chapter4-2
สามวันหลังจากวันที่เอย์จิมากินอาหารเย็นที่บ้านของเรย์ เขาก็ถูกเรียกตัวกลับไปยังกองทหารมนตราอีกครั้งซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะตามปกติแล้วหน่วยทหารมนตราจะจ่ายภารกิจให้กับหัวหน้าหน่วยราวสามวันหลังจากที่กลับมาถึงที่นี่หากไม่มีอาการบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวละก็(ในคราวที่เรย์โวยนั้นเป็นกรณีพิเศษ)
“วันนี้จะมีภารกิจอะไรอีกหว่า แต่เล่นเรียกไปพบแบบนี้ท่าทางหินชัวร์ ” ทางด้านของเรย์ที่เดินก้าวเท้าออกไปอย่างเอื่อยเฉื่อยแน่นอนว่าอลันและคาซึกิย่อมไม่ได้ถูกเรียกมาด้วยเพราะคนที่มีหน้าที่รับงานมีเพียงหัวหน้าหน่วยเท่านั้นก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไปโดยไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ
“โย่ ครอสไหงนายมาอยู่ที่นี่ด้วยละเนี่ย?” เสียงทักทายของเรย์ดังขึ้นมาเมื่อเห็นว่าในห้องนั้นนอกจากตาลุงแกแล้วยังมีร่างของคนคุ้นเคยอีกหนึ่งหน่ออยู่ด้วย ส่วนครอสเมื่อเห็นว่าเรย์เดินเข้ามาในห้องจึงยกมือทักทายตามประสาทีนึงโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร
“ทีนี้เจ้าเรย์มันก็มาสักที บอกได้รึยังหัวหน้าว่าเรียกพวกเรามาพร้อมกันตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่ ภารกิจร่วมงั้นเหรอ” ครอสที่เมื่อเห็นว่าเรย์มาแล้วจึงขอเข้าประเด็นอย่างไม่เกรงใจพร้อมหาวออกมาเบาๆการที่เขาโดนลากจากเตียงขึ้นมาในวันหยุดสุดแสนสบายของตนนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ครอสหงุดหงิดง่ายกว่าปกติพอควร
“สมเป็นครอส อ่านออกในพริบตาทั้งที่ยังไม่ได้บอกอะไรเลย” เขาไม่ได้บอกอะไรเลยแม้แต่ครึ่งคำแค่บอกว่าเดี๋ยวรอสักแปบนึงแล้วจะบอกแต่ครอสนั้นสามารถคาดเดาเรื่องนั้นได้ในทันที
“แล้วงานที่จะให้ไปทำนี่มันอะไรล่ะ ระเบิดฐานทัพผู้ก่อการร้าย ทลายกองโจร ถล่มเมือง หรือว่า...” การที่ให้หัวหน้าหน่วยสองคนมากทำงานร่วมกันนั้นปกติมีไม่บ่อยมากนักนอกจากว่าต้องจัดการศึกใหญ่ๆหรือต้องเข้าร่วมสงครามไม่ก็ต้องเป็นภารกิจกวาดล้างเท่านั้นหากแต่ยังไล่รายชื่อไม่ทันจบก็โดนขัดซะก่อน
“พอๆ รู้ว่าแกสร้างความวินาศเก่งแต่งานนี้ไม่ใช่แบบนั้นเฟ้ย ภารกิจคราวนี้คือคุ้มกัน” ก่อนที่มันจะเตลิดไปจนถึงขั้นล้างโลกซาเอนอสจึงรีบดึงกลับมาอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะดูเหมือนพูดไปงั้นแต่เขารู้ดีว่าไอ้ที่ไล่รายชื่อมานั้นหากทหารมนตราระดับหัวหน้าหน่วยร่วมมือกันล่ะก็มันจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน
แต่พอได้ยินภารกิจเท่านั้นทั้งเรย์และครอสต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที แน่นอนว่าภารกิจคุ้มกันนั้นใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยทำมาก่อนหากแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาแปลกใจก็คือแค่ภารกิจคุ้มกันเพียงเท่านี้จำเป็นต้องใช้ระดับหัวหน้าหน่วยถึงสองคนเลยหรือ
“ทำไมถึงเลือกให้ผมทำภารกิจคุ้มกัน?” หากให้เรย์ทำคนเดียวเขายังพอเข้าใจความสามารถในการป้องกันและรักษาของเรย์นั้นเหมาะสมมากกับภารกิจคุ้มกันเป้าหมายแต่กับของเขาไม่ใช่แบบนั้น ความสามารถของเขาเน้นไปในด้านการทำลายล้างเป็นวงกว้างและการโจมตีพลิกแพลงมากกว่าจึงไม่เข้าใจว่าทำไมถึงจัดภารกิจประเภทนี้มาให้เขา
“เจ้าหนูเซจิโร่กับเจ้าหนูไรชินติดภารกิจอื่นอยู่ ส่วนไอ้สองคนที่เหลือคงรู้เหตุผลนะ” แน่นอนพวกเขาย่อมรู้จักหน้าค่าตา นิสัยและความสามารถของทหารมนตราแต่ละคนกันพอสมควรและย่อมเข้าใจเหตุผลว่าเพราะเหตุใดซาเอนอสถึงไม่อยากให้สองคนที่เหลือทำภารกิจคุ้มกัน
“คำถามต่อมาจำเป็นขนาดต้องให้หัวหน้าหน่วยถึงสองคนคุ้มกันเลยเหรอ” หัวหน้าหน่วยแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบุคลากรชั้นยอดทั้งนั้นหากไม่แน่จริงไม่มีวันก้าวมาถึงจุดนนี้ได้อย่างแน่นอน หากมีหัวหน้าหน่วยสองคนนั้นการถล่มเมืองขนาดกลางเมืองนึงนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย และนั่นทำให้เขาสงสัยว่าเป้าหมายในการคุ้มกันคราวนี้เป็นใครกันแน่
“เหนือสิ่งอื่นใดเลย ขอดูคนที่จะคุ้มกันหน่อย ไม่งั้นชั้นไม่รับงานนี้แน่” ส่วนทางด้านของเรย์นั้นกำลังหงุดหงิดได้ที่กับภารกิจที่ตนไม่อยากทำมากที่สุดในบรรดารายนามภารกิจทั้งหมดเลยทีเดียว
แม้ความสามารถของเรย์จะเหมาะสมในภารกิจคุ้มกันที่สุดแต่โดยส่วนตัวแล้วเรย์มักไม่ชอบคุ้มกันใครเท่าไหร่ ส่วนมากคนที่จ้างเขาไปมักเป็นเศรษฐีน่าเบื่อหรือไม่ก็พวกโลภมากไร้สาระกันทั้งนั้น ซึ่งมีหลายครั้งที่เรย์หวิดทำภารกิจของตัวเองพลาดไปเพราะอยากให้คนพวกนั้นลองเจอดีเสียบ้างซึ่งหลังจากเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งเข้าภารกิจคุ้มกันจึงถูกถอนออกจากรายชื่อภารกิจของเรย์ในทันที
“ครั้งนี้แกโอเคแน่ เชิญเข้ามาได้เลยแม่หนูน้อย” เพื่อตัดปัญหาและเลี่ยงการอธิบายด้วยปากที่สุดแสนจะน่ารำคาญซาเอนอสจึงให้คนที่ต้องคุ้มกันนั้นรออยู่ด้านหลังประตูอีกด้านเสียเลยและในทันทีที่มีเสียงเรียกประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออกในทันที
ร่างนั้นเป็นร่างของเด็กสาวผู้หนึ่งหากให้พูดไปแล้วอายุของเธอน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเรย์ เรือนผมสีเหลืองอ่อนที่ถูกผูกเป็นเปียดูน่ารักเมื่อรวมเข้ากับใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์และดวงตาสีอำพันที่ราวกับจะส่องประกายได้คู่นั้นทำให้เธอแลดูงดงามและน่ารักอย่างลงตัว
“ไม่นึกเลยว่าคนที่พูดถึงจะเป็นเจ้าหญิงแห่งเสียงดนตรีคนนั้น” ครอสเอียงคอแปลกใจนิดหน่อยเนื่องจากไม่นึกว่าคนที่มีชื่อเสียงระดับนั้นจะมาว้างจานให้พวกเขาคุ้มกันเธอเช่นนี้
แต่ทางด้านของเรย์นั้นนิ่งค้างไปชั่วครู่เพราะร่างตรงหน้านั้นแลดูคุ้นตาเป็นอย่างมากผิดจากวันนั้นก็เพียงแค่ในยามนี้เธอสวมชุดที่แลดูสุภาพและเป็ยพิธีการมากกว่าในวันนั้นที่เธอสวมชุดสบายๆตามอารมณ์ของเธอก็เท่านั้นเอง
“ไม่นึกเลยนะว่านายจะเป็นถึงหัวหน้าหน่วยแถมยังได้รับภารกิจคุ้มกันชั้นอีกแน่ะ ราคิออส ไรคาลิส” แม่สาวที่เคยถูกขนานนามให้ว่าพิลึกนั้นยิ้มอย่างพอใจแม้ปากจะบอกแบบนั้นแต่ดูจากท่าทางแล้วเธอต้องเป็นคนระบุตัวของเขาในการทำภารกิจครั้งนี้อย่างแน่นอน
“ตกลงว่าคนที่ชั้นต้องคุ้มกันนี่คือ...” เรย์ชี้นิ้วไปยังร่างตรงหน้าเพื่อขอคำยืนยันแม้ว่าจะพอเดาได้รางๆแล้วก็ตามแต่ถึงแบบนั้นดูเหมือนสมองจะยังไม่ค่อยยอมรับเรื่องนี้เท่าไหร่ถึงทางด้านของเจ้าตัวก็พยักหน้ารับเป็นการยืนยัน
“ใช่ ฉันเองแหละ ชิโรคาวะ คานาเดะ ขอฝากตัวอีกครั้งนะ”
“นายรู้จักกับเจ้าหญิงแห่งเสียงดนตรีคนนี้อยู่ก่อนแล้วงั้นเหรอ?” ทางด้านของครอสที่ดูจะแปลกใจไม่น้อยกับปฏิกิริยาของเพื่อนตนเอง การที่เขาจะรู้จักเธอนั้นย่อมไม่แปลกเพราะเขามักจะอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากอยู่แล้วแต่กับเพื่อนที่ไม่ค่อยสนใจข้อมูลรอบตัวนี้นับว่าเป็นเรื่องแปลกเลยทีเดียว
“เจ้าหญิงแห่งเสียงดนตรี?” เรย์ทวนตำแหน่งแล้วหันไปมองทางคานาเดะด้วยความแปลกใจแน่นอนด้วยความที่เขานั้นเป็นประเภทติดตามข่าวตามอารมณ์ดังนั้นเรื่องบางเรื่องเขาจึงไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
“ก็นะไอ้ฉันก็ไม่ได้รู้ละเอียดนักหรอก เพราะไม่ได้สนใจข้อมูลของเธอมากนัก แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือเธอเป็นผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ทางดนตรีสูงมาก เป็นนักไวโอลีนแห่งวงดนตรี‘ออร์แลนเทีย’เป็นวงควินเต็ด(วงดนตรีที่มีนักดนตรีห้าคน) ที่มีชื่อเสียงมากในปัจจุบัน”
“กล่าวกันว่าเพลงของเธอมีผลในการกล่อมเกลาจิตใจเป็นอย่างมาก ดนตรีที่เธอเล่นเคยได้รับการขนานนามว่า‘บทเพลงแห่งเทพธิดา’เพราะสามารถหยุดยั้งสงครามกลางเมืองในประเทศโคโดวาสเลยด้วย” ข้อมูลที่หลุดออกมาจากปากของครอสนั้นในสายตาของเรย์ก็เรียกได้ว่าละเอียดยิบมากแล้วทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่บอกว่าไม่ได้สนใจข้อมูลพวกนี้มากนัก
“เรื่องแบบนั้นน่ะมันก็แค่ความบังเอิญเท่านั้นแหละ ฉันแค่อยากให้พวกเขาลองใจเย็นๆ แล้วหันหน้าคุยกันดีๆก่อนเท่านั้นเอง” เธอส่ายหน้าเบาๆเพราะมันไม่ใช่ความดีความชอบของเธอเลย อันที่จริงในสายตาของตัวเองเรื่องในตอนนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลย เธอก็แค่เล่นดนตรีเพราะอยากเล่นเท่านั้นเองแต่บังเอิญว่าคนพวกนั้นกลับหยุดฟังดนตรีของเธอด้วย
“แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเธอต้องให้พวกเราคุ้มกันด้วย ตามปกติแล้วด้วยฐานะเธอก็น่าจะได้ความคุ้มครองจากกองกำลังของประเทศที่เธออยู่แล้วนี่นา แถมยังต้องใช้หัวหน้าหน่วยถึงสองคน อย่างต่ำก็น่าจะเป็นภารกิจระดับAแล้ว” ครอสวิเคราะห์ได้อย่างตรงประเด็นอีกเช่นเคยส่วนทางด้านของคานาเดะที่ได้ยินดังนั้นเธอจึงล้วงเข้าไปในกระเป๋าก่อนหยิบของอย่างหนึ่งออกมา
“เพราะเจ้านี่น่ะ” สิ่งของที่คานาเดะหยิบขึ้นมานั่นคือรูปถ่ายชุดหนึ่งซึ่งเป็นรูปของอสูรกายฝูงหนึ่งซึ่งเรย์และครอสที่รับรูปมานั้นอดขมวดคิ้วไม่ได้
“ฉันอยากให้ช่วยคุ้มกันวงดนตรีของฉันจากเจ้าพวกนี้ที” น้ำเสียงที่ไพเราะชวนฟังนั้นทำให้ทั้งเรย์และครอสอดที่จะแปลกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้เพราะภาพที่เห็นนั้นล้วนแล้วเป็นแต่อสูรทั้งนั้น
“นั่นคือภาพของอสูรที่เล่นงานวงดนตรีของพวกเรา ครั้งก่อนโชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บ แต่ครั้งต่อไปไม่แน่ชั้นเลยอยากให้หน่วยทหารมนตราคุ้มกันพวกเราเอาไว้” คำพูดของคานาเดะนั้นทำให้ทั้งเรย์และครอสอดแปลกใจไม่ได้กับข้อมูลที่ได้รับมาเพราะตามปกติแล้วเผ่าอสูรไม่ใช่เผ่าที่จะมายุ่งกับใครง่ายๆ
เผ่าอสูรนั้นไม่ใช่เผ่าที่ชั่วร้ายตามที่มนุษย์คิดพวกมันมีสติปัญญาระดับสูงอาจอยู่ในระดับที่เหนือกว่ามนุษย์ซะด้วยซ้ำ แต่พวกมันไม่เป็นมิตรกับเผ่าอื่นมากนักชอบปลีกวิเวกในที่ทางของตัวเองเสียมากกว่าชนิดที่ว่าหากไม่มีใครไปยุ่งกับมัน พวกมันก็จะไม่ยุ่งกับใคร
“ภารกิจในคราวนี้คือให้พวกแกสองคนช่วยคุ้มกันแม่หนูและวงดนตรีของเธอในงานเจรจาสันติภาพ และพยายามป้องกันพวกที่จะมาล่มงานสองอย่างนี้พอ” ซาเอนอสที่บอกจุดประสงค์ของภารกิจนี้ขึ้นมาอย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของเรย์กับครอสที่ได้ยินดังนั้นกลับไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่เพราะลองขึ้นชื่อว่าเป็นภารกิจระดับAส่วนมากความยากก็จะประมาณนี้อยู่แล้ว
“ท่าทางน่าสนใจดี ตกลงผมรับงานนี้ใส่ชื่อผมลงไปในภารกิจคราวนี้ได้เลย” ครอสที่ตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจในเวลาไม่นานเพราะเขารู้สึกว่าการที่เผ่าอสูรมาโจมตีมนุษย์ทั่วไปเช่นนี้นั้นมีคุณค่าแก่การตรวจสอบสำหรับเขา
ส่วนทางด้านของเรย์นั้นนิ่งเงียบไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาดวงตาสีฟ้าครามของเขาจ้องมองรูปในมือก่อนหันไปมองแม่สาวนักดนตรีที่ยืนยิ้มพร้อมโบกมือน้อยๆให้เมื่อเห็นว่าเขาจับจ้องไปทางเธอ แน่นอนในฐานะหัวหน่วยแล้วเขามีสิทธิ์ปฏิเสธภารกิจได้หากแต่
“ตกลง ผมและหน่วยที่สี่จะรับภารกิจนี้” เรย์ที่ใช้เวลาสักพักนึงจึงตกลงที่จะรับภารกิจคุ้มกันก่อนที่พวกเขาจะนัดแนะเวลาเริ่มภารกิจแล้วจึงแยกย้ายกันไปเตรียมข้าวของให้พร้อม
แน่นอนว่าหลังจากที่รับภารกิจแล้วสิ่งแรกที่เขาทำคือติดต่อคนในหน่วยของเขาเสียก่อนซึ่งภายในเวลาไม่นานเขาก็บอกเนื้อหางานให้กับอลันและคาซึกิพร้อมทั้งนัดแนะเวลาไปอย่างรวดเร็ว
“จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะว่าอะไรหรอกนะ แต่เธอจะมาตามฉันทำไมฟะ?” ทางด้านของเรย์ที่กำลังเดินกลับไปยังบ้านของตนเองเพื่อเตรียมจะเก็บข้าวของกับภารกิจที่คงต้องใช้เวลาสักพักแต่กลับมีผู้หญิงคนนึงเดินตามเขามาด้วย
“ฉันก็แค่อยากมาเดินเล่นเอง และก็ได้ยินว่าบ้านของนายเป็นร้านอาหารนี่นา แค่จะแวะไปกินเท่านั้นเอง” คานาเดะที่ยังคงยิ้มแย้มอย่างสดใสในขณะที่เธอกำลังก้าวเท้าตามการเคลื่อนไหวของเรย์อย่างว่องไวจะว่าแปลกมันก็น่าแปลกทั้งที่เขาเดินเร็วถึงขนาดนี้แล้วแต่แม่สาวนักดนตรีคนนี้กลับยังไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนเลยแม้แต่นิด
“ถ้าจะไปกินอาหารที่ร้านก็ไม่ว่าหรอก แต่แววตาของเธอมันไม่ได้บอกแบบนั้นเนี่ยสิ” ถ้าเป็นในเรื่องการมองคนแล้วล่ะก็ เรย์มั่นใจว่าเขาไม่แพ้ใครแน่นอนและแววตาคาดหวังของคานาเดะนั้นเขาก็มองออกเช่นกัน
“แฮะๆ รู้ด้วยเหรอ ฉันอยากให้นายเล่นดนตรีให้ฟังน่ะ” ทางด้านของคานาเดะได้แต่หัวเราะแห้งใช่ว่าเธอจะไม่รู้ตัวพอเป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรีแล้วความสนใจของเธอจะพุ่งทะลุลิมิตไปเลยทีเดียว
“งั้นไม่ได้อ้อมค้อมละนะ ช่วยเล่นไวโอลีนให้ฟังหน่อยสิ” เมื่อถูกรู้ใจจริงเธอจึงไม่จำเป็นต้องที่จะต้องแกล้งเดินตามเขาอีกต่อไปแต่เปลี่ยมาเป็นขอกันโดยตรงแทนส่วนทางด้านของเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็ถอนใจออกมาเบาๆ
“ขอปฏิเสธสถานะของเธอกับชั้นเป็นแค่คนคุ้มกันและผู้ว่าจ้างเท่านั้น เธออาจว่าจ้างให้ชั้นคุ้มกันเธอแต่ไม่ได้ว่าจ้างให้ชั้นเล่นดนตรีสักหน่อย”
“งั้นถ้าฉันจ่ายเงินให้นายล่ะก็ นายจะยอมเล่นให้ฉันฟังสินะ” แต่ดูเหมือนทางด้านของแม่สาวนักดนตรีจะยังไม่ยอมแพ้ทำให้ทางด้านของเรย์อดที่จะแปลกใจไม่ได้ว่าเพราะอะไรถึงได้อยากฟังเขาเล่นไวโอลีนมากถึงขนาดนั้น
“ขอปฏิเสธ เพลงที่ฉันเล่นน่ะไม่ได้ตีค่าเป็นเงิน ฉันจะเล่นเพราะอยากจะเล่นไม่ได้เล่นเพื่อความต้องการพรรค์นั้น” หากจะพูดในแง่ของเงินทองเขาไม่ได้ขัดสนอะไรและสำหรับเขาแล้วบทเพลงที่เขาเล่นนั้นมีค่ามากกว่าของพรรค์นั้นโขเลยทีเดียว
“งุ นิดเดียวก็ไม่ได้หรอ?” คานาเดะส่งเสียงร้องอย่างขัดใจเล็กๆ พร้อมกับสีหน้าที่มุ่ยลงเล็กน้อยซึ่งหากให้บอกจากสายตาของเขาแล้วมันดูน่ารักดีเหมือนกันหากแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังคงส่ายหัวปฏิเสธตามเดิม
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ การจะไปบังคับให้คนๆ นั้นเล่นบทเพลงที่ออกมาจะสื่ออารมณ์ได้ไม่ดีด้วยจะยอมถอยก่อนก็ได้” แม้จะเสียดายแต่เธอก็รู้ดีว่านักดนตรีอย่างพวกเธอนั้นจะเล่นดนตรีเพราะความอยากเล่นหากไม่อยากเล่นแล้วอารมณ์ที่ถ่ายทอดผ่านบทเพลงมันจะขุ่นมัวจนลดความไพเราะลงไป
“แต่ฉันไม่ยอมแพ้ไปตลอดหรอกนะ สักวันนึงชั้นจะทำให้นายเล่นไวโอลีนให้ชั้นฟังให้ได้เลย” แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ยอมแพ้สำหรับเธอแล้วการได้ฟังดนตรีเพราะๆและสื่อออกมาจากใจจริงนั้นมีค่ามากพอจะทำให้เธอทุ่มสุดตัวเลยทีเดียว
“คงยากหน่อยละนะ แต่ถ้าเธอยอมแพ้แล้วจะตามฉันมาอีกทำไมอีก?” ทางด้านของเรย์เมื่อเห็นว่าคานาเดะคิดถอดใจแล้วจึงเริ่มออกเดินอย่างสบายอารมณ์อีกครั้งแต่ก็พอเขาเริ่มเดินเท่านั้นเจ้าตัวก็ก้าวเท้าตามเขาในทันที
“ก็บอกแล้วไงว่าจะไปกินข้าวที่ร้านอาหารของนายน่ะ ได้ข่าวว่าร้านนี้อร่อยมากเลยนี่นา ชักหิวแล้วด้วย” ทางด้านของคานาเดะยิ้มอย่างสดใสส่วนทางด้านของเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็อดถอนใจเบาๆไม่ได้ก่อนที่จะเริ่มนำลูกค้าไปยังร้านอาหารของตนเองอย่างรวดเร็ว
“ยินดีต้อนรับค่า พี่ชาย อะ พี่สาวเมื่อตอนนั้นนี่นา” เสียงร้องใสๆ ของแม่สาวตัวน้อยดังขึ้นมาเมื่อเห็นว่าทางด้านหลังของเขานั้นมีผู้หญิงคนนึงเดินตามมาด้วยก่อนเอียงคออย่างแปลกใจเพราะผู้ที่เดินตามพี่ชายเธอมาเป็นคนที่เธอเคยเจอมาครั้งนึงแล้ว
“ว้าว น่ารักจังเลยถึงจะเคยเจอกันก่อนหน้านี้แล้วก็เถอะ แต่พอมาอยู่ในชุดแบบนี้แล้วเรานี่น่ารักมากเลยนะเนี่ย” คานาเดะเมื่อเห็นร่างเล็กที่อยู่ในชุดเมดเธอรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากส่วนทางด้านของแม่สาวตัวน้อยเมื่อได้ยินคำชมจึงยิ้มแฉ่ง
“แน่นอน ชุดพวกนี้หนูเย็บเองกับมือเลยนะ อุตส่าห์เรียนเย็บปักถักร้อยและขอเงินพี่ชายมาเพื่อการนี้เลยล่ะ” ชุดเมดที่เธอสวมอยู่นี้นั้นเป็นฝีมือการตัดเย็บของแม่น้องสาวจอมป่วนของเขาเองทั้งสิ้นไม่ได้ไปจ้างใครที่ไหนเย็บให้เลยแม้แต่น้อย กระทั่งชุดเมดของเรย์เธอยังเป็นคนตัดชุดนี้ขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะเลยทีเดียว
“ว่าแต่พี่สาวทำไมมากับพี่ชายได้อะ หรือว่าพี่สาวเป็นแฟนกับพี่ชายเหรอ?” ดวงตาสีฟ้าสดใสของแม่สาวตัวน้อยเป็นประกายวิบวับพร้อมจ้องมองมาที่พวกเขาสองคนส่วนทางด้านของเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็เคาะหัวน้องสาวของตนในทันที
“ใช่ที่ไหนล่ะ เขาเป็นคนจ้างให้พี่คุ้มกันต่างหากแล้วที่เขามาที่ร้านก็มาสั่งอาหารที่มารับออเดอร์ได้แล้ว” กระทั่งตัวเขายังเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองเพราะเขากับผู้หญิงข้างตัวนั้นเพิ่งเจอกันได้เพียงไม่นานจะเอาเวลาช่วงไหนไปเป็นแฟนกัน
“แง พี่ชายหนูเจ็บนะ พูดกันดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องมาเขกหัวกันแบบนี้เลย” แม่น้องสาวจอมป่วนลูบหัวที่โดนเขกก่อนรีบวิ่งไปรับออเดอร์กับคานาเดะอย่างรวดเร็วโดยไม่ยอมเข้าใกล้เขาอีกเพราะหวั่งเกรงว่าจะโดนเขาเขกหัวอีกครั้งหนึ่ง
“ก็เล่นพูดอะไรเสียมารยาทขนาดนั้นน่ะ” เรย์ส่ายหัวน้อยๆกับพฤติกรรมของน้องสาวตัวเองแม้เขาจะไม่ถือแต่เขาไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าคนข้างตัวของเขาจะว่าอะไรหรือเปล่า
“เอาน่า อย่าดุน้องสาวตัวเองแบบนั้นสิ จะให้เป็นแฟนกับนายฉันก็ไม่รังเกียจหรอกนะ” คำพูดของคานาเดะทำเอาเรย์ชะงักค้างไปในทันทีคำพูดที่หลุดออกมาจากคนที่ยิ้มตลอดเวลานั้นทำให้เขาอ่านไม่ออกว่าเธอพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่
“ก็ถ้าได้เป็นแฟนกับนายล่ะก็จะได้ฟังนายเล่นไวโอลีนทุกวันนี่นา แค่นี้ก็คุ้มแล้ว” สมเป็นคนที่บ้าดนตรีเข้าสายเลือดโดยแท้ในตอนแรกเขายังนึกอยู่เลยว่าเธอจะแกล้งแหย่อะไรเขาหรือเปล่าแต่มาตอนนี้นิยามคำเดียวที่เขาขอให้ยัยนี่จากใจจริงเลยก็คือ เพี้ยน
“นี่เธอคิดว่าการเป็นแฟนกันแล้ว จะต้องเล่นไวโอลีนให้ฟังหรือไง?” เรย์ถอนใจอย่างแผ่วเบาโดยส่วนตัวแล้วสำหรับเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรพวกนี้เท่าไหร่เพราะในสายตาของเขาแล้ว เขาชอบชีวิตที่เป็นอิสระแบบตอนนี้มากกว่าเขาไม่ต้องการพันธะใดๆมาเหนี่ยวรั้ง...ไม่สิควรบอกว่าเขาไม่ต้องการพันธะมากไปกว่านี้แล้ว
“ไม่รู้เหมือนกันนั่นขึ้นอยู่กับนาย แต่บอกไว้ก่อนฉันไม่ถอดใจหรอกนะชั้นจะต้องทำให้นายยอมเล่นไวโอลีนให้ฉันฟังจากใจจริงให้จงได้เลย” คานาเดะที่ยังคงยิ้มแย้มอยู่เช่นเดิมหากแต่ทางด้านของเรย์นั้นกลับรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมา อดสังหรณ์ไม่ได้ว่าภารกิจของเขาในคราวนี้คงเป็นภารกิจที่เหนื่อยยากอย่างแน่นอน
