chapter4-8
หลังจากผ่านศึกไปรอบนึงพวกเขาจึงพากันกลับเข้ามาในบ้านพักพร้อมกับที่เรย์เข้าไปนั่งอยู่ในห้องๆหนึ่งอย่างรวดเร็วเนื่องจากจำเป็นต้องรีบนำกระสุนที่ฝังอยู่ภายในร่างของเขานั้นออกมาดังนั้นการผ่าตัดย่อมๆจึงเกิดขึ้น
คีมหนีบถูกนำมาใช้คีบหัวกระสุนที่ฝังอยู่ในร่างของเขาออกอย่างรวดเร็วซึ่งคนที่นำมันออกมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากเจ้าคนที่โดนยิงเองนั่นแหละในมือของเรย์นั้นถือคีมหนีบเอาไว้อันหนึ่งขณะที่กำลังค่อยๆคีบหัวกระสุนออกมาอย่างมั่นคง
“เอาล่ะ เรียบร้อยเหลือแค่เย็บปิดปากแผลก็จบแล้ว” เจ้าคนที่เพิ่งทำการผ่าตัดนำกระสุนออกมาจากร่างของตัวเองไปหมาดๆนั้นถอนใจเล็กน้อยการผ่าตัดของเขากินเวลาร่วมสองชั่วโมงเนื่องจากค่อนข้างเสียเวลาจากการต้องเตรียมสถานที่ให้พร้อมเสียก่อนจะได้ไม่เลอะเทอะตัวบ้าน
“เรื่องเย็บแผลเดี๋ยวผมเย็บให้เองแล้วกันครับ” อลันที่ชินชากับการเป็นผู้ช่วยจำเป็นเพราะตั้งแต่ที่เขารู้จักกับเรย์ก็มีหลายครั้งที่เจ้าตัวทำแผลด้วยตัวเองการผ่าตัดตัวเองแบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยทำดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรผิดกับคาซึกิที่เพิ่งเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้
“นายเป็นมาโซคิสรึไง?” เป็นคำพูดแรกที่คาซึกิหลุดออกมาจากปากหลังจากที่ได้เห็นการผ่าตัดตัวเองมันเสียดื้อๆแล้วนิ่งงันไปพักใหญ่เจ้าหมอนี่ทั้งไม่ฉีดยาชาแถมมือไม้ไม่มีสั่นตลอดระยะเวลาการผ่าตัดทั้งที่เนื้อที่กรีดไปเป็นเนื้อของตัวเองแท้ๆ
“อย่ามาใส่ความกันสิฟะ แค่ทำแผลตัวเองแค่นี้เอง ก็มันรักษาด้วยมนตราไม่ได้จริงๆนี่หว่า” หากรักษาด้วยมนต์ธาตุแสงได้แล้วละก็เขาไม่มานั่งทำอะไรยุ่งยากแบบนี้หรอกเพราะนอกจากมันจะยุ่งยากแล้วเขาต้องโดนอลันมองค้อนไปเสียทุกครั้งเวลาที่ทำแบบนี้
“แล้วทำไมเรย์ไม่ไปหาหมอละครับ และก็ห้ามอ้างว่ามีโอกาสถูกลอบโจมตีด้วยนะเพราะถ้าเอาจริงต่อให้ขาสองข้างหักผมก็เชื่อว่าเรย์สามารถปกป้องตัวเองและคุณคานาเดะเขาได้อยู่แล้ว” อลันที่ดูจะไม่ชอบใจอย่างมากกับการทำแผลของเรย์แม้เขาจะเริ่มชินชากับมันแล้วก็ตามหากแต่ในใจลึกๆเขาก็ยังไม่ชอบให้เรย์อยู่ดี
“ก็นะถ้าไปหาหมอละก็แม่นั่นรู้แน่ว่าอาการของฉันหนักขนาดไหนและอาจโดนบังคับให้ถอนตัวจากภารกิจ ซึ่งนายก็น่าจะรู้ว่าฉันจะไม่ถอนตัวออกจากภารกิจที่รับไปแล้วเด็ดขาด” สิ่งที่เขารับปากไว้แล้วเขาก็จะทำให้สำเร็จให้จงได้ไม่ว่าใครหน้าไหนจะโผล่มาขวาง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะทำให้มันสำเร็จให้จงได้ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตขนาดไหนก็ตาม
“แล้วคิดว่าสภาพแบบนี้จะทำภารกิจได้แค่ไหน” เสียงๆหนึ่งที่แต่เดิมไม่ได้อยู่ในห้องนี้ดังขึ้นมาซึ่งหาใช่เสียงจากใครที่ไหนนอกเสียจากเจ้าหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งซึ่งในตอนนี้แปรเปลี่ยนมานอนเอกเขนกในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
“ก็นะ ไปตีรันฟันแทงได้ในระดับนึงแต่คงไม่เต็มร้อย” เรย์ไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายเข้าประตูมาได้แม้เขาจะล็อคประตูเอาไว้แล้วก็ตามด้วยความสามารถเคลื่อนย้ายมวลสารนั้นถ้าไม่วางข่ายมนต์ไว้ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ
“ตอนนี้ก็พอจะรู้ได้แล้วละนะว่าศัตรูของเราเป็นสายอัญเชิญปีศาจแบบไหน ก็ถือว่าคุ้มใช้ได้เลย” บาดแผลที่ได้รับนั้นเรย์ไม่ได้สนใจสักนิดแม้ว่าจะฉีดยาแก้ปวดเข้าไปแล้วก็ตามแต่ถึงแบบนั้นอาการปวดหนึบๆก็ยังอยู่เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจมันมากนักเท่านั้น
“คิดว่าเจ้านั่นที่ได้เห็นการสถิตร่างของฉันคงไม่ลงมือที่นี่อีก ถ้าจะลงมือจริงๆก็น่าจะเป็นตอนงานเจรจาเท่านั้น แต่นั่นต้องถามว่าจนถึงตอนนั้นายจะฟื้นตัวได้เท่าไหร่” ครอสเบนสายตาไปหาเจ้าคนที่ยังยิ้มระรื่นได้อย่างหน้าตาเฉยแม้อันที่จริงการให้คนบาดเจ็บขนาดนี้ร่วมรบจะค่อนข้างเป็นภาระแต่ถ้าคนๆนั้นมีโลหิตแห่งพระผู้เป็นเจ้าแล้วล่ะก็หลักเกณฑ์ตามปกติใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน
“ก็คงพอใช้มนตราสู้ได้ แต่คงเอาดาบแสงไล่สับไม่ไหวฟะ” เรย์ส่ายหน้าบาดแผลที่ได้รับจากกระสุนทลายมนตราหนักหนากว่าที่คิดไว้กว่าผลของมันจะหายต้องอย่างต่ำสามสี่วันและนั่นส่งผลให้โลหิตแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเขาทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
“งั้นให้นายกับเนียร์รับคุ้มกันภายในงาน ส่วนฉัน อลัน คาซึกิและเจ้าชูจะคอยปะทะกับศัตรูที่คิดบุกเข้ามาเอง ตกลงตามนี้” อันที่จริงแล้วนี่เป็นรูปแบบที่ดีที่สุดในทุกๆกรณีเพราะเรย์นั้นมีความสามารถในการคุ้มกันสูงที่สุดควรวางเอาไว้เป็นด่านสุดท้ายในกรณีที่พวกเขารับมือไม่ไหวจริงๆเท่านั้นส่วนทางด้านของเรย์นั้นก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับแผนการนี้มากนัก
“ว่าแต่ตอนที่นายจัดการเจ้าอสูรแมวนั่นมันเกิดอะไรขึ้น พลังที่นายใช้มันอะไรและเจ้าคนที่ชื่อชูนั่นเป็นใคร?” คาซึกิที่แปลกใจมาตั้งแต่แรกที่เขาเห็นข่ายมนต์ที่ปรากฏขึ้นมานั่นแล้วก่อนที่เด็กที่ชื่อชูจะเลือนหายไปเสียดื้อๆนั่นไม่ว่าจะดูยังไงนั่นก็เป็นข่ายมนต์อัญเชิญชัดๆ
แถมยังพลังมนตราธาตุไฟที่แผ่ออกมาจากร่างของครอสในยามนั้นอีก ทั้งที่บอกว่าครอสไม่ใช่ผู้ใช้พลังมนตราแท้ๆแต่พลังมนตราที่เขาใช้ในตอนนั้นมากมายมหาศาลมากจนแทบไม่น่าเชื่อว่านั่นจะเป็นพลังของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ
“เอาไงครอส ฉันให้สิทธินายในการบอก ถ้านายไม่บอกฉันจะให้คาซึกิเลิกถาม” ทางด้านของเรย์หันไปถามเจ้าของความสามารถเพราะไพ่ตายของครอสนั้นแท้จริงแล้วเป็นความลับกระทั่งเนียร์ที่เป็นน้องสาวแท้ๆหรือทางครอบครัวเองก็ยังไม่รู้แต่เพราะเขาเคยร่วมศึกกับครอสมาหลายครั้งทำให้ได้รับรู้เรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญ
กระทั่งในตอนที่จัดการอสูรแมวนั้นเนียร์ก็ยังไม่รับรู้ถึงพลังมนตราของครอสเพราะตัวบ้านนั้นถูกสร้างขึ้นมาให้สามารถซ่อนสัมผัสจากคนภายนอกได้เธอจึงไม่รับรู้พลังของพี่ชายตัวเองเลย แต่ครอสรู้ว่าศัตรูบุกเข้ามาเพราะข่ายมนต์ที่วางไว้
“เล่าไปก็ไม่เป็นไร เพราะต่อให้รู้ไปยังไงซะก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แต่ถ้ายังไงก็ช่วยเหยียบเอาไว้ด้วยก็แล้วกัน” แน่นอนว่าพลังของเขาไม่ได้เป็นความลับอะไรขนาดนั้นไม่ได้มีผลเสียอะไรต่อให้ถูกล่วงรู้ถึงความสามารถของตนแต่ครอสนั้นเกลียดความยุ่งยากมากกว่าจึงไม่ค่อยบอกใครนัก เมื่อได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของเรย์จึงเอ่ยปากเล่า
ในตอนเด็กๆนั้นครอสเข้าใจว่าตนไม่มีพลังมนตราใดๆเพราะทั้งเครื่องตรวจวัดพลังพิเศษทั้งการฝึกสายธาตุของมนตราเขาก็ไม่อาจทำได้แถมตัวของครอสเองนั้นยังโดนเด่นในด้านของการควบคุมพลังจิตเป็นอย่างมากทำให้ทุกคนเข้าใจว่าครอสไม่มีพลังมนตราไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัวเอง
แต่แท้จริงแล้วไม่เป็นแบบนั้นครอสนั้นมีพลังมนตรามากมายมหาศาลกว่าใครหลับไหลอยู่ภายในร่างเพียงแต่มันเป็นพลังมนตรารูปแบบต่างไปจากปกติทำให้เครื่องมือทั้งหลายไม่อาจตรวจวัดได้อีกทั้งวิธีการฝึกมนตราทุกรูปแบบก็ไม่อาจใช้กับเขาได้
ธาตุของมนตราของเขาคือ‘ไร้ธาตุ’เป็นสภาวะพิเศษที่สามารถใช้มนตราได้ทุกธาตุแต่ถึงแบบนั้นก็ใช่ว่ามันจะดีเนื่องด้วยความที่ไม่เด่นในธาตุใดเลยทำให้ไม่อาจดึงพลังของธาตุนั้นออกมาได้ถึงขีดสุดแถมยังมีวิธีการฝึกพิเศษกว่าคนทั่วไปมากอีกด้วย
จนกระทั่งครอสมารู้ว่าแท้จริงแล้วตนมีพลังมนตราและพลังมนตราของเขานั้นไม่ได้มีไว้ใช้ร่วมกับมนตราทั่วไปแต่มีไว้ใช้ในการอัญเชิญเทพต่างๆเพื่อให้มาสู้ร่วมกับเขาต่างหาก
ตามปกติแล้วเราสามารถอัญเชิญเทพแห่งมนตราธาตุที่ตนมีอยู่มาร่วมต่อสู้ได้หากว่ามีความสามารถและเข้าถึงแก่นของมนตราธาตุนั้นๆแล้ว แต่ไร้ธาตุไม่ได้เป็นแบบนั้นครอสสามารถเมินข้อจำกัดเหล่านั้นทั้งหมดและสามารถทำให้เทพเหล่านั้นกลายมาเป็นบริวารของตนได้โดยตรง
การทำเช่นนี้นั้นจะทำให้สามารถอัญเชิญเทพมาอยู่ในโลกตามปกติได้แต่ต้องให้เทพองค์นั้นยอมรับในพลังของเขาเสียก่อนแถมพลังของเทพเหล่านั้นจะโดนจำกัดไว้จนเกือบหมด เพียงแต่จะมีวิธีที่สามารถสลายข้อจำกัดนั้นโดยสิ้นเชิงได้ก็คือการจำแลงร่างเทพ
พลังของการจำแลงร่างเทพนั้นจะทำให้เทพที่เป็นบริวารสามารถเข้าไปสถิตอยู่ในร่างของผู้เป็นนายได้และนั่นส่งผลให้ครอสมีพลังเทียบเท่ากับเทพองค์นั้นในทันทีไม่ว่าจะเป็นพลังต่อสู้ สัญชาตญาณ ศาสตราวุธประจำกายแถมยังได้รับนิสัยจากเทพองค์นั้นมาบางส่วนด้วย
เทพองค์ที่ครอสอัญเชิญนั้นคือเทพอาชูร่า เทพแห่งเปลวเพลิงทางตะวันออกซึ่งมีความสามารถทางการสู้รบสูงและมีพลังมหาศาลนั่นส่งผลให้จำแลงเทพพระเพลิงของครอสนั้นมีความสามารถในการต่อสู้สูงตามไปด้วย
“ก็นะ นี่แหละพลังของครอสความแข็งแกร่งของหมอนี่น่ะมากเกินพอจะถล่มเมืองทั้งเมืองทิ้งได้เลย ฉันถึงบอกไงว่าหมอนี่เป็นคนเดียวจริงๆที่สมควรได้รับสมญานามว่าราชันแห่งมนตรา” หลังพล่ามมาเสียยืดยาวเรย์จึงสรุปสั้นๆฉายาของครอสนั้นไม่ได้เป็นฉายาที่ได้รับสืบทอดมาจากพ่อแต่เป็นฉายาที่เจ้าตัวาสร้างขึ้นมาจากพลังของตัวเองล้วนๆ
“คงไม่เท่านายหรอก ราชันแห่งแสงสว่าง” ครอสเบนสายตาไปหาเจ้าคนที่นั่งอยู่บนเตียงส่วนทางด้านของเรย์ยักไหล่เบาๆโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรตอบกลับแต่ถึงแบบนั้นคำพูดของครอสก็แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าเรย์ก็มีสิ่งที่ซ่อนเอาไว้เหมือนกัน
ส่วนทางด้านของคาซึกินิ่งงันไปเล็กน้อยเพราะการที่ชายที่ชื่อครอส คานิวาลสามารถอัญเชิญเทพได้เช่นนี้ก็สามารถยืนยันถึงความแข็งแกร่งของเขาได้เป็นอย่างดีแม้เขาจะเคยคิดเอาไว้แล้วว่าการได้เป็นหัวหน้าหน่วยซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีเพียงเจ็ดคนในบรรดาทหารมนตราทั้งหมดย่อมไม่ธรรมดาแต่ก็ไม่นึกว่าจะแข็งแกร่งมากถึงขนาดนี้
“ชินไว้ซะเถอะครับ หัวหน้าหน่วยที่ผมรู้จักโดยมากก็จะแข็งแกร่งประมาณนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าไหร่หรอก” อลันที่ดูจะเข้าใจคาซึกิพอสมควรเพราะตัวเขาในตอนแรกก็ตกตะลึงไปเหมือนกันกับเรื่องแบบนี้แต่พออยู่ไปนานๆเขาก็ชินได้เอง
“ตอนนี้ก็จบเรื่องเล่าแล้ว ถ้ายังไงนายก็พักผ่อนซะก็แล้วกันเรย์ เดี๋ยววันพรุ่งนี้เราก็ต้องเผชิญกับศึกใหญ่แล้ว” ครอสที่เห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงเตรียมจะกลับไปนอนในห้องพักของตนต่อพร้อมกับเปิดประตูออกไปแต่ก็ต้องพบว่าที่หน้าห้องนั้นมีร่างที่คุ้นตาร่างหนึ่งอยู่ด้วย
“เอ่อ เรย์เป็นยังไงบ้าง” ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอย่างชิโรคาวะ คานาเดะนั่นเองทันทีที่เห็นว่าครอสเดินออกมาจากห้องเธอก็ถามไถ่อาการของคนที่เข้าไปทำแผลในห้องพักอย่างรวดเร็ว
“คนที่เธอถามถึงนั่งยิ้มแฉ่งอยู่โน่นมีอะไรก็คุยกันเอาเองแล้วกัน” ครอสชี้ไปมายังเรย์ที่นั่งอยู่บนเตียงก่อนที่เจ้าตัวจะรีบหลบฉากออกไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับอลันและคาซึกิที่เพียงแค่เห็นแววตาของเธอเข้าทั้งสองคนก็ต้องพร้อมใจกันหลบออกไปในทันที
“เฮ้ย เดี๋ยวดิพวกนาย จะรีบไปไหนกันเนี่ย” กับเจ้าครอสเขายังไม่ค่อยแปลกใจเพราะรายนี้เป็นพวกสันหลังยาวมาแต่ไหนแต่ไรแต่การที่อยู่ๆเจ้าคนในหน่วยของเขาทั้งสองคนพร้อมใจกันเดินหลบออกไปเช่นนี้ทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้
“พอดีผมไม่อยากเป็นก้างน่ะ ไปกันดีกว่าครับคาซึกิ” ทางด้านของอลันนั้นตอบกลับอย่างรวดเร็วก่อนหลบฉากออกไปเช่นเดียวกับคาซึกิทิ้งให้เรย์ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างงุนงงอยู่คนเดียว
“อะไรของพวกมันฟะ” เรย์เกาหัวด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ติดใจมากนักเพราะตอนนี้เขาต้องมารับมือกับแม่สาวนักดนตรีที่กำลังมาเยี่ยมเขาซะก่อน
คานาเดะในยามนี้ดูแตกต่างจากเจ้าตัวที่สดใส ร่าเริงและยิ้มแย้มตลอดเวลาโดยสิ้นเชิงบนใบหน้าของเธอยามนี้นั้นมีความกังวลฉายอยู่อย่างชัดเจน ดวงตาสีอำพันคู่นั้นจับจ้องมาที่บาดแผลบนร่างของเขาด้วยความไม่สบายใจและนั่นเองเป็นสิ่งที่ทำให้เรย์รับมือไม่ถูกมากกว่าตัวเธอในยามปกติเสียอีก
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ เธอก็ไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย” คำขอโทษที่หลุดออกมาจากปากของแม่สาวตรงหน้าทำให้เรย์สับสนพอตัวเพราะแต่เดิมแล้วคนที่ผิดเรื่องนี้มันไม่ใช่เธอเสียหน่อยดังนั้นเธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องมาขอโทษเขาเลย
“เพราะฉันแท้ๆ นายเลยต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้” หากว่าเขาไม่จำเป็นต้องปกป้องเธอแล้วล่ะก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถหลบหลีกการโจมตีนั้นได้อย่างไร้บาดแผลและหาทางฝ่าไปเองได้ก็ได้
“เธอจ้างฉันมาคุ้มครองเธอนี่นา ฉันจะปกป้องเธอมันก็เรื่องปกติ อีกอย่างฉันก็ประมาทเองด้วยถ้าจะผิดก็ผิดที่ตัวฉันเองต่างหากแถมเธอยังช่วยฉันเอาไว้ด้วย ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอ” เรย์ไม่ได้เห็นมันเป็นเรื่องใหญ่อะไรเพราะยังไงเสียการทำภารกิจมันก็ไม่มีวันเลี่ยงเรื่องเจ็บตัวได้อยู่แล้วเขาไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
“แต่ว่าตั้งแต่แรกถ้าฉันไม่เป็นคนงอแงว่าจะออกไปเดินเที่ยวละก็ นายก็คงไม่...” เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกผิดจากใจจริงเพราะหากไม่ใช่เพราะว่าเธออ้อนขอให้เขาพาไปข้างนอกยอมเชื่อที่เขาพูดแต่แรกก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เขามาเจ็บตัวแบบนี้ทำให้เธออดรู้สึกผิดไม่ได้
ในมุมมองสำหรับผู้ชายอย่างเรย์แล้วนี่เป็นสิ่งที่เขาเลือกที่จะทำด้วยตนเองดังนั้นเขาจึงต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเอาเองแต่ดูเหมือนคานาเดะจะไม่ได้คิดแบบนั้นเธอโทษว่าเป็นความผิดของตัวเธอเองก่อนที่เรย์จะลุกขึ้นยืนแล้วตรงเข้าไปหาเธออย่างเชื่องช้า
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ที่ฉันปกป้องเธอเป็นเพราะฉันอยากจะทำ ไม่จำเป็นจะต้องตำหนิตัวเองหรอก” ไม่พูดเปล่ามือของเขายังลูบไปบนหัวของคานาเดะไปในตัว ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันค่อนข้างมากทำให้การลูบหัวครั้งนี้ไม่ได้ยากลำบากมากนัก
“นายไม่โกรธฉันเลยเหรอ?” เสียงเล็กนั้นถามด้วยความหวาดกลัวราวกับเด็กที่กลัวว่าจะโดนผู้ใหญ่ดุทำให้เรย์อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตามปกติแล้วเอาแต่ใจและร่าเริงเป็นที่หนึ่งแต่พอมาแบบนี้กลับว่านอนสอนง่ายน่ารักขึ้นมาเสียแบบนั้น
“ฉันจะโกรธทำไมเล่า ก็บอกแล้วไงว่าฉันทำเพราะฉันอยากปกป้องเธอเพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ฉันไม่โกรธเธอหรอก” น้ำเสียงที่อบอุ่นและการลูบหัวอันอ่อนโยนนั้นส่งผลให้เธอหลับตาพริ้มความอ่อนโยนที่เขามอบให้นั้นทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ พรุ่งนี้ฉันจะคุ้มกันเธอเองไม่ให้ใครมาทำร้ายเธอได้แน่นอน เชื่อมือได้เลย” ยิ่งเป็นแบบนี้เขายิ่งทิ้งภารกิจไปไม่ได้โดยเด็ดขาดพรุ่งนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ต้องคุ้มกันเธอคนนี้ให้จงได้
“ว่าแต่พอลองออกไปเดินมาแล้วหายอารมณ์เสียหรือยังละ ช่วยเล่นดนตรีให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม” เรย์ที่นึกได้ว่าตั้งแต่แรกจุดประสงค์ที่พวกเขาออกไปข้างนอกกันนั้นเป็นเพราะอยากให้เธอเปลี่ยนบรรยากาศจะได้เล่นดนตรีได้อย่างสบายใจจึงอยากลองฟังเพลงของเธอในตอนนี้ดู
“ได้สิ ฉันจะเล่นให้สุดฝีมือเลย” เธอหยิบไวโอลีนติดมือมาพอดีจึงนำมันมาวางไว้บนไหล่เล็กๆของตัวเองอย่างรวดเร็วด้วยท่าที่คล่องแคล่วสมกับที่เป็นมืออาชีพดวงตาสีอำพันของเธอปิดลงเล็กน้อยเป็นการรวบรวมสมาธิในรูปแบบของเธอ
คันสีจรดลงบนสายของไวโอลีนเป็นสัญลักษณ์ก่อนเริ่มการบรรเลงอย่างนุ่มนวล ดนตรีของเธอนั้นอาจไม่ได้ร้อนแรงและรวดเร็วมากนักแต่มันก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจทุกครั้งที่ได้ยินอีกทั้งมันยังแฝงความสนุกสนานรื่นเริงในแบบของเธอเอาไว้ได้อย่างลงตัวอีกด้วย
การบรรเลงดำเนินไปเรื่อยราวกับว่าเวลานั้นไม่มีความหมายดนตรีที่เธอบรรเลงออกมานั้นออกมาจากจิตใจของเธอเองแน่นอนว่าการทั้งเทคนิค ทั้งการถ่ายทอดอารมณ์และการคิดคำนึงถึงผู้ฟังนั้นสมบูรณ์แบบที่สุดมันจึงกลายเป็นดนตรีที่ไพเราะจนสามารถฟังได้อย่างไม่มีเบื่อ
ติ๊ง
เสียงจบการเล่นของเธอดังขึ้นมาเธอถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆเอาไว้ในบทเพลงจนหมดสิ้นเป็นความรู้สึกที่เธอชอบทุกครั้งในยามที่เธอได้เล่นดนตรีและมันยิ่งผลักดันให้เธอเล่นดนตรีมากยิ่งขึ้นไปอีก
“สมแล้วล่ะที่ทุกคนเรียกเธอว่าเจ้าหญิงแห่งเสียงดนตรี ขอยอมรับเลยว่าเธอเล่นเพราะมาก” เป็นครั้งแรกที่เรย์ปรบมือให้กับคนที่เล่นไวโอลีนคนอื่นที่ไม่ใช่แม่ของเขาตลอดเวลาที่ผ่านมาคนที่จะได้รับคำชมจากเขาในด้านดนตรีนั้นหากไม่นับรวมคานาเดะก็มีเพียงสองคนเท่านั้น
“แฮะๆ ฉันก็เล่นตามที่ตัวเองอยากเล่นและก็อยากให้คนฟังได้ฟังดนตรีที่ฉันเล่นอย่างสนุกสนานเท่านั้นเอง” ทางด้านของคานาเดะที่ดูจะดีใจกับคำชมมากไม่ว่าคนที่ชมมาจะเป็นใครแต่ขอแค่เขาชอบดนตรีของเธอจากใจจริงแค่นั้นเธอก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว
“แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้นายเล่นไวโอลีนให้ฉันฟังบ้างนะ” แต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่ตัดใจที่จะได้ฟังเขาเล่นไวโอลีนทั้งที่หากเทียบในแง่ของฝีมือแล้วเขาที่เป็นทหารมนตราที่ต้องคอยไปทำภารกิจที่นู่นที่นี่ไม่มีทางเทียบเธอได้เลยแท้ๆ
“เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันก็อย่างที่เห็นสภาพฉันตอนนี้น่ะนะ ว่าแต่พรุ่งนี้เล่นให้ได้อย่างนี้ด้วยล่ะอย่าให้เสียแรงที่ฉันอุตส่าห์พาไปเดินเที่ยว” เรย์บอกปัดก่อนเอื้อมมือไปลูบหัวแม่สาวคนนั้นอีกครั้งส่วนทางด้านของสาวเจ้านั้นไม่ได้มีท่าทีรังเกียจอะไรตรงข้ามเธอกลับหัวเราะคิกคักด้วยซ้ำ
“อื้อ ได้เลยเรย์”
