บท
ตั้งค่า

chapter4-3

“เฮ้อ ไกลชะมัดเลยแฮะ ประเทศแอสทาร์เนี่ย” เรย์เปรยออกมาเบาๆหลังจากที่เขาต้องอาศัยการโดยสารรถไฟซึ่งต้องยอมรับว่าผู้ที่จัดพาหนะให้มีทุนทรัพย์หนาไม่น้อยเพราะเล่นเหมารถไฟทั้งขบวนให้พวกเขาและวงออร์แลนเทียทั้งวงนั่งมากันเลย

“ช่วยไม่ได้ละนะครับเพราะประเทศแอสทาร์น่ะ ห่างจากเมืองที่พวกเราไปต่อรถที่นั่นพอตัวเลย” ทางด้านของอลันที่ดูจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากการนั่งรถไฟนานๆเสียเท่าไหร่เนื่องจากเขาเอาหนังสืออ่านเล่นของตนติดมือมาด้วย อีกทั้งตามปกติแล้วหนึ่งในสิ่งที่มือปืนต้องทำคือซุ่มรอโอกาสสำหรับเขาแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาโอดครวญอะไรเลย

“เราอยู่ระหว่างภารกิจนะ ช่วยให้ความสนใจหน่อย” ทางด้านของคาซึกิที่ดูจะไม่ค่อยชอบท่าทางของเรย์ซึ่งแสนจะหละหลวมเหลือเกิน ท่าทางที่ทำตัวราวกับมาเที่ยวนั้นทำให้เขาอดที่จะเอ่ยปากเตือนออกไปไม่ได้

“เฮ้อ นายไม่รู้จักวิธีทำภารกิจคุ้มกันเลยนะคาซึกิ” เรย์ถอนใจออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ถึงแบบนั้นแล้วก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับคนจริงจังอย่างคาซึกิการออกปากแบบนี้ไม่ผิดจากที่เขาคิดเอาไว้เท่าไหร่

“ภารกิจคุ้มกันน่ะเป็นเหมือนเกมวัดดวง เราไม่รู้ว่าศัตรูจะลงมือตอนไหนอย่างแน่ชัด แม้ว่าจะสามารถคาดเดาพฤติกรรมและเวลาลงมือของศัตรูได้คร่าวๆก็ตาม แต่ในสภาพที่เราไม่มีข้อมูลอะไรเลยแบบนี้เราก็คาดเดาอะไรไม่ได้อยู่ดี”

“ที่สำคัญนะภารกิจนี้น่ะต่อให้ศัตรูลงมือมาแล้วครั้งนึงก็ใช่ว่าจะไม่มีครั้งที่สองที่สาม เราไม่สามารถแน่ใจได้เต็มร้อยด้วยว่าแท้จริงแล้วศัตรูจะลงมือเต็มที่ในครั้งไหน ตลอดระยะเวลาการคุ้มกันนั้นเป็นหน้าที่เราต้องคอยเฝ้าระวังก็จริง แต่สิ่งที่นายทำน่ะมันจะทำให้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อในร่างกายเกร็งจนล้า”

“การคุ้มกันของพวกเรากินเวลาหนึ่งอาทิตย์ นายมั่นใจแล้วเหรอว่าจะสามารถตั้งสมาธิได้ตลอดหนึ่งอาทิตย์? แน่นอนว่าไม่มีทางดังนั้นแทนที่จะต้องมานั่งประสาทเสียสู้ทำตัวสบายอารมณ์เอาไว้ดีกว่า ถึงเวลาเราจะได้รับมือได้อย่างรัดกุม” แม้เขาจะไม่ชอบภารกิจคุ้มกันแต่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์มากกว่าคาซึกิในการดำเนินภารกิจอยู่โข ส่วนทางด้านของคาซึกิที่ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบไป

“นานๆ ทีนายก็พูดเป็นการเป็นงานได้เหมือนกันนะเรย์ อย่างที่เจ้านั่นพูดนั่นแหละไม่จำเป็นต้องระวังไปซะทุกอย่างหรอกน่า หัดผ่อนคลายลงซะมั่งเถอะ”

“รู้แล้วล่ะน่า ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรสักหน่อย” เสียงของแม่สาวน้อยอีกคนนึงดังขึ้นมาก่อนที่เธอจะเดินหนีไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงถอนใจของครอสที่ตามมาติดๆ

สาวน้อยคนนั้นสวมชุดเครื่องแบบทหารมนตราเช่นเดียวกับพวกเขาเพียงแค่ชุดที่เธอสวมนั้นเป็นชุดผู้หญิง เรือนผมสีแดงอ่อนออกไปทางชมพู หากแต่สิ่งที่เด่นที่สุดคือดวงตาสีแดงสดใสเหมือนดั่งทับทิมงดงามกำลังก้าวฉับๆตามคนในวงดนตรีที่กำลังขนเครื่องดนตรีของตนอยู่

เธอคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากนาตาเซีย คานิวาลหรือเรียกสั้นๆว่าเนียร์ น้องสาวของครอสนั่นเองแท้จริงแล้วเธออยู่ในหน่วยทหารมนตราที่สอง ซึ่งเป็นหน่วยของเอย์จิหากแต่ไม่รู้ว่าตาลุงซาเอนอสแกคิดยังไงถึงส่งให้เธอมาร่วมภารกิจกับพวกเขาด้วย

“รุ่นพี่เรย์คะหลังจากนี้จะไปไหนต่อหรือคะ?” ก่อนที่แม่น้องสาวคนนั้นจะเดินเข้ามาถามตารางเวลาของวงดนตรีที่เขาคุ้มกันอยู่นี้กับเขาแทนอันที่จริงแล้วตารางนี้นั้นครอสก็ได้รับเช่นเดียวกับเขาแต่แม่สาวน้อยเบื้องหน้ากลับไม่ยอมไปถามพี่ชายตัวเอง

“อืม คิดว่าถ้าขนของตรงนี้เสร็จแล้วก็น่าจะกลับที่พักและไปซ้อมเท่านั้นแหละ อาจไม่ต้องตึงเครียดมากนักแต่ก็ไม่ควรวางใจทั้งหมด” แม้เขาจะพูดว่าไม่ต้องเครียดนักเพราะนับจากนี้จะเข้าที่พักก็ตามแต่ก็ยังวางใจอะไรไม่ได้มากนักถึงจะไม่ได้เฝ้าระวังถึงขั้นทุกฝีก้าวแต่เรย์ก็ไม่ได้ประมาทถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน

“ขอบคุณมากค่ะรุ่นพี่เรย์ ชั้นจะทำตามคำแนะนำของรุ่นพี่ค่ะ” แม่น้องสาวรับคำอย่างว่าง่ายพร้อมรอยยิ้มผิดกับท่าทางที่ใช้กับพี่ชายของตัวเองเมื่อครู่ราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้าส่งผลให้คาซึกิที่มองอยู่นั้นอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้

“ฮะๆ ไม่ต้องแปลกใจหรอกคาซึกิ ปกติแล้วเนียร์น่ะเป็นเด็กเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย นิสัยดีเป็นที่รักของทุกคน แต่ยกเว้นกับพี่ชายของเธอเอาไว้คนนึงไม่รู้ทำไมเหมือนกันเด็กคนนั้นถึงได้ชอบทำท่าแบบนั้นใส่พี่ชายของเธอนัก” เรย์ที่เห็นท่าทีแบบนั้นของแม่น้องสาวคนนั้นมาจนชินแล้วหัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก การทำงานร่วมกับครอสและเอย์จิหลายครั้งและเธอยังเป็นเพื่อนของเรเดียอีกด้วยทำให้เขารู้จักมักคุ้นกับเด็กคนนั้นพอสมควร

“เอาเถอะ ฉันก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งในเรื่องของครอบครัวชาวบ้านเท่าไหร่หรอก มันเป็นปัญหาที่เจ้าครอสต้องแก้ไขเอาเองอะนะ ” เขาไม่มีทางเข้าใจแม่สาวน้อยคนนั้นแน่ๆถ้าจะถามจากน้องสาวของเขาก็คงไม่ค่อยจะได้ความนักดังนั้นทางที่ดีคงต้องให้เจ้าครอสมันพึ่งตัวเองอย่างเดียว

การเตรียมเดินทางไปยังที่พักของพวกเขาคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาเรียกรถขนาดใหญ่มาเพื่อขนเครื่องดนตรีไปด้วยหากแต่ในตอนนั้นเอง

เสียงแหวกอากาศดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาแม้จะแผ่วเบาเพียงไรแต่สำหรับเรย์แล้วนั้นกลับได้ยินมันอย่างชัดแจ้งไม่ใช่แค่เรย์เท่านั้น อลันด้วยลางสังหรณ์ของมือปืนก็สามารถสัมผัสได้เช่นกันว่ามีคมกระสุนถูกลั่นไกออกมา ส่วนคาซึกิอาศัยกระแสลมที่ปั่นปวนเป็นตัวบอกทำให้เจ้าตัวรู้ตัวอย่างรวดเร็ว

“หลบเร็ว!!” เสียงตะโกนของคาซึกิดังขึ้นมาเพราะแม้เจ้าตัวจะรู้ตัวแต่ไม่อาจพุ่งเข้าไปช่วยเหลือนักดนตรีที่กำลังถูกเล็งกระสุนเข้าใส่ได้ทันหากแต่กับเรย์ไม่ใช่เขาเตรียมใช้โล่มนตราของตนในการต้านรับกระสุนแต่ในตอนนั้นเองที่เรย์กลับลดมือลง

กระสุนที่ถูกยิงมานั้นถูกโล่สายลมของคนผู้หนึ่งต้านทานเอาไว้ได้แน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่ฝีมือของคาซึกิเพราะเจ้าตัวไม่สามารถควบคุมสายลมให้คุ้มกันคนจากระยะไกลได้แบบนั้นหากแต่เป็นฝีมือของเนียร์นั่นเอง

“รีบหลบไปก่อนเถอะค่ะ” เสียงของเนียร์ที่บอกกับนักดนตรีคนที่โดนลอบยิงดังขึ้นมาพร้อมกับที่กระสุนนัดที่สองที่ถูกลั่นไกออกมาแต่ในคราวนี้นั้นทางด้านของเนียร์ก็สามารถสะบัดมืออกไปครั้งหนึ่งพร้อมกับที่มีดสั้นเล่มหนึ่งพุ่งออกไปปะทะกับกระสุนนัดนั้น

เสียงปะทะระหว่างกระสุนปืนและมีดสั้นของเนียร์ดังขึ้นแต่มีดสั้นเล่มนั้นกลับไม่ได้รับความเสียหายทั้งที่ในความจริงแล้วมีดสั้นบางๆเล่มเดียวไม่น่าจะสามารถต้านทานกระสุนปืนของพลซุ่มยิงได้เลยเสียด้วยซ้ำไปซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพราพลังมนตราของเนียร์

พลังมนตราของเนียร์นั้นเป็นธาตุลมเช่นเดียวกับคาซึกินั่นทำให้เธอสามารถรับรู้ถึงกระสุนปืนที่ยิงมาได้เช่นเดียว แต่วิธีการใช้จะแตกต่างกันพอสมควรคาซึกินั้นมักเน้นให้สายลมเสริมพลังเสริมการเคลื่อนไหว โดยมีมนตราเสริมพลังให้แก่คมดาบของตนเองและใช้มนตราธาตุลมในการปิดจุดอ่อนด้านระยะโจมตีของตัวเองไปในตัว

แต่ของเนียร์ไม่ใช่แบบนั้นมนตราของเธอจะขับเน้นไปในด้านการใช้มนตราเสริมความรุนแรงของมีดที่ปาออกไปแม้จะคล้ายกับดาบของคาซึกิแต่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในการควบคุมและวิธีการใช้รวมถึงยังมีมนตราเสริมการเคลื่อนไหวหลายบทซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นของธาตุลม แต่เพราะแบบนั้นทำให้การปัดป้องต้านรับการโจมตีและการต่อสู้ในระยะประชิดด้อยลงไป

หากแต่ทางด้านของเธอก็ประมาทจนเกินไปเพราะในตอนที่มือซุ่มยิงคนนั้นลั่นไกกระสุนนัดที่สองออกมานั้นกระสุนนัดที่สามก็ถูกยิงตามมาติดๆซึ่งในตอนแรกทางด้านของเนียร์ไม่ได้สังเกตกระสุนนัดนี้ทำให้เธอปามีดสวนกลับไปไม่ทันได้แต่ใช้มนตราสร้างเกราะสายลมมาต้านรับแทนซึ่งมันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหากว่า

กระสุนนัดนั้นเจาะทะลุโล่สายลมของเนียร์มาได้อย่างง่ายดายทำเอาดวงตาสีแดงสดใสคู่นั้นเปิดกว้างขึ้นอย่างรวดเร็วการที่กระสุนสามารถเจาะทะลุเกราะสายลมของเธอได้ทั้งที่ปราศจากพลังพิเศษแฝงมาคำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวก็คือนี่เป็นกระสุนทลายมนตรา

กระสุนทลายมนตราถูกคิดค้นขึ้นมาใช้กับผู้ใช้มนตราโดยเฉพาะโดยมันมีคุณสมบัติเด่นคือเจาะทะลุพลังมนตราได้แทบทุกรูปแบบแต่ก็อยู่ในระดับที่จำกัดหากพลังมนตราที่กล้าแข็งมากๆอย่างโล่มนตราของเรย์นั้นหมดสิทธิ์จะเจาะทะลุเข้าไปได้เลย แต่กับเกราะสายลมที่ถูกสร้างอย่างฉุกละหุกเช่นนี้มันสามารถเจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย

‘ต้องหลบ ไม่สิไม่ทันแน่’ เธอคำนวณแล้วต่อให้เคลื่อนร่างหลบในระยะใกล้ขนาดนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้หากจะปามีดสวนออกไปมีดที่อัดพลังมนตราของเธอเมื่อต้องปะทะกับกระสุนทลายมนตราโดยตรงแล้วล่ะก็คงต้านไม่อยู่แน่ อย่างดีก็คงทำได้แค่ใช้มีดคู่ต้านรับลดความเสียหายเท่านั้น

“ใจเย็นน่าคาซึกิ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” คาซึกิที่เห็นว่ากำลังวิกฤติจึงเตรียมจะไปช่วยแม่สาวตัวน้อยคนนั้นแต่กลับถูกเรย์ห้ามเอาไว้บนใบหน้าของเจ้าตัวยังคงมีรอยยิ้มสบายอารมณ์อยู่เช่นเดิมไม่ได้แสดงถึงความร้อนใจใดๆเลยแม้แต่น้อย

กระสุนนัดนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าของเนียร์ได้อย่างน่าอัศจรรย์กระสุนทลายมนตราที่ห่างจากใบหน้าของเด็กสาวเพียงไม่กี่เซนติเมตรหยุดชะงักค้างกลางอากาศ ส่งผลให้เนียร์ที่เห็นดังนั้นถึงกับแข้งขาอ่อนทรุดลงไปกับพื้นในทันที

“ไม่ไหวเลยนะเนียร์ เวลาสู้กับคนธรรมดาก็จงอย่าชะล่าใจ พวกเขาไม่ได้อ่อนแอหรอกนะหากเราประมาทแบบนี้ก็ถูกฆ่าตายได้เหมือนกัน” เสียงเอื่อยเฉื่อยเสียงหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมๆกับที่ร่างในชุดทหารมนตราผ้าคลุมสัญลักษณ์ดาวหกแฉกจะค่อยๆก้าวขึ้นมาเบื้องหน้าและแน่อนผู้ที่หยุดกระสุนนัดนี้หาใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากเขาที่แหละ

“ไม่เห็นต้องเข้ามายุ่งเลย!! เมื่อกี้ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะจัดการไม่ได้สักหน่อย!!” เสียงร้องด้วยความไม่พอใจดังแย้งแต่ถึงแบบนั้นตัวเธอก็รู้ดีว่าเมื่อครู่เกือบไปจริงๆหากพี่ชายไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยล่ะก็อาจถึงตายเลยก็ได้

“ก็อาจจะจริง แต่ไอ้เมื่อกี้ไม่ว่ายังไงก็เลี่ยงแผลไม่ได้และถ้าเราเป็นแผลแม้แต่นิดล่ะก็ ป๋าที่เคารพต้องเผาพี่ไม่เหลือกระทั่งตอตะโก ส่วนคุณแม่คงกรีดร้องก่อนมาเขย่าคอเสื้อพี่แหงๆ” เขาจินตนาการปฏิกิริยาของพ่อแม่ได้เลยหากว่าเป็นงานที่เขาทำร่วมกับน้องสาวของตัวเองแล้วปล่อยให้เธอมีริ้วรอยสักนิดล่ะก็ เขาได้เลือดท่วมแน่นอน

“อะไรกัน ที่แท้ก็เพราะกลัวคุณพ่อกับคุณแม่หรอกเหรอ” เสียงอันแผ่วเบาหลุดรอดออกมาจากปากของเนียร์ที่มันแผ่วเบาจนไม่อาจมีผู้ใดจะสามารถได้ยินนอกเสียจากตัวเธอเองแน่นอนครอสก็ไม่ได้ยินเช่นกัน

“ว่าแต่แกเถอะ แกคิดว่าแกกำลัง เล่นกับใครอยู่!!” จากน้ำเสียงที่เคยเอื่อยเฉื่อยและเนือยราวกับคนเบื่อโลกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พร้อมกับที่ทุกคนในอาณาบริเวณนั้นสำหรับได้ถึงความหนักอึ้งจนแทบขยับตัวไม่ได้ราวกับถูกตรึงเอาไว้แบบนั้น จิตมุ่งร้ายที่เข้มข้นจนแทบจะทำให้ทุกคนตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว

ครอสสะบัดมืออย่างแผ่วเบาหากแต่กระสุนที่พุ่งกลับไปในทิศทางเดิมไม่ได้ช้าตามการสะบัดมือตรงข้ามมันกลับเร็วยิ่งกว่าเดิมมากนักมิหนำซ้ำตัวกระสุนยังหมุนเป็นเกลียวราวกับจะเจาะทะลวงเมื่อนำมารวมกับสายลมโดยรอบยังหมุนวนรอบมันเสริมความเร็วของกระสุนไปอีกขั้นและเปลวเพลิงที่กำลังลุกท่วมกระสุนอยู่นั้นขับดันให้กระสุนนัดนี้ไม่ต่างอะไรกับอาวุธทำลายล้าง

เสียงปะทะดังสนั่นพร้อมกับที่ร่างของคนซุ่มยิงรายนั้นทะยานร่างออกจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็วแม้จะเตรียมทางหนีทีไล่เอาไว้แล้วก็ตามแต่กับกระสุนที่เร็วและรุนแรงขนาดป่นตึกที่ตนซุ่มอยู่ให้หายไปได้ครึ่งหนึ่งนั้นเขาไม่ขอเสียงหนีภายในตึกเด็ดขาด

“อลัน” เรย์ส่งเสียงเรียกเพื่อนตนทางด้านของอลันที่ได้ยินดังนั้นก็กระชับปืนในมือมั่นก่อนเล็งปืนเข้าใส่ร่างของศัตรูอย่างรวดเร็วพร้อมกับลั่นไกออกไปในทันทีโดยไร้ซึ่งความลังเลใดๆ

กระสุนปะทะกับร่างของมือซุ่มยิงรายนั้นจนร่างของอีกฝ่ายล้มลงไปในทันทีพร้อมกับที่คาซึกิบงการสายลมให้ตนสามารถเคลื่อนที่ไปมาบนอากาศได้แล้วจึงเคลื่อนร่างไปหาผู้เป็นศัตรูอย่างรวดเร็ว

“ฟู่” ทว่าในทันทีที่คาซึกิมาถึงร่างของเจ้ามือซุ่มยิงรายนี้ก็สูญสลายไปอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นร่างของมือซุ่มยิงรายนั้นก็เลือนหายไปราวกับอากาศธาตุเป็นที่เรียบร้อยแล้วทำให้คาซึกิอดขมวดคิ้วไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้นคาซึกิ” เสียงของเรย์ดังลอดผ่านเครื่องติดต่อสื่อสารเจ้าประจำด้วยความที่ตอนนี้พวกเขากำลังปฏิบัติภารกิจกันอยู่อาจมีเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ต้องติดต่อกันอย่างเร่งด่วนและเพราะแบบนั้นเขาจึงให้ทุกคนใส่เครื่องติดต่อสื่อสารเอาไว้กับตัว

“เดี๋ยวค่อย...กลับไปคุยที่ๆพักดีกว่า บอกทุกคนไปก่อนว่าศัตรูหนีรอดไปได้” คาซึกิตัดสินใจจะโกหกส่งไปก่อนเพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นหากจะบอกว่ามันตายนั้นแทบไม่มีทางกระสุนที่อลันใช้นั้นแม้จะเป็นกระสุนแฝงคำสาปก็จริงแต่ก็ไม่ได้เล็งจุดตายและคำสาปที่แฝงมานั้นก็เป็นแค่คำสาปตรึงร่างขั้นพื้นฐาน อีกทั้งเขาไม่รู้ด้วยว่าทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายถึงหายไปแบบนั้นได้

“หนีไปได้งั้นรึ? เอาเถอะอย่างน้อยพวกเราก็ปลอดภัยละนะ” ทางด้านของครอสนั้นย่อมมองออกว่าเรื่องที่บอกมานั้นไม่เป็นความจริงเขาไม่คิดว่าฝีมือระดับแค่นั้นโดนกระสุนคำสาปของรองหัวหน้าหน่วยสี่เข้าไปจะหลบหนีไปได้อีกแต่เขาก็ยอมตามน้ำไปแต่โดยดี

“ขอโทษด้วยนะครับที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เป็นเพราะความประมาทของพวกเราเอง ” ทางด้านของครอสหันไปค้อมให้กับคนที่ถูกเล็งปืนใส่อย่างรวดเร็วท่าทางโค้งที่สุภาพและสมบูรณ์แบบของเจ้าตัวทำเอาอีกฝ่ายลนลานในทันที

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็ปลอดภัยดี ผมต้องขอบคุณมากกว่า” ทางด้านของนักดนตรีคนนั้นรีบพูดอย่างตระหนกเพราะอันที่จริงแล้วหากเมื่อครู่เขาไมได้รับการช่วยเหลือตอนนี้เขาคงไม่ได้มายืนตรงนี้แล้ว

ส่วนทางด้านของเนียร์ได้แต่เงียบไปหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ในครั้งนั้นไปแล้วเจ้าตัวก็ดูจะหดหู่ลงเป็นอย่างมากจนผู้ที่พบเห็นอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

“เราก็พยายามฝึกเต็มที่แล้วนี่พลาดแค่นี้ไม่เห็นต้องซึมเลย คนเรามันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง ถึงเราจะผิดพลาดมาหลายครั้งแล้วก็เถอะ” ทางด้านพี่ชายของเนียร์พูดขึ้นมาทำให้ทางด้านของแม่สาวที่กำลังซึมอยู่นั้นเริ่มรู้สึกมีน้ำโหขึ้นมาเล็กน้อยดวงตาสีแดงคู่นั้นส่งสายตาไม่พอใจไปทางพี่ชายของตน

“เอาน่าไม่เป็นไรหรอก พี่ก็ไม่ได้หวังอะไรกับเราอยู่แล้วคราวหน้าถ้ามีปัญหาอะไรก็มาอ้อนๆขอหน่อยแล้วกันพี่ชายคนนี้จะยอมช่วยหน่อยก็ได้” ทางด้านของครอสที่แต่เดิมเป็นคนเอื่อยเฉื่อยนั้นกลับมาแหย่น้องสาวของตนเองเช่นนี้ดูไม่เข้ากับบุคลิกตามปกติเลยทางด้านของแม่สาวที่โดนยั่วโมโหสุดฤทธิ์นั้นก็ว้ากกลับไปในทันที

“ใครจะไปทำแบบนั้นเล่าและใครมันจะไปถอดใจกัน คอยดูนะฉันจะทำให้พี่ยอมแพ้ให้ได้เลย” ความสุภาพ เรียบร้อย เป็นกุลสตรีตามปกติหายไปจนหมดสิ้นยิ่งเมื่อถูกพี่ชายของตัวเองมายั่วโมโหเช่นนี้เธอยิ่งโยนมันทิ้งอย่างไม่ใยดี

“อา มันคงมีสักวันแหละ บางทีนะ” ทันทีที่พูดจบเขาก็วิ่งนำหน้าไปอย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของแม่น้องสาวที่เห็นดังนั้นจึงวิ่งไล่พี่ชายของตัวเองในทันที

“ก็เพราะชอบไปแหย่น้องสาวตัวเองแบบนี้ล่ะมั้งเนียร์ถึงได้แสดงท่าทางแบบนั้นกับหมอนั่น” เรย์ไม่ได้แปลกใจกับภาพตรงหน้าเลยทุกภารกิจที่ทำร่วมกับสองพี่น้องคู่นี้นั้นฉากแบบนี้เป็นหนึ่งในฉากที่เกิดขึ้นประจำจนเขาเฉยชาไปแล้ว

“เห เรย์เห็นเป็นแบบนั้นหรอกหรือครับแต่ผมกลับเห็นแตกต่างออกไปนะ” แต่อลันกลับเห็นในสิ่งที่แตกต่างออกไปไม่รู้ทำไมเหมือนกันเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่าพี่น้องคู่นี้นั้นค่อนข้างจะสนิทกันมากเลยทีเดียว

“นายมองออกด้วยเหรอฟะอลัน สำหรับชั้นแล้วผู้หญิงเป็นสมการที่ต่อให้ผ่านไปอีกสิบชาติ ฉันก็คงไม่เข้าใจแหงๆ” ในสายตาของเรย์แล้วผู้หญิงนั้นเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากยิ่งนักกระทั่งพี่สาวและน้องสาวของเขาเองเขายังไม่กล้าบอกเลยว่าตนเข้าใจพวกเธอทั้งหมด

“ก็หัดเข้าใจซะตั้งแต่ตอนนี้สิ ผู้ชายที่ไม่เข้าใจถึงจิตใจของผู้หญิงน่ะคะแนนตกลงไปกว่าครึ่งแล้วนะ” น้ำเสียงอันไพเราะชวนฟังดังขึ้นมาจากทางด้านหลังซึ่งเรย์ไม่จำเป็นต้องหันหลังไปมองก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นใคร เพราะตอนที่อยู่บนรถเธอมักหาเวลาว่างมาป้วนเปี้ยนกับเขาอยู่เป็นเนืองนิจ

“ช่างฉันเถอะน่า ยังไงก็ไม่ได้ตั้งใจจะจีบใครจริงๆจังๆสักหน่อย ฉันแค่ทำในสิ่งที่เห็นว่ามันควรจะต้องทำเท่านั้นเอง” เขาไม่เคยต้องการให้ใครมายินดียินร้ายกับเขาอยู่แล้วเขาแค่ต้องการจะทำในสิ่งที่ตนเห็นว่าต้องทำก็แค่นั้น ต่อให้ต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวดายเขาก็ไม่สนใจ

“เหนื่อยหน่อยนะที่ต้องมาดูแลเด็กเอาแต่ใจแบบนี้” ทางด้านของคานาเดะที่หันไปคุยกับอลันที่ดูจะเหนื่อยหน่ายใจกับคำพูดของเรย์ไม่น้อยเพราะหลายต่อหลายครั้งเขาต้องเหนื่อยยากกับการกระทำที่ตั้งตนเป็นใหญ่ของเรย์เหมือนกัน

“อืม ถึงการกระทำของเรย์นั้นโดยมากแล้วจะเป็นเรื่องดีก็ตาม แต่ต้องยอมรับครับว่าผมเหนื่อยมากจริงๆ” อลันก็รับคำพูดของแม่สาวข้างตัวของเขาเช่นกันทำให้เรย์รู้สึกมึนงงขึ้นมาทันทีว่าสองคนนี้นั้นทำไมเข้ากันได้ดีขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งเจอกันแท้ๆ

ในขณะเดียวกันทางด้านของห้องพักแห่งหนึ่งในประเทศแอสทาร์นั้นมีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนอนพักอยู่ในห้องของตนเองอยู่ดวงตาทั้งสองข้างของคนผู้นั้นปิดสนิทไม่ได้เปิดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

เสียงอะไรบางอย่างแตกร้าวดังขึ้นมาพร้อมกับที่ตุ๊กตาตัวเล็กๆตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องพักนี้แตกสลายไปในทันทีก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้นมา

“ไม่นึกเลยว่าจะพลาดแบบนี้แสดงว่ามีคนมาขวางล่ะสินะ” น้ำเสียงสดใสอารมณ์ดีของเธอนั้นจ้องมองไปยังตุ๊กตาตัวนั้น เธอก็ไม่ได้คิดว่าการส่งเจ้าตัวพรรค์นั้นไปจะทำให้การลอบโจมตีสำเร็จหรอกเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะถึงขั้นถูกทำลายได้แบบนี้

“ดูท่าทางศัตรูคงเก่งไม่เบา โดยเฉพาะชุดที่คนพวกนั้น ทหารมนตราระดับหัวหน่วยแถมยังสองคนซะด้วย” แม้การปรากฏตัวของเหล่าทหารมนตราจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจนเธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็ตามแต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ได้ร้อนใจอะไรมากนัก

“น่าสนุกดีนี่ ชั้นก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหัวหน้าหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งเจ็ดจะเก่งสมราคาคุยหรือเปล่า” ตรงข้ามเธอกลับรู้สึกสนุกสนานมากขึ้นเสียด้วยซ้ำเพราะเธอเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของคนเหล่านี้มานานแล้วดังนั้นเธอจะขอพิสูจน์ฝีมือของพวกเขาในงานครั้งนี้เสียหน่อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel