บท
ตั้งค่า

chapter4-4

หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ลอบโจมตีไปแล้วทำให้คาซึกิและเนียร์ที่แต่เดิมตั้งใจจะผ่อนคลายตามคำบอกกลับมาเฝ้าระวังอีกครั้งแต่ทางด้านของระดับหัวหน้าหน่วยอย่างครอสหรือเรย์นั้นยังคงมีท่าทีเอื่อยเฉื่อยกันเช่นเดิมโดยที่ตลอดการเดินทางหลังจากนั้นไม่มีการโจมตีใดๆอีกเลย

วงออร์แลนเทียนั้นเข้าไปในที่พักพร้อมทั้งเริ่มทำการซ้อมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาแต่ละคนดูเฉยชากับเรื่องแบบนี้มากราวกับว่าเรื่องเช่นนี้มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้วผิดกับทางด้านของเนียร์ที่ดูเกร็งกับภารกิจนี้อย่างประหลาด

“ใจเย็นน่าเนียร์ ตอนนี้เราไม่ต้องเกร็งมากนักก็ได้ที่นี่น่ะเป็นที่พักส่วนบุคคลดังนั้นไม่ต้องกังวลในเรื่องคนแปลกหน้าจะมาโจมตีหรอก ขนาดคนในวงเขายังดูเฉยกันมากเลยเราเป็นคนในวงการพวกนี้จะร้อนรนกว่าพวกเขาได้ยังไง” เรย์ที่เห็นว่าแม่สาวน้อยคนนี้ดูจะมีความเครียดสะสมมากกว่าใคร คาซึกินั้นแม้จะเคร่งเครียดเช่นกันก็ตามแต่กับคนที่ทำหน้านิ่งได้ทั้งวันนั้นเขาคิดว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมงไม่น่าจะมีผลกระทบกับรายนั้นมากนัก

“แต่ถึงแบบนั้นเราก็ยังประมาทไม่ได้นี่คะ เพราะเราไม่รู้ว่าศัตรูจะบุกโจมตีพวกเราอีกครั้งเมื่อไหร่” ดูเหมือนนี่เป็นครั้งแรกที่เด็กคนนี้ต้องทำภารกิจระดับA ทำให้เธออดรู้สึกกังวลมากกว่าปกติไม่ได้ตั้งแต่ตอนนั่งรถไฟมาเธอก็ดูระวังตัวมากเป็นพิเศษแล้ว

“อย่าห่วงน่าเนียร์การที่เจ้านั่นเพิ่งลงมือพลาดมาน่ะ มันไม่ย้อนกลับมาหาเราเร็วนักหรอก เพราะมันได้ฝีมือพวกเราไประดับนึงแล้วต้องประเมินว่ามีโอกาสชนะเรามากแค่ไหน จนกว่าที่โอกาสจะเต็มร้อยพวกมันยังไม่กลับมาแน่นอน และกว่าจะหาบุคลากรจำนวนมากพอจะจัดการพวกเราทั้งหมดรวมถึงตระเตรียมแผนการก็คงอีกพักใหญ่เลยแหละ” มือสังหารระดับสูงนั้นจะลงมือเมื่อแน่ใจว่ามันจะสำเร็จเต็มร้อยเท่านั้นการที่พวกมันได้ข้อมูลของพวกเขาไปแล้วคงทำให้พวกนั้นหาทางรับมือพวกเขาไปอีกพักใหญ่เลยทีเดียว

“เข้าใจแล้วค่ะ” แม่สาวตัวน้อยรับคำจากคนที่สูงวัยกว่าแม้เธอจะรู้สึกค่อนข้างขัดๆก็ตามส่วนทางด้านของเรย์นั้นปลีกตัวออกมาจากบริเวณนั้นอย่างเงียบงันก่อนที่เจ้าตัวจะปาดเหงื่อไปด้วย

“ทำไมนายไม่มาพูดเองวะครอส?” แน่นอนมันไม่ได้เหนื่อยอะไรนักเพราะอันที่จริงสิ่งที่พูดไปจะเป็นสิ่งที่รุ่นพี่ควรจะแนะนำรุ่นน้องอยู่แล้วก็ตามแต่จะให้เขาคอยดูแลเนียร์ไปเสียทุกเรื่องมันก็ไม่ไหวเพราะยังไงเธอก็ไม่ใช่น้องสาวของเขาเสียหน่อย

“ก็นะ จะให้ไปโอ๋เด็กคนนั้นซึ่งหน้ามากๆมันก็ไม่ได้ ยังไงสักวันเด็กคนนั้นก็จำเป็นจะต้องยืนหยัดด้วยตัวเองเพราะชั้นคงไม่ได้อยู่กับเด็กคนนั้นอีกนานนักหรอก” ดวงตาสีน้ำตาลดำของเจ้าตัวหรี่ลงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจเบาๆในใจลึกๆใช่ว่าเขาจะอยากทำแบบนี้นักหรอกแต่ทางเลือกมันก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่นัก

คำพูดของครอสเมื่อครู่นั้นทำให้อลันและคาซึกิรู้สึกราวกับว่าเห็นเงาทะมึนอะไรบางอย่างปกคลุมร่างของบุรุษผู้นั้นอยู่เงาสีดำที่ดูแตกต่างไปจากครอสตามปกติโดยสิ้นเชิงและสิ่งนั้นทำให้พวกเขาอดหน่าวยะเยือกขึ้นมาไม่ได้

“อะไรเนี่ยครอส พูดอย่างกับคนแก่อายุแปดสิบไปได้ นายเพิ่งอายุสิบแปดเองนะเฟ้ย ยังมีเวลาอยู่กับแม่น้องสาวของนายอีกนานน่า” เรย์ตบไหล่ของครอสเสียงดังส่วนทางด้านของครอสนั้นยักไหล่เล็กน้อยแต่การแทรกของเรย์ในครั้งนี้ทำให้บรรยากาศดังกล่าวหายไปจนหมดสิ้น

“จะปล่อยให้เด็กคนนั้นเฝ้าวงออร์แลนเทียคนเดียวเหรอครับ” อลันดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยนักเพราะแม้ว่าจะลดความตึงเครียดให้เด็กคนนั้นลงบ้างแล้วก็ตามหากแต่ถึงแบบนั้นก็ไม่ควรโยนงานให้เด็กคนนั้นคนเดียวอยู่ดี

“ไม่ต้องห่วงฝากชูเอาไว้แล้ว ไม่ต้องห่วงเจ้าหมอนั่นก็ฝีมือไม่เบา” ครอสโบกมือก่อนที่คาซึกิจะนึกได้ว่ายังมีผู้ร่วมทำภารกิจนี้อีกหนึ่งคนคือเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกน้องของครอสแต่เจ้าตัวนั้นตั้งแต่เหยียบเข้าไปในรถไฟก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆแม้แต่คำเดียวราวกับไม่อยากยุ่งกับใครจึงลืมเขาไปเสียสนิท

“ว่าไปแล้วตกลงตอนที่นายตามเจ้าซุ่มยิงไปนั่นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดูจากกระสุนปืนของอลันกับความเร็วของนายมันก็ไม่น่าจะหนีไปรอดได้เลยนา” เขามั่นใจในฝีมือการยิงปืนของอลันดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าอลันนั้นไม่มีทางยิงพลาดในระยะแค่นั้นอย่างแน่นอน อีกทั้งการเคลื่อนไหวของคาซึกิก็รวดเร็วมากเพียงครู่เดียวก็ก้าวเข้าไปถึงตำแหน่งนั้นแล้วแทบไม่มีโอกาสให้ศัตรูระดับนั้นหนีรอดไปได้เลย

“สลายไปน่ะ เจ้าตัวที่ซุ่มยิงนั่นสลายไปต่อหน้าต่อตาของฉันเลย” คำพูดของคาซึกิส่งผลให้ผู้ที่ฟังอยู่ทั้งหมดขมวดคิ้วขึ้นมาในทันทีเพราะพวกเขาต่างรู้ว่าการโจมตีของอลันไม่ได้มีผลทำลายล้างถึงขั้นสลายร่างเนื้อได้ถึงเพียงนั้น

“อืม สลายไปต่อหน้างั้นเหรอถึงแม้มันจะทำให้เราไม่รู้ตัวและใบหน้าของคนร้าย แต่แบบนี้ก็จำกัดความสามารถของศัตรูลงได้โขเลย” ข้อมูลที่ได้รับมาถูกประมวลอยู่ภายในหัวของครอสอย่างรวดเร็วดวงตาที่เคยฉายแววง่วงงุนและเบื่อหน่ายหายวับไปราวกับเรื่องโกหกแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่เปี่ยมด้วยปัญญาเข้าแทนที่

“ศัตรูจะเหลือพวกนินจาแต่ไม่น่าใช่กลุ่มนี้เพราะพวกนี้ไม่น่าใช้ปืน พวกนักเวทสายมายาก็ไม่น่าใช่เพราะวิธีการแตกต่างไปจากที่ควรจะเป็น ก็จะเหลือพวกนักพรตที่สั่งให้ภูตกระดาษมาลงมือแทนหรือไม่ก็...” ครอสเริ่มวิเคราะห์รายนามความสามารถทางสายหลักของศัตรูอย่างรวดเร็วหากเขาสามารถคาดเดาได้จะมีประโยชน์มากทีเดียวในการรับมือครั้งต่อไป

“ถ้ารวมจากข้อมูลทั้งหมดที่เหลือก็มีเพียงผู้ใช้อสูรเท่านั้นแหละ” แม้จะไม่ได้อ่านหนังสือมามากเท่าครอสแต่จากประสบการณ์ในชีวิตที่มีนั้นเขามีมากกว่าเจ้าหมอนี่โข จากข้อมูลที่มีแล้วศัตรูน่าจะมีอยู่กลุ่มเดียวคือกลุ่มผู้ใช้อสูร

“ผู้ใช้อสูรงั้นเหรอ? งานหินเอาการเลยนะครับเนี่ยผมไม่เคยปะทะกับพวกนี้เลยด้วย” ทางด้านของอลันดูกลุ้มใจขึ้นมาทันตาเพราะผู้ใช้อสูรนั้นไม่ใช่พวกที่จะเจอกันได้ง่ายๆเลยการที่พวกเขาได้มาเจอที่นี่นั้นจะว่าดวงเฮงก็เป็นได้

“ที่อยากจะได้ข้อมูลอีกสักนิดก็คือเป็นพวกใช้อสูรสายไหนเนี่ยสิ แต่เอาเถอะเรื่องแบบนั้นจากข้อมูลที่มีก็ยังยืนยันอะไรไม่ได้อะนะ”

“สายผู้ใช้อสูร?” ทางด้านของคาซึกิตวัดสายตาไปมองด้วยความแปลกใจเพราะแม้จะเคยได้ยินถึงชื่อเสียงของคนกลุ่มนี้มาก่อนแล้วก็ตามแต่เขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกับอลัน กระทั่งครอสยังดูแปลกใจกับเรื่องนี้เลยเสียด้วยซ้ำ

“จริงๆแล้วหากเป็นคนทั่วไปอาจมองแล้วไม่มีความแตกต่างแต่คนกลุ่มนี้มีสองสายน่ะ สายอัญเชิญอสูรกับสายกำเนิดอสูร สองสายนี้จะมีวิธีการรับมือที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เรย์อธิบายโดยไม่เกี่ยงงอนเพราะข้อมูลที่เขามีนั้นเป็นข้อมูลวงในที่ถ้าหากไม่เคยผ่านสนามรบมามากพอก็จะไม่มีทางมีข้อมูลพวกนี้โดยเด็ดขาด

“สายอัญเชิญน่ะโดยมากแล้วจะไม่ค่อยเน้นจำนวนของสัตว์อสูรแต่จะเน้นความแข็งแกร่งของอสูรมากกว่า อสูรที่อัญเชิญได้จะถูกจำกัดขอบเขตไว้ที่สามถึงสี่ตัว ความแข็งแกร่งก็ขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้นทำสัญญากับอสูรระดับไหนเอาไว้น่ะแน่นอนยิ่งระดับสูงอสูรที่อัญเชิญออกมายิ่งแข็งแกร่ง ส่วนสายกำเนิดอสูรนั้นเป็นสายที่ให้กำเนิดอสูรโดยตรงเลยเป็นสายที่สามารถสร้างกองทัพอสูรได้ภายในเวลาไม่นานแต่ความแข็งแกร่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือคนสร้างด้วยเช่นกันอีกทั้ง การสร้างอสูรของตัวเองยังมีข้อจำกัดยุ่งยากทำให้สายนี้มีจำนวนน้อยกว่า”

“หมายความว่าที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่คือพวกผู้กำเนิดอสูรหรือครับ” อลันอดคิดไม่ได้เนื่องจากกระสุนที่เขายิงไปนั้นเป็นกระสุนที่สังหารมนุษย์ธรรมดาไม่ได้เสียด้วยซ้ำไปแต่ศัตรูกลับสลายไปซะแบบนั้นหากให้ประเมินแล้วอสูรตัวนั้นอ่อนแอกว่ามนุษย์เสียอีก

“ไม่ ก็ยังไม่แน่บางทีอาจเป็นพวกอัญเชิญอสูรที่ส่งพวกลูกกะจ๊อกมาหยั่งเชิงและหลอกให้เราประมาทก็ได้” ครอสวิเคราะห์ปัญหาต่อไปได้อย่างรวดเร็วแต่เดิมเขาก็เป็นคนที่ฉลาดและหัวไวอยู่แล้วจึงสามารถวิเคราะห์ถึงแนวคิดของเรย์ได้อย่างรวดเร็ว

“ตอนนี้เรื่องนั้นเอาไว้เก็บไปนอนคิดก่อนก็ได้ เดี๋ยวชั้นขอตัวไปวางข่ายมนต์กันเหนียวก่อนแล้วกัน เฮ้ย ครอสมาช่วยกันเดะ แค่ช่วยเขียนข่ายมนต์นายน่าจะทำได้ใช่มะ” เรย์กวักมือเรียกเจ้าคนที่กำลังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาเข้าด้วยกันอยู่ส่วนทางด้านของครอสที่ได้ยินดังนั้นเขาก็เดินตามเรย์ไปในขณะที่กำลังคิดไปด้วย

“ไม่ยักรู้ว่าหมอนั่นจะฉลาดขนาดนี้” คาซึกิรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างยิ่งที่เรย์มีข้อมูลในเชิงลึกขนาดนี้เพราะเขาคิดด้วยซ้ำว่านิสัยอย่างเรย์นั้นน่าจะไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย

“สิ่งที่เรย์พูดออกมาน่ะเป็นเพราะเขาอยากจะพูดนะครับ อยากพูดอะไรก็พูดออกมาตรงๆแต่ถ้าไม่พูดจะพยายามยังไงก็ง้างปากเขาไม่สำเร็จแน่นอน” ด้วยความที่อยู่กับเรย์มาได้พักนึงจึงพอจะรู้นิสัยของเรย์อยู่บ้างแม้บางครั้งจะเป็นการพูดที่ตรงจนเกินไปก็ตามแต่หากให้ถามเขาชอบคนแบบเรย์นะ

“ว่าแต่ตกลงแล้วครอส คานิวาลน่ะเป็นมนตราสายธาตุอะไรกันแน่ทำไมชั้นถึงเห็นหมอนั่นควบคุมได้ทั้งสายลมและเปลวเพลิง” คาซึกิอดถามไม่ได้ตามปกติแล้วพวกสายมนตรานั้นจะเกิดมาพร้อมกับพลังมนตราเพียงธาตุเดียวเท่านั้นอาจมีสายพิเศษหลุดออกมาบ้างแต่ไม่เคยได้ยินว่ามีมากกว่าหนึ่งธาตุในตัวคนเดียวได้

“อืม จริงๆจะให้บอกก็ไม่น่าเป็นอะไรมั้ง ยังไงนี่ก็เป็นเรื่องที่คนในกองทหารมนตราส่วนใหญ่เข้ารู้กันอยู่แล้วด้วย” อลันครุ่นคิดอยู่พักนึงเพราะเขาไม่ได้สนิทกับครอสมากนักจะให้เล่าเรื่องของคนๆนั้นให้ฟังมันก็ยังไงอยู่แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรเพราะถ้าคาซึกิไปถามเรย์ตอนนี้ก็น่าจะให้คำตอบแบบเดียวกับเขา

“รู้ใช่ไหมว่าคุณครอสเขาน่ะเป็นคนในตระกูลคานิวาล ตระกูลเก่าแก่ทางด้านพลังมนตรา” คาซึกิพยักหน้าเบาๆ เขาพอจะได้ยินเรื่องราวจากตระกูลนี้มาบ้างโดยเฉพาะเจ้าตระกูลคนปัจจุบันอย่างไคล์ คานิวาลที่เคยได้สมญานามว่าเพลิงอเวจี

“แต่จริงๆ แล้วคุณครอสเขาไม่มีพลังมนตราหรอก เขาไม่มีพลังมนตราใดๆเลยสักนิด” คำพูดของอลันทำเอาคาซึกินิ่งค้างไปชั่วครู่จะบอกว่าชายคนนั้นไม่มีพลังมนตราทั้งๆที่เป็นเด็กที่เกิดในตระกูลคานิวาลนั้นทำให้เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้

“พลังพิเศษของเขาคือพลังจิตไม่ใช่มนตรา ในแง่ของพลังจิตแล้วเขาถือเป็นสุดยอด เพราะเป็นคนที่ควบคุมพลังจิตให้สามารถบงการธาตุทั้งสี่ได้เลย แถมยังมีไซโครคิเนซิสด้วย พลังที่ใช้ในการหยุดกระสุนก็คือไซโครคิเนซิสของเขานั่นแหละ” แม้จะปราศาจากพลังมนตราแต่แท้จริงชายผู้นั้นไม่ได้ด้อยกว่าผู้ที่มีพลังมนตราเลยสักนิดเผลอๆอาจเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำไป

“แต่ก็อีกนั่นแหละตระกูลคานิวาลน่ะเป็นตระกูลใหญ่และเคร่งครัดในกฎมาก การที่คุณครอสเขาไม่มีพลังมนตราเป็นเรื่องร้ายแรง เรย์เคยเล่าให้ฟังว่าคนในตระกูลดูถูกเหยียดหยามคุณครอสมาก ตำแหน่งเจ้าตระกูลเขาก็ไม่มีโอกาสได้ทั้งที่ถ้าให้นับตามความจริงแล้วเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลแท้ๆ” เป็นกฏเกณฑ์อันไร้สาระของมนุษย์โดยแท้เพราะแม้ว่าครอสจะปราศจากพลังมนตราโดยสิ้นเชิงแต่หากให้สู้กันจริงๆจะมีสักกี่คนที่สามารถล้มชายผู้นั้นได้

พลังจิตนั้นแตกต่างจากพลังมนตราค่อนข้ามากแม้มีความคล้ายคลึงกันจนสมัยก่อนถูกเรียกรวมกันก็ตามหากแต่ในภายหลังถูกแยกออกจากกันโดยเด็ดขาดเพราะพลังจิตนั้นเป็นพลังรูปแบบใหม่ที่เพิ่งมีขึ้นไม่นานนัก แต่พลังมนตรานั้นเป็นพลังเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลแล้วทำให้เกิดการดูถูกว่าพลังจิตเป็นพลังที่อ่อนแอกว่ามีไว้สำหรับเล่นปาหี่เท่านั้น

หลักการของพลังทั้งสองนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเพราะพลังมนตรานั้นจะเป็นการนอบน้อมต่อธรรมชาติแม้จะดึงพลังมาใช้ก็ตามแต่ก็ยังเป็นแค่การยืมพลังของธรรมชาติมาใช้เท่านั้น บทร่ายทั้งหลายก็เป็นคำวิงวอนที่ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้มากขึ้น

แต่พลังจิตนั้นไม่ใช่เพราะพลังจิตนั้นเป็นการที่คนซึ่งมีจิตแข็งกร้าวจนสามารถแสดงออกมาเป็นรูปธรรมได้ดังนั้นการใช้พลังธาตุของคนในสายนี้คือการเข้าควบคุมธรรมชาติโดยตรงแสดงถึงความโอหังถือดีของคนผู้นั้นเป็นการสวนทางกับพลังมนตราโดยสิ้นเชิง

ในแง่ของพลังทำลายนั้นพลังมนตราจะสูงล้ำกว่าเพราะเป็นการเข้าถึงและหยิบยืมพลังจากธรรมชาติ แต่พลังจิตนั้นเป็นพลังที่ควบคุมธรรมชาติแบบตามมีตามเกิดจึงสามารถควบคุมได้เพียงผิวเผินอานุภาพสูงสุดอย่างมากจึงได้แค่มนต์ขั้นกลางเท่านั้น แต่ถ้าให้เทียบในแง่ของการควบคุมแล้วพลังจิตอิสระกว่าโขเพราะไม่ต้องกลัวว่าพลังจะมากเกินไปบงการได้ดังใจนึกหากฝึกมาดีพอแล้วละก็จะบงการได้ไม่ต่างกับแขนขาและนั่นทำให้ครอสสามารถสลายมนต์ระดับต่ำของผู้อื่นได้โดยเข้าควบคุมธรรมชาติโดยตรง

“แต่เรย์เขาบอกว่าโดยส่วนตัวคุณครอสเขาก็ไม่เคยอยากจะได้ตำแหน่งไร้สาระแบบนั้นอยู่แล้ว เขาอยากจะอยู่อย่างสบายอารมณ์มากกว่าเลยยอมไปง่ายๆ” หากไม่นับพ่อของครอสเองซึ่งเป็นเจ้าตระกูลแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่จะต้านทานครอสในเวลานี้ได้เพราะกระทั่งเรย์ยังบอกเองเลยว่าไม่มั่นใจว่าจะชนะหากต้องปะทะกับครอสชนิดเอาชีวิตจริงๆ

“ผมว่าตอนนี้เราไปผลัดเวรกับเนียร์และชูกันดีกว่ารอให้เรย์กางข่ายมนต์เสร็จก่อน พวกเราก็คงจะพักได้อย่างวางใจแล้วละครับ” เขามั่นใจในการป้องกันของเพื่อนตัวเองมากข่ายมนต์ที่เรย์สร้างขึ้นนั้นน่าจะสามารถป้องกันศัตรูได้หากสร้างสำเร็จพวกเขาก็สามารถพักได้อย่างสบายใจในระดับนึงแล้ว

“ฮ้าว” เสียงหาวหลุดรอดออกมาจากปากของคนช่างเบื่อหากไม่มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษแล้วครอสจะค่อนข้างเป็นคนขี้เบื่อพอสมควรและนี่เป็นการหาวรอบที่สิบเก้าของเขาแล้ว

“ทนหน่อยน่าเดี๋ยววาดเสร็จก็ได้ไปนอนพักแล้ว” เรย์ดักทางเพื่อนของตนไม่ให้หยุดการวาดข่ายมนต์กลางทางเพราะไอ้ที่พักของพวกเขานั้นมีพื้นที่ค่อนข้างมากหากให้เขาวาดคนเดียวเกรงว่าจะเสียเวลามากจนเกินไป

“ถามหน่อยเรย์ ทำไมนายถึงเข้าร่วมภารกิจครั้งนี้?” ครอสที่เห็นว่านี่เป็นการอยู่เพียงสองคนแล้วเป็นโอกาสที่จะให้เขาได้ถามข้อสงสัยที่ตนเองคิดเอาไว้เพราะเรย์ไม่เหมือนเขาที่สนใจเรื่องของพวกอสูรแต่กลับยอมเข้าร่วมภารกิจนี้ทั้งที่ไม่ชอบภารกิจคุ้มกัน

แม้จะเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้แต่เขาคิดว่าตนรู้จักชายที่ชื่อราคิออส ไรคาลิสพอสมควรเรย์ไม่มีทางตกลงทำงานเพียงเพราะแค่โดนยัดเยียดงานมาให้อยู่แล้วเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรย์ซัดกับลุงซาเอนอสเพราะลุงแกจะให้เรย์ทำภารกิจหนึ่งให้ได้ด้วยซ้ำไป

ยิ่งเรย์มานั่งเขียนข่ายมนต์แบบนี้ยิ่งน่าสงสัยขึ้นไปอีกปกติเรย์ไม่ได้เป็นคนละเอียดอ่อนถึงเพียงนั้นเห็นแบบนี้แต่เจ้าตัวมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากด้วยมนตราป้องกันของตัวเองเขายังคิดเลยว่าเรย์จะพูดออกมาทำนองแค่มีตัวเองอยู่ก็ไม่มีทางที่จะมีใครมาทำร้ายได้ไม่ใช่มาเขียนข่ายมนต์เตรียมพร้อมเต็มรูปแบบเพื่อระวังความปลอดภัยเต็มที่เช่นนี้

“ฟู่ ลุงแกเข้าใจหางานมาให้ฉันจริงๆ นั่นแหละ” เรย์เปรยออกไปเบาๆดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อยมือที่กำลังกรีดนิ้วใช้พลังมนตราในการวาดข่ายมนต์นั้นหยุดลงกระทันหัน

“หมายความว่าไง?” ครอสไม่เข้าใจนักเพราะเท่าที่ดูแล้วเงื่อนไขของภารกิจครั้งนี้มันก็ไม่ต่างจากภารกิจปกติตรงไหนนอกจากเงินค่าจ้างที่สูงเกินเกณฑ์มาตราฐานพอตัวนั่นแต่เรื่องนั้นก็ไม่น่าใช่เรื่องที่ทำให้เจ้าหมอนี่มีสายตาเช่นนี้ได้ลย

“ฉันยังบอกเหตุผลกับนายไม่ได้ครอส แต่ที่ฉันบอกได้มีอย่างนึงคือ ต่อให้ลุงแกไม่นำภารกิจนี้มาให้ชั้นก็จะไปรับด้วยตัวเอง” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความราบเรียบและเฉยชาผิดกับเรย์ตามปกติที่สดใสและเถรตรงเหลือเกินแต่กับครอสนั้นไม่ได้แปลกใจในน้ำเสียงนี้ของเรย์เลย

“...เอาเถอะชั้นจะไม่ละลาบละล้วงเรื่องของนายแล้วกันแต่ ไอ้ข่ายมนต์นี่อีกกี่ข่ายมันถึงจะเสร็จ ฮ้าว” ครอสซึ่งเลิกสนใจในประเด็นที่คุยกันเมื่อครู่หันมาเปิดประเด็นใหม่ที่ควรจะสนใจไม่แพ้กันเพราะตัวเขาในตอนนี้นั้นรู้สึกง่วงไม่มีใครเกิน

“น่าจะประมาณ ห้าสิบกว่าอัน มั้ง” คำนวณจากขอบเขตของแต่ละข่ายและพื้นที่ทั้งหมดโดยคร่าวแล้วก็น่าจะประมาณนี้อาจมีมากหรือน้อยกว่านี้ไปบ้างแต่ก็คงห่างไม่เกินห้า

“แล้วนี่จะได้นอนกี่โมงละเนี่ย” ครอสที่พอลองคำนวณดีๆ มันเริ่มชักจะไม่สวยแล้ว จำนวนขนาดนี้นั้นอาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองสามชั่วโมงซึ่งนี่มันก็ร่วมห้าทุ่มครึ่งแล้วด้วยถ้าจะคำนวณโดยคร่าวอย่างเร็วก็น่าจะตีหนึ่งตีสองกว่าจะเสร็จ

“ก็เลิกคุยแล้วเร่งเขียนสิฟะ” เรย์ที่ตอนนี้เริ่มลงมือเขียนข่ายมนต์ด้วยความรวดเร็วเช่นเดียวกับครอสที่ถอนหายใจแล้วเร่งมือใช้ชอล์กเขียนวงเวทด้วยเช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel