chapter4-5
ภารกิจคุ้มกันของเขาดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่ามาแทบไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยไม่รู้ว่าเป็นเพราะการวางข่ายมนต์ของเรย์ที่ทำให้พวกมันไม่กล้าลงมือหรือพวกมันกำลังเตรียมการกันอยู่ก็ไม่อาจทราบได้
“ฮ้าว” เสียงหาวหลุดรอดออกมาจากปากของเจ้าคนขี้เบื่ออย่างรวดเร็วเพราะตลอดสามวันที่ผ่านมานอกจากจับตามองคนที่ตนต้องคุ้มกันแล้วเขาแทบไม่มีอะไรทำเลยหนังสือที่เอามาอ่านก็อ่านไปหมดแล้วกระทั่งหนังสือที่อลันขนมาอ่านเล่นยังเอาไปอ่านหมดแล้วเลย
“รักษามารยาทหน่อยสิ เราอยู่ระหว่างภารกิจนะ” เสียงของเนียร์ดังขึ้นขัดคอพี่ชายของตัวเองเพราะจะยังไงเสียนี่ก็ยังอยู่ในภารกิจคุ้มกันดังนั้นจึงไม่ควรจะแสดงท่าทีเบื่อหน่ายเช่นนี้อย่างน้อยก็ไม่ใช่ต่อหน้าต่อตานายจ้าง
“ก็มันไม่มีอะไรน่าสนใจนี่นะ พี่ก็ไม่ได้ชอบอะไรกับดนตรีคลาสสิกมากนักด้วย จะได้เหมือนเจ้าเรย์ที่นั่งจ้องโดยไม่เบื่อแบบนั้นได้” ครอสที่ตวัดสายตาไปมองเพื่อนของตนที่นั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนร่างกายมาตั้งแต่เช้าเจ้าตัวนั่งนิ่งตั้งใจฟังดนตรีที่บรรเลงอย่างนุ่มนวลนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ปกติแล้วเรย์ไม่ใช่คนที่จะมานั่งเฉยๆอะไรนานๆโดยไม่หาอะไรทำได้ แม้จะไม่ถึงขั้นชีพจรลงเท้าแต่เจ้าตัวก็มักหาอะไรมาทำแก้เบื่อเสมอเขาแปลกใจเหมือนกันที่เพื่อนของตนเองนั้นสามารถเพลิดเพลินกับดนตรีที่เล่นได้ถึงขนาดนิ่งฟังไม่สนใจเสียงกระซิบของเขากับเนียร์เลย
ซึ่งถือว่าเป็นภาพแปลกตาสำหรับพวกเขาเลยทีเดียวเพราะการที่เจ้าเรย์นั่งนิ่งๆฟังดนตรีได้ทั้งวันนั้นสำหรับคนที่ได้เคยเห็นเรย์ในยามปกติแล้วออกจะเป็นภาพที่ขัดตาอยู่บ้างแต่ดูอลันจะเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก
“แปลกแฮะ” เสียงบ่นลอยๆพร้อมกับคิ้วที่ขมวดขึ้นมาเล็กๆด้วยความที่ห้องนี้เสียงค่อนข้างดังและเสียงที่พูดออกมานั้นเบามากหากไม่ใช่เพราะเขาบังเอิญเห็นการขยับปากของเจ้าเรย์พอดีเผลอๆยังคิดว่าตนเพียงหูฝาดไปเองเท่านั้นด้วยซ้ำ
“พอๆ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” ในวินาทีต่อมาเสียงของคานาเดะก็ดังขึ้นมาก่อนที่ไวโอลีนในมือจะถูกหยุดเล่นไปดื้อๆและนั่นส่งผลให้คนอื่นๆต่างหยุดมือตามไปด้วย
“พอแค่นี้จะดีหรือครับหัวหน้า พรุ่งนี้พวกเราต้องขึ้นแสดงแล้วนา ” ชายคนหนึ่งที่เป็นผู้เล่นเชลโลถามเพราะพรุ่งนี้พวกเขาต้องขึ้นแสดงกันแล้วแต่หัวหน้าวงของพวกเขานั้นกลับดูไม่ค่อยจะพร้อมยังไงพิกล
“ก็รู้อยู่หรอกนะอาเธอร์ แต่มันบิ้วอารมณ์ไม่ขึ้นเลยจริงๆ มันหงุดหงิดยังไงไม่รู้” ทางด้านของเจ้าตัวจึงขมวดคิ้วขึ้นมาเพราะตามปกติการเล่นดนตรีนั้นเป็นความสุขของเธอแท้ๆแต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงไม่ค่อยมีอารมณ์เล่นเท่าไหร่ทั้งที่ใกล้ถึงวันแสดงจริงเต็มที่แล้ว
“เอ หัวหน้าไปอารมณ์เสียที่ไหนมากหรือเปล่าคะ?” ผู้หญิงที่เป็นคนเล่นวิโอล่าถามขึ้นเพราะตามปกติแล้วหัวหน้าวงของพวกเธอนั้นไม่ค่อยมีอาการงอแงกับการเล่นดนตรีแบบนี้เท่าไหร่นักหากจะมีก็เป็นเพราะว่าตอนนั้นกำลังมีอะไรบางอย่างตกค้างอยู่ในใจ
“อืม ไม่รู้สิบอกไม่ถูกเหมือนกันเซร่า แต่ที่แน่ๆ คือวันนี้สื่ออารมณ์ออกมาได้ไม่ดีเลย” แม้จะไม่เข้าใจสาเหตุแต่เธอกลับเข้าใจผลลัพธ์ของมันเพราะเรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกขุ่นมัวทางอารมณ์ตลอดเวลาเป็นเหตุให้เพลงที่เธอเล่นไม่เพราะเท่าที่ควร
“เอ หรือว่าจะวันมา... แอ้ก” เสียงของมือเปียโนที่กำลังจะพูดเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้หญิงออกมาจึงถูกขวดน้ำจากมือวิโอล่าสาวเมื่อครู่ขว้างใส่หัวอย่างแม่นยำก่อนลงไปนอนแอ้งแม้งอย่างรวดเร็ว
“เอาเป็นว่าลองหาวิธีไปคลายเครียดดูก่อนไหมละครับหัวหน้า แม้จะไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือเปล่าแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” สมาชิกคนสุดท้ายของวงซึ่งเป็นมือไวโอลีนอีกคนลองเสนอดูหากว่าหัวหน้าของพวกเขาคลายเครียดไม่สำเร็จมีโอกาสที่งานจะล่มสูงเลยทีเดียว
“นั่นสินะเทโอ ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายดีกว่าอยู่เฉยๆแล้วอารมณ์ไม่ดีแบบนี้” เธอพยักหน้ารับข้อเสนอของสมาชิกในวงของตนเองเธอก็รู้หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ดีเท่าไหร่นักก่อนที่เธอจะเดินตรงดิ่งไปหาเหล่าทหารมนตราอย่างรวดเร็ว
“นี่ฉันอยากออกไปเดินเที่ยวน่ะ นายมาเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ” เสียงชักชวนของแม่สาวนักดนตรีทำเอาเรย์ชะงักไปดวงตาสีฟ้าครามของเจ้าตัวมองมาทางแม่สาวที่ชวนเขาออกไปเดท
“อย่าเลยดีกว่ามั้ง มีใครก็ไม่รู้ปองร้ายอยู่ทางที่ดีเก็บตัวสงบเสงี่ยมในนี้ดีกว่านา” เรย์พยายามหาข้อโต้แย้งเพราะยังไงเสียแม่คนนี้ก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกหมายหัวและถ้าให้เดาน่าจะเป็นตัวเอ้เลยด้วยการพาออกไปเดินดุ่มๆข้างนอกคงไม่ใช่เรื่องดี
“ก็ฉันจ้างนายมาเพื่อการนี้แหละ ถ้าต้องทนอุดอู้ในนี้น่ะไม่เอาหรอก พาออกไปข้างนอกหน่อยเถอะน่า นะ” แต่ทางด้านสาวเจ้ายังไม่ยอมแพ้พร้อมส่งสายตาออดอ้อนมาด้วยทำเอาเรย์ได้แต่กุมขมับไม่นึกว่าตนจะมีวันที่ต้องมาอ่อนใจแบบนี้ด้วย
“ใครกันแน่ที่เป็นเด็กเอาแต่ใจฟะ ก็ได้แต่บอกไว้ก่อนนะต้องทำตามคำพูดของฉัน ฉันบอกให้กลับต้องกลับ” เรย์รู้เหนื่อยใจเล็กๆดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาเคยทำกับอลันนั้นในเวลานี้มันกำลังย้อนเข้าตัวเขากลับมาทั้งหมดแบบทวีคูณเสียแล้ว
“จะดีเร้อเรย์ ปล่อยให้คนที่เราคุ้มกันออกไปเดินล่อเป้าแบบนี้” ครอสเอ่ยปากห้ามเพราะไม่ว่ายังไงมันก็ค่อนข้างจะอันตรายไปนิดไม่ใช่เขาไม่มั่นใจฝีมือของเรย์แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังอันตรายจนเกินไปอยู่ดี
“เชื่อเถอะครอส ถ้าเราขังแม่นี่ไว้รับรองไม่เกินสามชั่วโมงต้องหาวิธีแพลงๆ ในการแอบออกไปเองจนได้ ถึงเวลานั้นมันจะวิบัติกว่านี้เพราะงั้นยอมพาไปโดยมีฉันคุ้มกันจะดีกว่า” การวิจารณ์ที่ไม่เกรงใจคนที่ถูกวิจารณ์นั้นหากเป็นคนอื่นคงรู้สึกเคืองแต่กับคานาเดะเธอกลับยิ้มแฉ่งกับคำพูดนั้น
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันกลับมาแล้วกัน ฝากบอกอลันกับคาซึกิด้วยละ ว่าแต่อยากไปไหนก็เดินนำไปเลยตามสะดวก” เรย์โบกมือปล่อยผีเต็มที่เพราะจะยังไงเสียการให้คนๆนึงมาอยู่ๆที่ๆเดียวมาตลอดสามวันอาจจะเป็นการกดดันมากเกินไปหน่อยก็เป็นได้เขาจึงตามใจเธอพอสมควร
เมืองแอสทาร์นั้นเป็นไปอย่างคึกคักเพราะแต่เดิมที่นี่ก็เป็นเมืองสำคัญที่เหมาะจะใช้ในการท่องเที่ยวอยู่แล้วทำให้มีข้าวของขายมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งของกระจุกกระจิกที่จะผลาญเงินสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงยิ่งมีมากเป็นเงาตามตัว
“นี่จะดีกว่านี้มาก ถ้าช่วยเดินช้ากว่านี้สักนิดนะ” เรย์ปาดเหงื่อเบาๆไม่รู้ว่าแม่นี่ไปเอาเรี่ยวแรงขนาดนี้มาจากไหนวิ่งดูของนั่นนี่ได้ไม่มีหยุดหย่อนพลังงานจะเหลือเฟือเกินไปแล้ว
“อะไรกัน นายเหนื่อยแล้วหรอ? ร่างกายของนายอ่อนแอไปแล้วมั้ง” คานาเดะหน้างอเมื่อถูกตำหนิแต่อันที่จริงแล้วร่างกายของเธอต่างหากที่แข็งแรงเกินนักดนตรีทั่วไปนี่เธอเล่นวิ่งพล่านมาตลอดสองชั่วโมงแล้วนะ
“เรากำลังโดนหมายหัวอยู่ เธอจะยิ่งวิ่งพล่านทำตัวเด่นให้เขามาส่องง่ายขึ้นหรือไง” ไอ้เหนื่อยมันไม่เหนื่อยแน่อยู่แล้วเพราะเขาเคยผ่านการฝึกหฤโหดกว่านี้มาเยอะแต่ที่ทำให้เขาแปลกใจคือแรงกายของแม่สาวคนนี้ต่างหาก
“อ๊ะ ลืมเลยแฮะๆ” เธอหัวเราะแห้งๆแล้วเขกหัวตัวเองเบาๆและแลบลิ้นออกมาอย่างน่ารักส่วนทางด้านของเรย์นั้นทำได้เพียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาเพราะเขาขี้เกียจจะปริปากว่าอะไรแม่นี่แล้ว
“ว่าแต่เธอซื้อของไปน้อยกว่าที่คิดนะเนี่ย ฉันนึกว่าเธอจะซื้อของไปมากกว่านี้ซะอีก” บอกตรงๆเห็นจากการวิ่งพล่านตอนแรกเขาหวั่นๆว่าปริมาณของที่เธอซื้อจะมากพอไปถมที่แทนกระสอบทรายกันน้ำท่วมได้เลยแต่ที่ไหนได้กลับมีแค่สองสามถุงเล็กๆ
“แน่นอนสิ ก็ฉันไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้นสักหน่อย สมัยก่อนน่ะเวลาจะซื้ออะไรสักอย่างน่ะต้องเก็บเงินเกือบตาย ยิ่งตอนซื้อไวโอลีนตัวแรกนะต้องเก็บหอมรอมริดแทบแย่ กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ต้องใช้ความคิดไม่รู้กี่ตลบในการคำนวณเงินค่าใช้จ่ายนี่แหละ” ถือว่าเป็นผู้หญิงที่น่าชื่นชมเลยทีเดียวเพราะใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นคนที่ใช้เงินเป็นน้ำแต่การที่เธอคนนี้ทั้งที่รวยมากแล้วแท้ๆแต่ก็รู้จักคุณค่าของเงินนั้นทำให้เขาอดชื่นชมเธอในใจไม่ได้
“ว่าแต่เพราะต้องเก็บเงินซื้อไวโอลีนแล้วอดข้าวหรือเปล่า เลยสูงได้แค่เนี้ย” ทางด้านของเรย์ยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนขยี้ผมเปียของแม่สาวนักดนตรีไปด้วยส่วนทางด้านของคานาเดะที่ได้ยินดังนั้นก็หน้างอกว่าเก่า
“ใจร้าย ฉันยังโตได้อีกนะ อีกอย่างผู้ชายที่ตัดสินผู้หญิงจากรูปลักษณ์ภายนอกระวังถูกเกลียดไม่รู้ด้วย” แต่ในสายตาของเรย์แล้วบางทีแม่นี่อาจจะยังพอมีหวังก็ได้ถ้าเทียบกับแม่น้องสาวของเขาที่ไม่โตมาตั้งแต่อายุสิบสองปีแล้วละก็นะ
“ว่าแต่ได้ออกมาเดินข้างนอกน่ะ คงสบายใจขึ้นแล้วสินะ” คำพูดของเรย์ทำเอาเธออดชะงักไปไม่ได้เพราะแม้คำพูดจะติดไปทางรำคาญก็ตามหากแต่น้ำเสียงของเขานั้นกลับแฝงเอาไว้ด้วยความห่วงใยจนเธอต้องอมยิ้ม
“ก็ดีขึ้นนะแต่ยังไม่มากเท่าไหร่จะดีกว่านี้ ถ้าใครบางคนยอมเล่นไวโอลีนให้ฉันฟังจะสมบูรณ์แบบเลย” แม่สาวนักตนตรียิ้มเผล่เธออยากฟังดนตรีที่คนๆนี้เล่นใจจะขาดติดก็แต่เขาไม่ยอมเล่นให้เธอฟังเสียทีแต่ถึงแบบนั้น
“โทษที ยังไม่มีอารมณ์จะเล่น...โอ๊ย” เจ้าตัวเอ่ยก่อนที่นิ้วของเขาจะตรงเข้าดีดหน้าผากของสาวเจ้าจนแดงขึ้นมาทันตาส่วนทางด้านของคานาเดะหน้าผากของเธอแดงขึ้นมาเล็กน้อย
“ปฏิเสธก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ทำไมต้องดีดกันด้วยเล่า มันเจ็บนะ” มือเรียวลูบหน้าผากของตัวเองที่ถูกประทุษร้ายไปด้วยส่วนทางด้านของผู้ลงมือประทุษร้ายนั้นกลับมีท่าทีเฉยเมยไม่สนใจ
“ถ้าเธอหายเบื่อแล้วก็กลับกันได้แล้ว อยู่ด้านนอกนานๆมันอันตรายโดยใช่เหตุอะนะ” เมื่อเห็นว่ามันผ่านมาพักใหญ่แล้วเขาจึงตัดสินใจให้แม่สาวข้างตัวของเขากลับไปยังที่พักเสียทีเพราะการออกมาด้านนอกนานๆ มันอันตรายเกินไป
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวสิ ถึงนายจะไม่ยอมเล่นดนตรีให้ฟังแต่ขอถามอะไรสักคำถามนึงได้ไหม?” เธอวิ่งมาดักหน้าของเรย์อย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของเรย์นั้นถอนใจเล็กๆกับท่าทางของคนตรงหน้าแล้วจึงพยักหน้ารับเบาๆ
“ทำไมนายถึงเล่นดนตรีเหรอ?” คานาเดะถามขึ้นมาดวงตาสีอำพันของเธอฉายแววสนใจใคร่รู้หากแต่ทางด้านของเรย์ที่ถูกถามคำถามเช่นนี้ทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่
“ทำไมถึงถามคำถามนี้ละ?” ปกติแล้วไม่มีใครเคยถามคำถามแบบนี้กับเขาเลยไม่สิ อันที่จริงแล้วคนที่รู้ว่าเขาเล่นดนตรีได้นั้นมีอยู่ในระดับนับนิ้วได้ต่อให้เป็นครอสก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้ถ้าให้นับจริงๆนอกจากพี่ไรอากับเรเดียแล้วรวมๆกันก็น่าจะไม่ถึงสิบคนยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคำถามแปลกๆแบบนี้จะหลุดออกมาหรือเปล่าด้วย
“ก็ฉันอยากรู้น่ะว่านายจับเครื่องดนตรีครั้งแรกเมื่อไหร่ คนที่เล่นดนตรีได้ถึงขนาดนี้ที่สำคัญที่สุดยังเป็นดนตรีที่เข้าถึงผู้ฟังให้สามารถสนุกไปกับดนตรีที่เราเล่นได้แบบนี้น่ะหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ” เป็นเหตุผลที่ค่อนข้างแปลกพิสดารตามเคยแต่หากให้เทียบมาตราฐานของแม่นี่ละก็เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“อะ เพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบชั้นบอกก่อนเลยก็ได้ ชั้นมาเล่นดนตรีเพราะเคยได้ยินการบรรเลงของนักดนตรีท่านนึงเข้าน่ะ เพลงที่ชั้นได้ยินครั้งแรกชั้นจำไม่ได้แล้วล่ะว่าเป็นเพลงอะไรแต่ตอนนั้นชั้นจำได้เลยนะว่าชั้นชอบมากจะว่าไปดีละ มันรู้สึกสะท้านไปถึงหัวใจละมั้ง เลยอยากจะลองทำแบบนั้นดูบ้างอยากจะให้ดนตรีของชั้นช่วยทำให้ชีวิตที่น่าเบื่อของใครบางคนมีสีสันขึ้นมา พอมาพูดตรงๆแบบนี้ก็รู้สึกอายๆเหมือนนะเนี่ย” เธอเกาหน้าตัวเองเบาๆใบหน้าน่ารักขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยดูท่าทางมันเป็นเหตุผลจากใจของเธอจริงๆเหตุผลที่ทำให้เธอหันมาเล่นดนตรี
“ว่าแต่ของนายละ? ถ้าเป็นเรื่องนี้บอกสักนิดก็ไม่เป็นไรสินะ” แม่สาวนักดนตรียังคงลดไล่เขาอย่างไม่ลดละส่วนทางด้านของเรย์นั้นรู้สึกเหมือนตนโดนมัดมือชกยังไงพิกลในเมื่อเธอเล่าเรื่องของตัวเองมาแล้วเขาจะไม่เล่ามันก็ยังไงอยู่
“ของฉันน่ะไม่ได้มีเป้าหมายยิ่งใหญ่แบบนั้นหรอกที่เล่นดนตรีก็เพราะ อยากได้รับคำชมจากคุณแม่ละมั้ง” จะว่าไปครั้งแรกที่จับเครื่องดนตรีนั้นเขาแทบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ามันเมื่อไหร่สามขวบ? ก็น่าจะประมาณนั้นตอนนั้นยังเล่นเพลงไม่เป็นเพลงด้วยซ้ำ
“ตอนนั้นฉันเห็นคุณแม่ชั้นเล่นไวโอลีน ตัวฉันในตอนเด็กๆ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่รู้แค่มันเพราะดีในภายหลังถึงได้รู้ว่ามันเป็นเพลงที่ยังคงเป็นที่นิยมจนทุกวันนี้ แล้วชั้นอยากเล่นดูบ้างตอนนั้นน่ะชั้นเล่นไม่เอาไหนแค่โน๊ตยังดูแทบไม่เป็นเลยแต่คุณแม่ก็ยังชมชั้น ตอนนั้นน่ะชั้นเคยตั้งความฝันว่าอยากเป็นนักดนตรีเหมือนคุณแม่ด้วยซ้ำไป” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเรย์ในตอนนั้นเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากได้รับความรักและความอบอุ่นเหมือนกับเด็กทั่วไปมีคุณแม่ที่คอยรักและห่วงใยเขาตลอดเวลา
แต่เขาก็ไม่ได้เป็นนักดนตรีอย่างที่วาดฝันไม่สิ ตัวเขาเลือกเดินมาบนเส้นทางนี้ด้วยตัวเองต่างหากหากถามว่าเขาเสียใจกับการเลือกไม่เขาคงตอบว่ามีบ้างแต่ เขาก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อเขาเลือกเดินมาแล้วก็ได้แต่ก้าวต่อไปจนกว่าจะถึงปลายทางเท่านั้นแม้ว่าปลายทางนั้นจะ...
“คุณแม่ของนายชื่ออะไรเหรอ?” ทางด้านของคานาเดะถามอย่างสนใจเนื่องจากเธอเคยฟังดนตรีที่นักดนตรีคลาสสิกเคยเล่นมามากยิ่งนักไวโอลีนเหมือนกันแบบนี้เธอน่าจะรู้จัก
“เครอา ไรคาลิส ไม่สินามสกุลเก่าของคุณแม่คือเนราเซียดังนั้นชื่อในวงการก็น่าจะเป็น เครอา เนราเซียละนะ” เรย์นึกถึงนามสกุลเก่าคุณแม่ของตนโดยไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าเด็กสาวเบื้องหน้าของตนนั้นออกอาการอ้าปากค้างไปแล้ว
“เอ๋ จริงเหรอ นายเป็นลูกของคุณเครอาคนนั้นจริงๆเหรอ ไม่ได้โกหกแน่นะ” แม่สาวตรงหน้าดูตกใจเป็นอย่างมากเธอเขย่าร่างของเขาต้องการคำยืนยันจากปากจนเขารู้สึกเหมือนกับว่าอะไรสักอย่างในร่างมันโขลงไปหมด
“อา ก็ใช่น่ะสิ ทำไม?”
“ดนตรีที่คุณเครอาน่ะเล่นน่ะเป็นเพลงที่ฉันพูดถึงนั่นแหละ นี่นายเป็นลูกชายคุณเครอาเหรอเนี่ย โลกกลมจังเลย มิน่าล่ะนายถึงได้เล่นดนตรีเก่งแบบนี้น่ะ” เธอพยักหน้าราวกับเข้าใจเพราะดนตรีที่เครอา เนราเซียเล่นนั้นเป็นเพลงชั้นเลิศที่จนทุกวันนี้เธอจะต้องฟังก่อนนอนอยู่ร่ำไป
“นายนี่จะน่าอิจฉาไปแล้วนะเนี่ย เล่นดนตรีก็เก่งแถมยังได้ฟังดนตรีของคุณเครอาแบบนี้อีก โชคดีสุดๆเลยคุณเครอาน่ะหลังแต่งงานก็ไม่ได้เปิดงานแสดงอีกเลย ชั้นยังเสียดายจนทุกวันนี้เลยนะ นี่ว่างๆขอชั้นฟังดนตรีที่คุณเครอาเล่นด้วยได้ไหม?” คำพูดของคานาเดะนั้นทำให้เรย์ได้แต่นิ่งเงียบอาจจะจริงที่เขาได้พรสวรรค์จากคุณแม่ในเรื่องดนตรีมาบ้างหากแต่เขาไม่มีโอกาสได้ฟังดนตรีที่คุณแม่เล่นอีกต่อไปแล้ว
“คงไม่ได้หรอก ก็คุณแม่น่ะเสียไปตั้งแต่ตอนชั้นอายุห้าขวบนี่นะ” ประโยคนี้เองที่ทำให้แม่สาวที่ร่าเริงจนเกินพิกัดหยุดชะงักไปในทันทีดวงตาสีอำพันของเธอเปิดกว้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วรอยยิ้มที่เจื่อนไปถนัดตา
ความเงียบโรยตัวลงมาอย่างน่าอึดอัดกระทั่งแม่สาวที่มีพลังงานล้นเหลือและช่างตื้ออย่างคานาเดะยังเงียบพูดไม่ออกกับเรื่องแบบนี้เพราะคำพูดของเธอเมื่อครู่มันราวกับไปตอกย้ำบาดแผลของคนตรงหน้าให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
“ขอโทษนะ พอดีชั้นไม่รู้ว่าคุณเครอาเขา เอ่อ จะยังไงก็ต้องขอโทษจริงๆ” เธอก้มหัวให้กับเรย์ในทันทีเพราะแม้จะไม่รู้จักกาละเทศะขนาดไหนแต่เธอรู้ดีว่าเมื่อครู่ตนเป็นฝ่ายผิดอยู่เต็มประตูที่ไปคะยั้นคะยอถามแบบนั้น
“ไม่เป็นไร จะยังไงซะคุณแม่ก็เสียไปตั้งนานแล้วชั้นทำใจได้แล้วล่ะไม่ต้องห่วง” เรย์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนักจริงอยู่ที่ในตอนแรกเขาร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังแต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่เขายอมรับได้แล้วไม่สิ เป็นสิ่งที่เขาต้องยอมรับให้ได้ต่างหาก
แม้ปากจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตามแต่ในมุมมองของคานาเดะแล้วมันไม่เป็นแบบนั้นเลยรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเรย์ที่แต่เดิมนั้นมันควรจะเป็นรอยยิ้มสบายอารมณ์มันกลับเป็นรอยยิ้มที่แลดูเศร้าสร้อยขึ้นมาทันตาทำเอาเธอยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“ดูเหมือนว่าเราจะอยู่ล่อเป้ากันนานไปแฮะ มีคนมาต้อนรับแล้วแน่ะ” รอยยิ้มเศร้าสร้อยหายไปราวกับหมอกควันมายาหากเมื่อครู่เธอไม่ได้มาเห็นกับตาเธอคงไม่นึกว่ารอยยิ้มแบบนั้นจะออกมาจากชายผู้นี้ได้ก่อนที่เธอจะพบว่าตอนนี้มีกลุ่มคนจำนวนนึงล้อมพวกเธอเอาไว้แล้ว
“ว้าวๆ เยอะขนาดนี้ก็แน่นอนแล้วละ พวกสายกำเนิดอสูรชัวร์” สร้อยข้อมือสีฟ้าเปล่งแสงและหมุนวนอย่างรวดเร็วดูเผินๆพวกมันเหมือนคนก็จริงแต่แท้จริงแล้วพวกมันคือโกสท์อสูรชั้นต่ำที่มีรูปร่างเป็นหมอกควันคาดว่าคงแปลงสภาพให้กลายเป็นคนเพื่อใช้ในการแฝงตัวเข้าในย่านชุมชนเป็นแน่
แกร็ก
เสียงปืนขึ้นไกดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันปืนหลายสิบกระบอกถูกเล็งมายังร่างของเขาและเด็กสาวข้างตัวแต่ถึงแบบนั้นเรย์กลับไม่ได้กังวลใจเลยแม้แต่น้อยนิด
“อย่าอยู่ห่างจากฉันละ คานาเดะ” น้ำเสียงที่เคยสบายๆของเรย์แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังครั้งแรกดวงตาสีฟ้าครามของเขาจับจ้องไปยังศัตรูโดยรอบอย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของศัตรูโดยรอบนั้นลั่นไกกระสุนออกมาในทันที
พายุกระสุนพุ่งออกมาราวกับพายุในยามแรกนั้นเรย์ไม่ได้กังวลอะไรมากแม้จำนวนจะมากแต่เขาเคยเจอกระสุนหลายร้อยนัดยิงกระหน่ำมาแล้วแค่ไม่กี่สิบนัดไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากนักหากถ้าเขาไม่เหลือบไปเห็นว่ากระสุนเหล่านั้นมีอะไรแตกต่างไปจากกระสุนปกติ
‘แย่แล้วกระสุนทลายมนตรา’ ในวินาทีที่เขาได้เห็นกระสุนก็รู้ได้ในทันทีว่ากระสุนเหล่านี้นั้นเป็นกระสุนทลายมนตราแบบเดียวกับที่เนียร์เคยโดนนั่นเอง
แม้ว่าโล่มนตราของเขาจะต้านทานกระสุนเหล่านี้ได้แต่ก็มีขีดจำกัดเพราะกระสุนพวกนี้เป็นกระสุนพิเศษที่ทำให้โล่มนตราของเขาต้านทานไว้ลำบากกว่าปกติหากจำนวนน้อยกว่านี้ยังพอมีโอกาสต้านทานได้แต่สภาพนี้หมดทางป้องกันโดยสิ้นเชิง
มนตราธาตุแสง โล่แสงพิทักษ์สวรรค์
มนตราธาตุแสง คมดาบแสงไร้จำกัด
มนตราสองบทที่เขาถนัดที่สุดถูกใช้ออกมาอย่างรวดเร็วโล่มนตราสามอันถูกสร้างขึ้นต้านทานการโจมตีสามทิศทางแน่นอนว่าด้วยความที่เขาสร้างเน้นจำนวนทำให้เพียงแค่รับกระสุนไปเจ็ดถึงแปดนัดมันก็แตกสลายไปในทันทีแต่เรย์หาได้สนใจเรื่องนั้นเขาควบคุมดาบแสงให้ตรงเข้าทิ่มแทงร่างของโกสต์อีกด้านที่เหลือในทันที
คมดาบแสงแทงทะลุร่างของพวกนั้นไม่ต่างจากกระดาษก่อนที่ร่างของพวกนั้นจะสลายไปในทันทีแต่คมกระสุนก็ถูกลั่นไกออกมาแล้วเขาจึงไม่มีวิธีอื่นนอกเสียจากรวบร่างบางข้างตัวเอาไว้ก่อนพุ่งทะยานออกไปแล้วใช้ดาบแสงเล่มสุดท้ายในมือปัดกระสุนพวกนั้นทิ้ง
“ว้าย” เสียงร้องของแม่สาวที่โดนอุ้มไปทั้งแบบนั้นเพียงไม่กี่วินาทีเธอก็ถูกรวบให้เข้ามาหลบหลังที่กำบังเป็นที่เรียบร้อยในขณะที่เธอยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หายกับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่หากว่าพลาดพลั้งไปสักทีละก็พวกเธอคงพรุนไม่ต่างกับรังผึ้ง
“คราวหน้าจะทำแบบนี้ก็บอกกันก่อนสิอะ นี่นายบาดเจ็บงั้นเหรอ” เสียงร้องของแม่สาวข้างตัวดังขึ้นมาส่วนทางด้านของเรย์นั้นใช้มือข้างหนึ่งกุมบาดแผลที่ถูกกระสุนเอาไว้ด้วยความที่เขาใช้พลังในการคงสภาพดาบแสงน้อยเกินไปทำให้ดาบแสงสลายไปก่อนที่เขาจะใช้มันปัดกระสุนทิ้งได้ทันส่งผลให้กระสุนนัดนั้นเจาะเข้ามาในร่างของเขา
“แย่แฮะประมาทไปหน่อย กระสุนฝังในเลยด้วย” เลือดสีแดงฉานไหลซึมออกมาจากปากแผลใบหน้าแม้จะยังประดับด้วยรอยยิ้มอยู่แต่เหงื่อที่เริ่มไหลซึมมากกว่าปกติบ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
ยิ่งบาดแผลที่เกิดจากกระสุนทลายมนตราจะรักษาลำบากหากไม่นำมันออกมาก่อนเพราะมันเป็นกระสุนที่ใช้ในการสังหารแถมจะใช้มนต์รักษาแบบที่เคยทำก็ไม่ได้เพราะตัวกระสุนสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันเรื่องพวกนี้โดยเฉพาะ ยิ่งหากเขาไม่นำมันออกมาความสามารถโลหิตแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเขาก็จะไม่ทำงานเต็มประสิทธิภาพดูเหมือนว่าคราวนี้เขาจะแย่จริงๆแล้ว
