนทอร์กลับนิ่งสนิมไม่รู้สึกรู้สาใดๆทั้งสิ้น
“หา?” เทพแห่งพระเพลิงดูจะงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าแต่เขาก็ไม่ได้มีเวลาคิดมากมายนักเพราะวินาทีถัดมาด้ามขวานขนาดยักษ์ก็ถูกกระทุ้งใส่ร่างของเด็กหนุ่มในทันทีส่งผลให้ร่างของเทพแห่งเปลวเพลิงลอยละลิ่วไปไกล
จังหวะเดียวกับที่ครอสเทเลพอร์ตไปรับร่างของชูเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดีไม่ให้เจ้าตัวต้องกระแทกต้นไม้และสิ่งก่อสร้างที่อาจส่งผลให้เจ็บหนักยิ่งขึ้นหากแต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กระแทกกับของพวกนั้นแต่อาชูร่าก็บาดเจ็บไปไม่ใช่น้อยๆกับการโจมตีเมื่อครู่
“ทะ ทำไมหมัดของข้าถึง…” การโดนโจมตีนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจแต่ที่น่าตระหนกจริงๆคือเพราะเหตุใดหมัดของเขาจึงไม่อาจสร้างความเสียหายใดๆให้เจ้าตัวเบื้องหน้านี่ได้เลย
“มิโนทอร์เป็นอสูรสายตะวักตกนายจะไม่รู้จักก็ไม่แปลก มันเป็นอสูรที่มีความต้านทานในมนตราสูงโดยเฉพาะมนตราธาตุไฟที่แทบจะไม่อาจสร้างความเสียหายให้มันได้เลย อีกทั้งยังมีความอึดและพละกำลังมหาศาลอีกด้วย เจอของแข็งเข้าแล้ว” เป็นหน้าที่ของครอสที่ต้องอธิบายให้เจ้าเทพเลือดร้อนฟังไม่ให้พุ่งไปซัดเจ้าอสูรตรงหน้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะถ้าโจมตีเข้าไปมั่วๆงานนี้อาจเจ็บหนักเสียเองก็ได้
แม้จะเป็นเทพแต่ด้วยความที่ตอนนี้อยู่ในสถานะเทพรับใช้ของครอสดังนั้นอาชูร่าในยามนี้แทบไม่แตกต่างกับคนธรรมดาเลยหากอาชูร่าตายไปก็ทำให้เจ้าตายลงไปด้วยเช่นกันยิ่งในยามที่ใช้พลังดั้งเดิมของตัวเองไม่ได้ยิ่งเสียเปรียบ
มิโนทอร์เป็นอสูรขั้นสูงที่แข็งแกร่งมากการจะปะทะกับเจ้านี่นั้นต้องใช้คนร่วมครึ่งร้อยเป็นอย่างต่ำในการต่อสู้หากแต่การที่เจ้านี่โผล่ออกมาเช่นนี้ก็เท่ากับว่าศัตรูทำการบ้านมาดีจริงๆเพราะจำแลงเทพพระเพลิงของเขาจะไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพกับอสูรตรงหน้า
“แบบนี้ขำไม่ออกจริงๆ” อีกหนึ่งจุดเด่นของมิโนทอร์คือความอึดที่มากกว่าอสูรทั่วไปซะอีกหากไม่ใช่มนตราขั้นสูงกระหน่ำโจมตีนับสิบครั้งโอกาสจะสังหารมันได้นั้นแทบไม่มีและนั่นเองที่ทำให้พลังจิตของเขามีโอกาสชนะริบหรี่เหลือเกิน
ทางด้านของเรย์ที่อยู่ในงานประชุมนั้นในยามนี้เขากำลังไล่ฆ่าอสูรตัวเล็กตัวน้อยที่แฝงตัวเข้ามาภายในงานด้วยความที่อสูรที่แฝงตัวเข้ามาในงานเป็นเพียงตัวเล็กตัวน้อยที่มีหน้าที่แฝงตัวและสร้างความปั่นป่วนดังนั้นแค่เพียงคมดาบแสงไร้จำกัดที่ควบคุมจากระยะห่างของเรย์ก็สามารถเก็บพวกมันทั้งหมดได้ไม่ยากยิ่งมีเนียร์คอยเป็นคนวิ่งไปจัดการเสริมด้วยยิ่งง่ายดายเข้าไปใหญ่
“แล้วเราจะทำยังไงดี แบบนี้เราเล่นไม่ได้จริงๆ แน่” มือเชลโล่ที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดเพราะตอนนี้พวกเขาเสียมือเปียโนที่เป็นแกนหลักในการเล่นไปแล้วและหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปมีหวังพวกเขาไม่มีทางเล่นได้อย่างแน่นอน
“ถ้างั้นก็ต้องเปลี่ยนไม่เล่นรูปแบบน็อคเทิร์นไปเล่นรูปแบบอื่นแทน” คำพูดของแม่สาวนักดนตรีทำให้คนในวงถึงกับชะงักกระทั่งเรย์ที่ใช้สมาธิจำนวนมากในการควบคุมดาบแสงนั้นยังเผลอหลุดการควบคุมไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
“แต่หัวหน้าคะ เราซ้อมเล่นแบบนี้มาตลอด มาเปลี่ยนเอาตอนนี้มัน…” ทางด้านของมือวิโอล่าสาวพยายามคัดค้านพวกเธอซ้อมเพลงนี้กันมาเป็นอาทิตย์รวมเวลาเตรียมเพลงที่จะเล่นก็ร่วมเดือนอยู่ๆจะมาเปลี่ยนเพลงที่จะเล่นทั้งหมดดื้อๆแบบนี้มัน
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีแค่วิธีนี้เท่านั้นเราจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดขืนเราหยุดตอนนี้ชานันคงเสียใจแย่แน่ที่เป็นคนทำให้พวกเราเสีย” เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่ถอยเพราะหากถอยตอนนี้เท่ากับว่าพวกเธอยอมแพ้กับวิธีการสกปรกแบบนั้นและนั่นจะทำให้คนที่โดนพิษไปรู้สึกไม่ดีด้วย
ทางด้านของคนในวงนั้นได้แต่นิ่งเงียบแม้ว่าหัวหน้าของพวกเขาจะเด็กที่สุดในวงแถมบางครั้งยังไม่มีอารมณ์เล่นดนตรีมาเสียดื้อๆก็ตามแต่ทั้งความสามารถทางดนตรี ความรักในดนตรี ความคิดคำนึงและความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจนั้นกินขาดจนทุกคนในวงต่างยอมรับหากลองเป็นเช่นนี้ก็มีแต่ต้องทำตามที่บอกเท่านั้น
“แต่หัวหน้าครับเวลานี้เราจะไปหาเพลงมาจากไหน แถมยังไม่รวมเวลาซ้อมอีกเวลาเหลือไม่ถึงครึ่งชั่วโมงถึงหัวหน้าจะทำได้แต่พวกเราทำไม่ได้แน่” มือไวโอลีนอีกคนในวงบอกถึงเหตุผลที่พวกเขาไม่ควรเปลี่ยนรูปแบบการเล่นเพราะแม้หัวหน้าของพวกเขาจะสามารถทำความเข้าใจได้แต่ในเวลาแค่นี้พวกเขาไม่มีทางปรับตามหัวหน้าของพวกเขาได้อย่างแน่นอน
ทางด้านของเด็กสาวได้ยินดังนั้นก็เม้มปากแน่นเรื่องนั้นเธอรู้แต่ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วเพราะการเล่นดนตรีสไตล์น็อคเทิร์นนั้นยังไงเสียก็จำเป็นต้องมีเปียโนแต่ในบรรดาคนในวงนั้นไม่มีใครเล่นเปียโนเป็นเลยแม้เธอจะพอเล่นเป็นบ้างแต่ก็ไม่อาจละทิ้งตำแหน่งของตัวเองได้
“ปัญหาตอนนี้คือแค่หาคนเล่นเปียโนได้ก็จบแล้วสินะ” ทางด้านของเรย์ที่ฟังเรื่องราวอย่างคร่าวๆมาพักใหญ่จึงสรุปถึงปัญหาในตอนนี้เขาจัดการอสูรที่แฝงตัวในงานประชุมเสร็จหมดแล้วที่เหลือฝากให้เนียร์จัดการได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“อือ” แม่สาวที่เคยร่าเริงคนนั้นตอบอย่างหงอยๆเพราะในตอนนี้เธอไม่รู้แล้วจริงๆว่าจะแก้ปัญหาตรงหน้าอย่างไรดีส่วนทางด้านของเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆแม้เขาจะเคยคิดว่าแม่สาวคนนี้ร่าเริงเกินไปแต่เขาก็ไม่อยากเห็นเธอทำหน้าเช่นนี้เหมือนกัน
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันเล่นเปียโนให้เองแล้วกัน ฉันพอจะเล่นเป็นอยู่ เรื่องเพลงไม่ต้องห่วงฉันเล่นเป็นหมดนั่นแหละ หลายวันมานี้ได้ยินวนกันอยู่แค่นี้ ถ้าไม่บังเอิญมีอะไรประหลาดๆก็น่าจะพอเล่นแทนให้ได้” คำพูดของเรย์ทำเอาแม่สาวนักดนตรีหูผึ่งดวงตาสีอำพันคู่นั้นฉายแววแปลกใจก่อนที่เธอจะรีบยื่นหน้าเขามาหาเรย์ในทันที
“พูดจริงเหรอ นายเล่นเปียโนได้จริงนะ?” เสียงไพเราะกังวานของคานาเดะฉายแววยินดีเพราะในตอนแรกนั้นเธอคิดว่าสิ้นหวังไปแล้วหากแต่เธอไม่นึกเลยว่าคนข้างตัวของเธอนั้นนอกจากจะเล่นไวโอลีนได้แล้วยังมีความสามารถทางเปียโนอีก
“บอกไว้ก่อนนะว่าเปียโนน่ะฉันเล่นได้แค่ระดับเดียวเท่านั้น แต่น่าจะพอเอาตัวรอดไปได้ละมั้ง” เขาจับเปียโนค่อนข้างน้อยครั้งอาจจะเดือนละสองสามครั้งเองด้วยซ้ำเพราะแม้ว่าในบรรดาเครื่องดนตรีของคุณแม่จะมีเปียโนก็ตามแต่เขาชอบเล่นไวโอลีนมากกว่า
“ถ้าหากว่ามีฝีมือได้สักครึ่งของไวโอลีนตามที่หัวหน้าบอกก็น่าจะพอแล้วล่ะนะ” จากคำบอกเล่าของหัวหน้านั้นชายคนนี้มีความสามารถทางดนตรีสูงไม่แพ้หัวหน้าของพวกเขาเลยแม้จะค่อนข้างเสี่ยงไปนิดแต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าต้องมาเปลี่ยเพลงใหม่ทั้งหมด
“ถ้าแบบนั้นก็มาลองทดสอบกันหน่อย ชิ ไม่ทันแล้วเหรอเนี่ย” แม้ใจจริงจะอยากทดสอบฝีมือก่อนก็ตามเพราะเขายังไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะสามารถมาเล่นแทนที่ชานันได้จริงๆหรือเปล่าหากแต่ตอนนี้กลับไม่มีเวลาแล้วเพราะมันได้เวลาที่พวกเขาต้องขึ้นแสดงแล้ว
“ฉันเชื่อใจนายนะเรย์” เธอยิ้มแม้จะไม่เคยได้ยินฝีมือการเล่นเปียโนจากคนข้างตัวของเธอเลยก็ตามหากแต่เธอคิดว่าเขาไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายดังนั้นเธอคิดว่าฝีมือของเขาจะสามารถเชื่อถือได้อย่างแน่นอนที่สุด
งานเจรจาในวันนี้ค่อนข้างเป็นไปในทิศทางที่เคร่งเครียดเนื่องจากไม่อาจตกลงแบ่งสัดส่วนแร่ควอซาร์ที่ได้รับจากเหมืองในบริเวณทับซ้อนดินแดนต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยินยอมเสียผลประโยชน์และเอาแต่จะกอบโกยกันท่าเดียว
“กำลังเครียดได้ที่เลยนะเนี่ย” ทางด้านของเรย์ดูจะสบายอารมณ์มากแม้จะต้องมาเล่นเครื่องดนตรีที่ตนไม่ได้ถนัดที่สุดอย่างเปียโนก็ตามบทสนทนาทั้งหมดนั้นเขาแอบติดเครื่องดักฟังเอาไว้จึงได้ยินทั้งหมดมาตั้งแต่ต้นแล้ว
“อื้ม หน้าที่ของพวกเราคือผ่อนคลายอารมณ์ของพวกเขาไงล่ะ” เช่นเดียวกับคานาเดะที่เธอไม่ได้เครียดเลยแม้แต่น้อยทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอกังวลในเรื่องที่มือเปียโนของวงขาดไปเป็นอย่างมากหากแต่ในยามนี้เธอกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาดแม้จะไม่รู้อะไรมากนักแต่เธอเชื่อว่าเรย์จะไม่ทำให้เธอผิดหวังอย่างแน่นอน
การเล่นถูกเริ่มขึ้นด้วยไวโอลีนทั้งสองตัวก่อนจะตามด้วยเปียโนในทันทีที่การบรรเลงดนตรีเริ่มต้นขึ้นนั้นผู้ฟังทุกคนถึงกับหยุดชะงักเพราะเสียงที่เล่นออกมานั้นมันใสและนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อกระทั่งคนในวงด้วยกันเองในจังหวะแรกยังเผลอตกตะลึงจนเกือบจะหลุดบทบาทของตนไปเสียด้วยซ้ำ
เปียโนของเรย์นั้นลื่นไหลและไพเราะอย่างลงตัวกระทั่งวงดนตรีที่ไม่เคยเล่นด้วยกันมาก่อนเรย์ยังสามารถปรับเข้าจังหวะให้ลงตัวได้อย่างสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อ ถึงจะบอกว่าตลอดหลายวันมานี้เจ้าตัวเป็นคนที่ซึมซับดนตรีได้มากที่สุดก็ตามหากแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้เพราะนี่มันความสามารถระดับเดียวกับชิโรคาวะ คานาเดะที่ถูกขนานามว่าเจ้าหญิงแห่งเสียงดนตรีเลยทีเดียว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเล่นเปียโนแม้ปากจะบอกว่าเล่นได้ในระดับเดียวแต่นี่มันอยู่ในระดับของมืออาชีพเลยเสียด้วยซ้ำทั้งเทคนิคและลีลาการเล่นนั้นเหนือกว่ามืออาชีพจริงๆชนิดที่เรียกได้ว่าการที่เขาเข้ามาเล่นเปียโนแทนกลับไม่ได้เป็นจุดด้อยของวงแต่เป็นจุดเด่นใหม่ที่ทัดเทียมกับหัวหน้าวงเลยทีเดียว
ทางด้านของคานาเดะกลับยิ้มออกมาเธอรู้คิดไว้แล้วว่าเขาจะไม่ทำให้เธอผิดหวังแต่นี่มันยิ่งกว่าที่เธอหวังเอาไว้เสียอีกเปียโนที่เขาเล่นนั้นแม้จะไม่ไพเราะเท่ากับเขาในยามที่เล่นไวโอลีนแต่มันก็รู้สึกไพเราะไปอีกแบบจนทำให้เธออดยิ้มกว้างไม่ได้
เช่นเดียวกับเรย์ที่ในยามนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดเธอถึงถูกเรียกว่าเจ้าหญิงแห่งเสียงดนตรีและเพราะเหตุใดเธอจึงต้องสร้างอารมณ์เล่นก่อนเพราะบทเพลงที่เธอเล่นนั้นทำให้เขาและคนที่ได้ฟังรู้สึกสบายใจราวกับเป็นการปลอมประโลมจากผืนดินที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนทำให้เรย์อดยิ้มออกมาไม่ได้เช่นกัน
ดนตรีของเรย์และคานาเดะสอดประสานกันอย่างลงตัวแต่ถึงแบบนั้นมันก็ไม่ได้กลบความโดดเด่นของคนอื่นๆในวงเลยแม้แต่น้อยแต่ดนตรีของทั้งสองนั้นกลับเป็นการเล่นที่สอดประสานได้อย่างไพเราะและลงตัวเป็นที่สุดจนทำให้ผู้ฟังทั้งหมดแทบลืมหายใจ
การเล่นดนตรีของเรย์นั้นเพลงแรกจบลงในเวลาห้านาทีพร้อมกับเสียงปรบมือเกรียวกราวดังขึ้นมานับว่ายังดีที่ในคราวนี้นั้นเป็นงานประชุมเจรจาระหว่างประเทศทำให้นักข่าวทั้งหลายไม่อาจเข้ามาทำข่าวได้มิเช่นนั้นเรย์จะต้องดังเป็นพลุแตกแน่นอนและเพราะการเล่นดนตรีของทั้งสองคนนี้เองที่ทำให้การเจรจาในครั้งนี้ยุติลงด้วยดี
