บท
ตั้งค่า

chapter4-6

“นายไม่เป็นไรมากใช่ไหม?” เสียงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงดังขึ้นมาเพราะเรย์ในยามนี้นั้นมีบาดแผลที่เลือดกำลังไหลซึมออกมาเป็นจำนวนมากกระทั่งการใช้มือข้างหนึ่งกดปากแผลเอาไว้ก็ดูจะไม่ช่วยอะไรเขาได้มากนัก

“ก็นะ แย่นิดหน่อยแต่ไม่เป็นไร” ถึงจะเจ็บแต่ก็งั้นๆเทียบกับอาการบาดเจ็บที่เขาเคยประสบพบเจอมาทั้งชีวิตไม่ได้แต่ปัญหาที่หนักหนาก็คือตอนนี้มีพลปืนอีกฝูงพร้อมจะเป่าพวกเขาในทันทีที่เผลอโผล่หัวออกไปไม่สิ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้พวกมันตั้งขบวนล้อมเขาได้ก็จบเหมือนกัน

“ทำไงดีละ ทำไงดี” สีหน้าของแม่สาวข้างตัวที่แต่เดิมเคยร่าเริงแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรนเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่ชอบเท่าไหร่นักแม้เหตุการณ์เบื้องหน้าจะไม่สู้ดีเท่าที่ควรแต่ในสายตาของเขาสถานการณ์ตอนนี้ยังมีช่องว่างให้หลุดรอดไปได้อีกเพียบ

“ใจเย็นน่า ร้อนรนไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ทำใจให้สงบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ” ตอนนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือต้องเตรียมรับมือการโจมตีระลอกถัดไปเพราะเขาไม่ได้มีความเร็วในการเคลื่อนที่มากถึงขนาดหนีลูกปืนได้ดังนั้นมีแต่จำเป็นต้องต้านรับซึ่งหน้าเท่านั้น

“คานาเดะเธอมีพลังพิเศษประเภทไหน?” สำหรับโล่มนตราของเขานั้นแม้จะมีพลังในการป้องกันสูงแต่ก็เสี่ยงเกินไปหากต้องต้านรับตรงๆ จะใช้มนต์บทอื่นก็ไม่ค่อยมีมากนักหรือหากว่าจะใช้...ยังไม่ถึงเวลานั้นมันยังไม่จำเป็นขนาดนั้นถ้าทำได้ลองเลี่ยงเท่าที่จะเลี่ยงได้ดูก่อน

“กะ ก็มีมนตราธาตุดินอยู่แต่ไม่ได้ฝึกเลย กระทั่งศรธาตุดินยังใช้ไม่ได้” เธอเคยรับการทดสอบพลังพิเศษมาเหมือนกันแม้เธอจะรู้ว่าตนมีพลังมนตราแต่ไม่ได้ใส่ใจเลยเพราะเธอสนใจในการเล่นดนตรีเสียมากกว่าแต่แค่นั้นก็เรียกรอยยิ้มที่มุมปากของเรย์ได้แล้ว

“งั้นอ่านบทร่ายจากหนังสือเล่มนี้หน้าที่31 บทที่2 มันจะช่วยเราจากวิกฤตินี้ได้” เรย์หยิบหนังสือเล่มหนึ่วยื่นให้กับแม่สาวข้างตัวอย่างรวดเร็วนับว่าโชคดีที่เขาดันพกหนังสือมนตราธาตุต่างๆ มาไว้พอดี แถมยังมีบทที่จำเป็นต้องใช้ซะด้วย

“เอ๋!! แต่ชั้นไม่เป็นเลยนะ แค่การควบคุมพื้นฐานยังทำไม่ได้เลย” เสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นมาการใช้มนตรานั้นไม่ได้แค่เพียงท่องๆไปแล้วก็จะใช้ได้มันต้องฝึกเข้าถึงมนตราธาตุนั้นๆทั้งการฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนพลังมนตรา ฝึกเพื่อเข้าถึงธรรมชาติสารพัดสารเพที่เธอไม่อยากจะนึก

“เอาน่าหลักสูตรลัด เธอแค่ท่องบทร่ายในนั้นในขณะที่จิตสงบนิ่งที่สุดก็น่าจะใช้ได้แล้วล่ะ” เขาไม่มีเวลามาสอนตั้งแต่พื้นฐานเกรงว่าแค่เพียงอธิบายไปได้สิบนาทีพวกนั้นก็คงป่นพวกเขาให้กลายเป็นผุยผงได้แล้วล่ะนะ

“เชื่อมั่นในพลังของตัวเองเข้าไว้ เธอน่ะแข็งแกร่งกว่าที่ตัวเธอคิดไว้ ขอเพียงแค่เชื่อมั่นในพลังของตัวเองรับรองเธอทำได้แน่ ช่วยถ่วงเวลาสักแปบให้ฉันร่ายมนต์ที่จะเก็บกวาดเจ้าพวกนี้เสร็จที” ในจังหวะนี้ถ้าไม่ใช่มนต์ที่เก็บพวกมันทั้งหมดได้ในคราเดียวก็เกรงว่าจะลำบากแต่ติดที่ว่าเขามันไม่ใช่สายร่ายมนต์แท้หากว่าฝืนร่ายทั้งแบบนี้อาจโดนกระสุนปืนมาทักทายเล่น

“เข้าใจละ แต่ไม่รู้นะว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า” สถานการณ์แบบนี้ไม่มีทางเลือกให้เธอมากนักส่วนทางด้านของเรย์ที่เห็นดังนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะหากว่าแม่สาวตรงหน้ายอมช่วยเขาแล้วละก็การจะเก็บเจ้าพวกนั้นทิ้งไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

“เอาล่ะก่อนอื่นตั้งจิต คิดวิงวอนต่อผืนดินแล้วร่ายออกมาแค่นั้น จ ” สั้นห้วนจนไม่รู้เรื่องทำเอาเธอหน้างอก่อนมองค้อนมายังเจ้าคนที่แทบไม่ได้ช่วยแนะนำอะไรเธอเลยด้วยความไม่พอใจ

แต่เธอไม่มีเวลามากนักกระสุนสองสามนัดถูกลั่นไกเฉี่ยวเธอไปเพียงนิดหากว่าเรย์ไม่ดึงเธอออกจากวิถีกระสุนแล้วล่ะก็ไม่แน่ว่าป่านนี้กระสุนเหล่านั้นอาจฝังลงมาบนร่างของเธอแล้วก็เป็นได้

“โธ่ ชั้นจะร่ายให้ก็ได้ แค่ร่ายก็พอสินะ” คำพูดของเธอทำเอาเรย์ยิ้มกว้างเพราะสถานการณ์ตอนนี้หากยังมัวมาเถียงกันอยู่เขาอาจได้รอยกระสุนมาประดับบนหัวเพิ่มได้จริงๆและนั่นเป็นการบังคับแม่สาวน้อยคนนี้ไปในตัวด้วย

บทร่ายถูกอ่านผ่านตาอย่างรวดเร็วน่าแปลกที่เธอรู้สึกราวกับว่ามันซึมซับเข้าไปในหัวเหมือนดั่งฟองน้ำที่ดูดซับน้ำเอาไว้เพียงไม่กี่วินาทีเธอก็ดูราวกับว่าจะสามารถร่ายมนต์ได้ตามที่คนที่รวบเอวเธออยู่บอกจริงๆกระทั่งกระสุนปืนระลอกใหม่ที่ยิงเข้ามายังดูราวกับเป็นเรื่องเล็กไปถนัดตา

“ข้าแด่ไกอา เทพแห่งผืนดินอันหนักแน่น โปรดแปรเปลี่ยนผืนดินเป็นปราการ ปกปักษ์ข้าจากอริศัตรูทั้งมวลด้วยผืนปฐพีอันยิ่งใหญ่ ปราการธรณีคุ้มภัย” สิ้นคำกำแพงดินขนาดใหญ่ก็โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดินอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่กำแพงดินนั้นต้านทานกระสุนเหล่านั้นเอาไว้ได้โดยไร้รอยขีดข่วน

ส่วนทางด้านของคานาเดะนั้นหลังจากที่เธอร่ายมนต์เสร็จเธอจึงรู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งก่อนพบว่าตอนนี้พวกเธอถูกล้อมรอบด้วยกำแพงดินขนาดยักษ์ไปแล้วเสียงกระสุนปืนจำนวนมากระดมยิงมายังกำแพงดินที่เธอสร้างขึ้นแค่ฟังจากเสียงเธอก็รู้ได้แล้วว่ามันเป็นจำนวนที่เธอไม่อยากจะรู้แน่นอน

“เดี๋ยวสิ นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่านั่นเป็นกระสุนทลายมนตราแล้วเอากำแพงดินมารับแบบนี้มันก็...” เธอจำสาเหตุที่ทหารมนตราตรงหน้าหมดสภาพได้เป็นอย่างดีไม่ใช่เพราะเขาฝืนรับกระสุนพวกนั้นหรือไงถึงได้มาตกอยู่ในสภาพแบบนี้

“ไม่ต้องห่วงมนตราธาตุดินเป็นธาตุที่สามารถใช้อัดใส่ทางกายภาพได้โดยตรง กำแพงพวกนี้ค่อนไปทางวัตถุมากกว่าพลังมนต์ดังนั้นกระสุนทลายมนตราไม่ส่งผลนักหรอก แต่รีบหน่อยก็น่าจะดี” สิ้นคำคลื่นพลังมนตราของเรย์ก็แปรเปลี่ยนไปในทันทีปากของเขาขยับอย่างรวดเร็วและแผ่วเบาแต่เธอรู้ได้ว่ามันเป็นการร่ายมนตรา

ขณะเดียวกันพายุกระสุนก็ยังถูกรัวเข้าใส่พวกเขาไม่หยุดแต่ถึงแบบนั้นทางด้านของเรย์ก็ไม่ใส่ใจและไม่สนใจด้วยการร่ายมนตราของเขายังคงสงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจจนทำให้แม่สาวที่โดนโอบนั้นนิ่งงันไปไม่ได้

“นี่ยังไม่เสร็จอีกเหรอ ปราการนี่จะแตกแล้วนะ” ดวงตาสีอำพันเจ้าของมนตราที่เริ่มเห็นว่าปราการดินของเธอกำลังแตกร้าวอย่างน่ากลัวจากการถูกพายุกระสุนกระหน่ำเข้าใส่แต่คนที่ถูกเรียกนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีสนใจเรื่องนี้สักนิด

“นี่ราคิออส” เธอร้องเรียกคนที่นิ่งงั้นไปนานเป็นนาทีเนื่องด้วยกลัวว่าเขาจะสลบไปทั้งแบบนี้แต่ทางด้านเจ้าของชื่อก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆตอบสนองต่อคำพูดนี้เลยสักนิดหากแต่ในเสี้ยววินาทีที่ปราการดินกำลังแตกร้าวและกำลังจะถล่มลงมานั่นเอง

มนตราธาตุแสง ศรแสงสี่สิบสองดอก

ศรแสงหลายสิบดอกพวยพุ่งออกมาราวกับชุมนุมดาวตกแต่มันกลับแตกต่างจากศรแสงที่เรย์ใช้เป็นประจำโดยสิ้นเชิงอาจเพราะเป็นครั้งแรกที่เรย์เอ่ยคำร่ายของมันเสียเต็มรูปแบบและยังเพิ่มลูกเล่นให้กับมันมากยิ่งขึ้นไปอีก

ศรแสงเหล่านั้นหักเลี้ยวได้เองราวกับมีชีวิตพุ่งตรงเข้าไปหาเป้าหมายอย่างแม่นยำพลังทำลายล้างส่งผลให้ร่างของพวกมันสูญสลายไปในทันทีแม้จะเห็นแบบนี้แต่อานุภาพของมันนั้นก็รุนแรงพอๆกับมนต์ขั้นกลางที่สามารถทำลายบ้านทั้งหลังได้เลยทีเดียว

“ฟู่ ใส่ลูกเล่นกับศรแสงนี่มันเหนื่อยจริงๆ ถ้าไม่จำเป็นอย่าทำอีกเลยจะดีกว่า” เรย์บ่นเล็กน้อยราวกับเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ทั้งที่เพิ่งเฉียดตายมาแท้ๆแต่ทางด้านของคานาเดะนั้นรู้สึกโล่งใจมากกว่าที่เหตุการณ์เมื่อครู่นี้จบลงได้เสียที

“ว่าแต่เราไปหาหมอกันหน่อยไหม?” เธอหันไปถามเจ้าคนที่โดนยิงเธอไม่ลืมหรอกว่าหมอนี่โดนยิงอยู่แม้เจ้าตัวจะบอกว่าเรื่องเล็กก็ตามแต่ใบหน้าที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวนั้นเป็นการยืนยันว่าคำพูดของหมอนี่เชื่อถือไม่ได้โดยสิ้นเชิง

“ไม่ต้องหรอกแผลแค่ทำแผลไปเบื้องต้นแล้วเรียกพวกอลันมารับค่อยไปทำแผลอีกทีก็น่าจะพอแล้วล่ะ” เรย์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนักก่อนหยิบเครื่องมือปฐมพยาบาลออกมาจากกระเป๋าที่ตนพกอย่างเงียบงันพร้อมหยิบเครื่องมือติดต่อของตนขึ้นมาด้วย

“ดูเหมือนพวกเราจะต้องกลับกันเองแล้วล่ะแถมดูเหมือนต้องไปช่วยทางนั้นด้วย เพราะฝั่งนั้นก็ติดปัญหาพอดูเลย” เรย์มองหน้าจอในมือแล้วยื่นให้แม่สาวนักดนตรีจากที่ตอนแรกเขาจะเรียกพวกอลันมารับเสียหน่อยเลยกลายเป็นต้องกลับกันเองเสียแล้ว

ทางด้านของพวกครอสนั้นเนื่องจากว่าตอนนี้ไม่มีการฝึกซ้อมดนตรีใดๆแล้วทำให้เขาค่อนข้างว่างงานร่างที่อยู่ในชุดลำลองสบายอารมณ์ของเขานั้นกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องรับแขกของที่พักอย่างสบายอารมณ์ต้องขอบคุณที่พักของพวกเขาที่เป็นบ้านพักหลังหนึ่งทำให้ครอสนอนเอกขเนกได้เต็มที่

“นี่พี่หัดรู้จักคำว่ามารยาทหน่อยได้ไหม เราไม่ได้อยู่บ้านนะแล้วก็ไม่ได้มาเที่ยวด้วย” เสียงของแม่น้องสาวตัวดีของเขาที่นับวันเขาชักอยากเปลี่ยมาเรียกว่าแม่ขึ้นมาทุกทีดังขึ้นส่วนครอสที่ได้ยินดังนั้นก็ละสายตาจากหนังสือในมือกลับไปจ้องแม่ตัวน้อย

“ก็พี่ผ่อนคลายในแบบของพี่ อีกอย่างโซฟานี่ก็ไม่มีใครใช้สักหน่อยยืมใช้แปบไม่เป็นไรหรอกน่า” ครอสโบกมืออย่างไม่ใส่ใจตอนนี้เขาไม่ค่อยอยากจะลุกไปไหนเสียเท่าไหร่ส่วนทางด้านของเนียร์ที่ได้ยินดังนั้นแทบจะหยิบมีดของเธอมาปาทันทีหากแต่ในตอนนั้น

“เวร จะพักสบายๆก็ไม่ได้ซะอีก” ครอสดีดตัวขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่เขายื่นมือไปหยิบที่คั่นหนังสือแล้วคั่นหน้าที่ตนอ่านค้างไว้ก่อนปิดมันอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่เพียงแค่นั้นถุงมือสีดำสนิททั้งสองข้างจะถูกดึงมาสวมอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ? พี่” แม่น้องสาวที่แต่เดิมอยากลองความคมมีดของตัวเองนั้นเก็บมีดก่อนหันมาถามอย่างจริงจังเพราะปกติแล้วการเลื้อยของพี่ตัวเองเป็นเรื่องปกติแต่การที่พี่ชายเธอทำหน้าจริงจังแบบนี้ไม่ค่อยมีนักนอกจากเวลาภารกิจ

“ศัตรูบุกน่ะสิ คาซึกิ ชู พวกนายสองคนอยู่คุ้มกันคนในบ้าน ส่วนอลันนายออกมากับชั้น ยิงทุกอย่างที่คิดจะพุ่งเข้ามาในบ้านหลังนี้” ด้วยความที่ตอนนี้เรย์ไม่อยู่อำนาจการสั่งการทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่ครอสในทันทีพร้อมกับที่เขาสั่งการถึงทหารมนตราในบ้านหลังนี้ทุกคน

“เนียร์ห้ามออกไปมันอันตราย เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการเอง” สิ้นคำครอสก็หายวับไปจากตรงหน้าของเธออย่างรวดเร็วหนึ่งในความสามารถที่มีเพียงผู้ที่มีพลังจิตเท่านั้นจะสามารถใช้งานมันได้เทเลโพชั่นนั่นเอง

ส่วนทางด้านของแม่น้องสาวที่ถูกสั่งเช่นนั้นก็เม้มปากแน่นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยเพราะแม้เธอจะรู้ดีว่าที่พี่ชายทำแบบนั้นกับเธอเป็นเพราะห่วง เป็นเพราะไม่อยากจะให้เธอต้องบาดเจ็บไปด้วยหากแต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ชอบใจเลยสักนิดที่พี่ชายมองเธอเป็นเด็กแบบนี้

“อสูรแมวป่างั้นเหรอ ส่งตัวน่าปวดหัวมาซะอีก” ครอสที่โผล่แว้บออกมานอกบ้านเปรยเบาๆเมื่อเห็นร่างที่ดูคล้ายกับแมวร่างหนึ่งเข้าร่างของมันเป็นสีดำสนิททั้งร่างกรงเล็บที่มือทั้งสองข้างคมกริบกำลังกระหน่ำโจมตีข่ายมนต์ที่เขากับเจ้าเรย์วางเอาไว้

อสูรสายนี้อาจไม่ได้แข็งแกร่งเท่าอสูรสายต่อสู้ประจัญบานโดยตรงแต่ความเร็วของมันนั้นน่าปวดหัวกว่าพวกอสูรสายอื่นมาก การเคลื่อนไหว การหลอกล่อ ลูกเล่นในการโจมตีถือว่ามันทำได้ดีในระดับนึงแต่ที่น่ารำคาญที่สุดคือมันดันซ่อนตัวได้เงียบกริบโดยเฉพาะเวลากลางคืนยิ่งตอนนี้ดวงตะวันลับฟ้าไปแล้วอย่างตอนนี้ด้วยยิ่งเป็นสิ่งที่เหมาะจะใช้กับการลอบสังหารเป็นอย่างดี

“ลองโจมตีให้อยู่ในทีเดียวดีกว่า” ครอสส่งเสียงเบาๆพร้อมเพ่งสมาธิไปด้วยพริบตานั้นผืนดินที่ยืนอยู่เบื้องล่างของอสูรแมวตัวนั้นก็กลายเป็นกรงดินตรงเข้ากักขังร่างของมันเอาไว้อย่างรวดเร็วหากแต่ทางด้านของแมวยักษ์นั้นกลับดีดร่างของมันออกมาได้อย่างทันท่วงที

“ถึงจะรู้ว่าพลังจิตสายดินช้าที่สุดก็เถอะแต่มันก็ไวจริงๆแฮะ เราว่าเราควบคุมได้เร็วแล้วนะ” แน่นอนว่ายังไงเสียก็เป็นการใช้พลังธรรมชาติเหมือนกันจึงหนีหลักของธาตุไปไม่พ้นธาตุดินนั้นเป็นธาตุที่เชื่องช้าที่สุดในบรรดามนตราทั้งหมดแต่เหมาะจะเป็นกับดักและกักขังที่สุดครอสจึงจงใจใช้กราโรคิเนซิสบงการผืนดินแต่ก็ยังช้าจนเกินไป

“ฟ่อ” เสียงร้องของอสูรตนนั้นดังขึ้นมาเมื่อมันรู้ว่ามีมนุษย์ที่ลอบโจมตีมันอยู่ส่วนทางด้านของครอสที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเปลวเพลิงลุกท่วมถุงมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วพร้อมกับสายลมที่เริ่มหมุนวนตามการบรรดาลของเขา

หากจะบอกว่าเพราะเหตุใดที่ครอสไม่มีพลังมนตราแต่กลับได้รับฉายาว่าราชันมนตราแล้วละก็เป็นเพราะเขาสามารถควบคุมธาตุต่างๆได้ราวกับแขนขาของตัวเองแม้จะมีพลังทำลายล้างจำกัดอยู่ในระดับกลางแต่การควบคุมพลัง ลูกเล่นและความพลิกแพลงนั้นไม่มีใครกล้าบอกว่าตนเหนือกว่าชายผู้นี้

ร่างของอสูรแมวตัวนั้นพุ่งเข้าใส่ครอสอย่างรวดเร็วแต่ในสายตาของครอสแล้วความเร็วเพียงเท่านี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเลยเขาเอี้ยวร่างหลบกรงเล็บที่มันพุ่งเข้ามาอย่างว่องไวหมัดขวาที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมอยู่นั้นอัดเข้าใส่ร่างของศัตรูอย่างรวดเร็ว

เปลวเพลิงปะทุและระเบิดออกทันทีที่กระทบกับร่างของอสูรแมวทำให้มันกรีดร้องเสียงแหลมแต่ไม่หมดเพียงเท่านั้นเพราะในจังหวะเดียวกันเขาก็แปรสภาพสายลมโดยรอบให้คมราวกับมีดแล้วฟาดฟันใส่ร่างของมัน

“ฟ่อ” อสูรแมวตัวนั้นร้องก่อนกระโจนร่างเข้าใส่ครอสอีกครั้งไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือบังเอิญที่มันดันหลบคมมีดสายลมได้พอดีแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ปล่อยมันเอาไว้อยู่ดีเพราะในจังหวะเดียวกันสายลมก็เริ่มพัดกระหน่ำอีกครั้ง

ร่างของอสูรแมวลอยละลิ่วขึ้นฟ้าในทันใดสำหรับอสูรแมวแล้วหากไม่มีพื้นที่ให้ดีดตัวมันเท่ากับเป็นเป้านิ่งในการโจมตีซึ่งครอสก็รอจังหวะนี้อยู่นั่นเอง

ละอองน้ำแข็งถูกแปรสภาพให้คมกริบราวกับหอกและตรงเข้าทิ่มแทงร่างของศัตรูอย่างทารุณไร้ความปราณีหยาดเลือดสาดกระเส็นตามแรงลมที่พัดพาหากแต่หยดเลือดทั้งหมดนั้นไม่ได้เปื้อนร่างของเขาเลยแม้แต่หยดเดียว

“ฟ่อ” ความอึดของเผ่าอสูรนั้นมีมากกว่าเผ่าพันธุ์ทั่วไปมากนักตามปกติหากโดนไปขนาดนี้คงลุกไม่ขึ้นไปแล้วแต่มันยังมีแรงส่งเสียงขู่ได้แถมจิตมุ่งร้ายยังรุนแรงกว่าเดิมเสียอีกส่วนทางด้านครอสนั้นถอนใจเบาๆ

“เผ่าอสูรนี่มันอึดจริงแต่ เอาเถอะปิดบัญชีไปเลยแล้วกัน” เขาไม่ได้เป็นพวกบ้าการต่อสู้รอศัตรูจนตรอกแล้วพัฒนาตัวเองดังนั้นทางที่ดีรีบจัดการให้จบๆไปเสียดีกว่าเขาจะได้มีเวลานอนเล่นมากยิ่งขึ้น

เปลวเพลิงเริ่มลุกโชนขึ้นกลางอากาศก็ที่มันจะเริ่มโหมกระพรืออย่างน่ากลัวเพียงไม่กี่วินาทีมันก็กลายเป็นเปลวเพลิงลูกยักษ์ในทันทีแม้จะไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนมนตราแต่ปริมาณเพลิงระดับนี้ก็เทียบเท่าได้กับมนต์ระดับกลางแล้ว

เปลวเพลิงลูกนั้นปะทะกับร่างของอสูรแมวในทันทีมันเปลวเพลิงที่เข้าแผดเผาร่างของอสูรแมวตัวนั้นเสียงร้องของแมวตัวนั้นดังขึ้นมาด้วยความทรมานแต่ครอสไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยเขาคิดว่าแค่เพียงเท่านี้เจ้าแมวตัวนี้ก็คงตายไปอย่างไม่ยากเย็นจึงหันหลังเตรียมกลับเข้าไปในบ้านพัก

“เฮ้อ เหนื่อยชะมัด” สำหรับครอสแล้วการออกแรงนั้นก็เท่ากับความน่าเบื่อถ้าให้เลือกได้เขาขอนอนอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรตลอดภารกิจดีกว่าต้องปะทะกับศัตรูเช่นนี้ในบรรดาภารกิจทั้งหมดครอสเบื่อที่สุดคือภารกิจกวาดล้างแต่มันดันเข้ากับความสามารถของเขาได้ดีที่สุดเสียนี่

แต่ในพริบตาถัดมานั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงจิตมุ่งร้ายจากทางด้านหลังทำเอาดวงตาสีดำเทาของเบิกกว้างขึ้นด้วยความตระหนกร่างของเจ้าแมวอสูรนั้นกำลังพุ่งเข้าใส่ร่างของเขาด้วยความเร็วที่สูงกว่าเดิมมากจนตอนนี้เขาแทบหลบไม่ทัน

“ฟ่อ” เสียงร้องขู่ดังมาจากทางด้านหลังหากรับการโจมตีเข้าไปตรงๆแล้วละก็ตัวเขาที่ไม่ได้เด่นในด้านความสามารถทางกายหากต้องรับเข้าไปโดยตรงไร้ซึ่งการป้องกันเขาก็มีสิทธิจะเดี้ยงเอาง่ายๆ

เสียงกรงเล็บหวดอากาศไปอย่างง่ายดายทำให้อสูรแมวตกใจไม่น้อยทางด้านของครอสนั้นเมิ่เอาตัวรอดมาได้ก็รีบถอยห่างทิ้งระยะออกมาอย่างรวดเร็ว

‘โชคดีที่เทเลพอร์ตหนีทัน ไม่งั้นละก็...’ ครอสจ้องมองอสูรแมวตัวนั้นด้วยความแปลกใจเปลวเพลิงของเขานั้นในปริมาณมากเช่นนี้มันไม่น่าจะทนได้เลยแต่เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมจึงไม่อาจสังหารมันได้หากแต่พอเขาเห็นร่างของมันก็สามารถรับรู้ได้ในทันที

ร่างของอสูรแมวตัวนั้นถูกปกคลุมด้วยแสงสีอ่อนจางคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นอัดแน่นจนน่ากลัวแม้จะไม่ต้องเอื้อนเอ่ยบอกใดๆแต่เขารู้ได้ในทันทีว่านั่นคือพลังวัตรหนึ่งในสายพลังพิเศษที่มีอยู่บนโลกใบนี้

“อสูรที่มีพลังพิเศษ ตลกไม่ออกจริงๆแล้วนะเนี่ย” หากเป็นพวกสายคลั่งการต่อสู้อย่างหัวหน้าหน่วยที่สามคงยิ้มแฉ่งให้ไอ้ตัวตรงหน้านี่แต่เขาไม่ใช่หากต้องรับมือเจ้านี่แล้วละก็มันถือเป็นงานที่หนักหนาเลยทีเดียว

อสูรตามปกตินั้นต่อให้เป็นอสูรในขั้นกลางก็ยังใช้พลังพิเศษไม่ได้เพราะพวกมันไม่เหมือนมนุษย์แต่แค่พลังกาย ความอึดและความสามารถเฉพาะตัวของเผ่าก็ทำให้พวกเขาหนักมือแล้วเมื่อมารวมกับพลังพิเศษด้วยความร้ายกาจยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

“ให้ตายสิงานนี้อาจต้องงัดไพ่ตายมาใช้ก็ได้นะเนี่ย” เสียงเปรยเบาๆดังขึ้นมาก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมรบเมื่อพบว่าพลังธาตุของเขาไม่อาจสังหารศัตรูได้อีกต่อไปก็มีเพียงแค่การต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้นที่จะสามารถกลบปัญหาในเรื่องนี้ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel