chapter4-1
หลังจากที่พวกของเรย์กลับไปถึงเมือลาเฟสต้าแล้วพวกเขาจึงเข้าไปรายงานผลของภารกิจและค่านายหน้าที่จำเป็นต้องจ่ายให้กับทางกองทหารมนตราซึ่งก็เสียเวลาไม่มากนักเพราะสำหรับหน่วยที่สี่แล้วแค่ยื่นเอกสารพร้อมเงินก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้น(จริงๆแล้วมีความยุ่งยากกว่านี้แต่ของเรย์เป็นกรณีพิเศษเพราะเจ้าตัวเคยถล่มห้องเก็บเอกสารพังมาแล้ว)
“อย่างน้อยก็คงไม่น่าจะมีภารกิจไปอีกสักสามถึงสี่วัน ระหว่างนั้นก็ทำตัวตามสบายก็แล้วกัน และถ้าไม่รู้จะไปไหนอย่าลืมมากินร้านอาหารพี่สาวของฉันนะ เดี๋ยวคิดราคาพิเศษให้ ไปละ” เรย์โบกมือให้ทีนึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพแบบนี้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ลืมโฆษณาร้านอาหารพี่สาวของตัวเองไปในตัว
“อืม จะว่าไปผมก็ไปเช็คสภาพตัวปืนอย่างละเอียดหน่อยดีกว่า” ทางด้านของอลันนั้นเดินกลับไปยังห้องอุปกรณ์ของหน่วยทหารมนตราอย่างรวดเร็วด้วยความแจ่มใสอย่างเต็มที่
ตามปกติแล้วอุปกรณ์จำพวกกระสุนชนิดต่างๆและอะไหล่ของอาวุธนั้นจะมีให้เปลี่ยนตามแต่โควต้าที่ได้รับมาและแน่นอนว่าโควต้าที่หน่วยที่สี่ได้รับนั้นย่อมสูงลิบ และโดยส่วนมากงบประมาณด้านอาวุธก็จะหมดไปกับการซ่อมบำรุงและดัดแปลงปืนของอลันนี่แหละ(เพราะเจ้าเรย์มันไม่ใช่อาวุธ)
“พิลึกกันทั้งหัวหน้าและลูกน้องเลย” คาซึกินิยามทั้งสองคนแบบนั้นไม่ต้องไปพูดถึงตัวหัวหน้า กระทั่งคนที่ดูจะปกติอย่างอลันยามที่ได้จับปืนยังรับรู้ได้ถึงความสนุกสนานที่ส่อแววราวกับกำลังสนุกสนานกับการได้ลั่นไกปืนออกไปและท่าทางอารมณ์ดียามได้ซ่อมบำรุงปืนจนเกินเหตุนั่นอีก
ทางด้านของเรย์นั้นแน่นอนว่าเขาตรงดิ่งกลับบ้านในทันทีเพราะเขาตามปกติหากไม่นับภารกิจที่ได้รับล่ะก็เขาก็มักจะไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไหร่อยู่แล้วและไม่นานเขาก็มาหยุดอยู่หน้าร้านอาหารหรือบ้านของตนเรียบร้อยแล้วก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไปในร้าน
“ยินดีต้อนรับค่า อะ พี่ชายกลับมาพอดีเลย” เสียงเล็กๆ น่ารักดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้เรย์อดยิ้มไม่ได้เพราะไม่จำเป็นต้องคิดก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าร่างที่ส่งเสียงนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากแม่สาวน้อยจอมป่วนนั่นเอง
“อืม พี่กลับมาแล้ว แต่ไอ้พอดีที่ว่านี่?” เรย์เอียงคออย่างแปลกใจเล็กน้อยส่วนทางด้านของแม่สาวในชุดเมดตรงหน้านั้นหันไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
“พี่เอย์จิเขาถามหาพี่เรย์อยู่น่ะ” คำพูดของเรเดียทำให้เรย์พบว่าในโต๊ะๆหนึ่งนั้นมีร่างของเด็กหนุ่มผู้นึงนั่งอยู่ดวงตาสีแดงอ่อนคู่นั้นกำลังจับจ้องนั่งสือในมืออย่างเงียบงัน ผมสีแดงอ่อนถูกมัดเอาไว้อย่างลวกๆเพื่อไม่ให้มันมาบังสายตา ชุดที่เขาสวมนั้นเป็นชุดที่มีลักษณะเหมือนชุดของเรย์อย่างไม่ผิดเพี้ยน ข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผ้าคลุมของเขานั้นประดับด้วยสัญลักษณ์เปลวเพลิงสีแดงอยู่แทน
“ว่าไงเอย์จิ วันนี้มีธุระอะไรเรอะ หรืออยากคุยด้วยเฉยๆ” เรย์เดินเข้าไปทักทายคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในทันทีชายที่ชื่อมาซานะ เอย์จิคนนี้นั้นเป็นหัวหน้าหน่วยที่สองแห่งกองทหารมนตรา อีกหนึ่งหัวหน้าหน่วยที่สนิทสนมกับเขามากเขาสนิทกับหมอนี่มากกว่าครอสเสียอีก เพราะเขารู้จักกับเอย์จิมาตั้งแต่อายุสามสี่ขวบแล้ว
“อา ได้ข่าวว่าหน่วยของนายหาสมาชิกใหม่ได้แล้วงั้นเหรอ” คนถามปิดหนังสือในมือก่อนหันมาพูดคุยกับเรย์แทนใบหน้าของเอย์จินั้นจัดได้ว่าหล่อเหลาคมคายเลยทีเดียวแม้จะแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลาก็ตามหากแต่เห็นเช่นนี้เอย์จิก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิงพอดู
“ส่วนนึงมาจากความจำใจและการยัดเยียดจากไอ้ลุงเวรนั่นแหละ แต่ต้องยอมรับว่ามีฝีมือดาบใช้ได้ ถึงไม่เทียบเท่าฉันหรือนายแต่ก็อยู่ในขั้นสูงทีเดียว” ดูเหมือนข่าวการที่เขาได้สมาชิกใหม่ร่วมหน่วยมันจะกระจายกันไปหมดทั้งกองแล้วแน่ๆแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
“ก็พอจะรู้อยู่แต่นายไม่คิดว่ามันแปลกหรือไง อยู่ๆ มาขอเข้าหน่วยสี่ที่มีชื่อเสียงติดลบแทบจะมากที่สุดในบรรดาหน่วยทั้งเจ็ดเนี่ยนะ ” สิ่งที่เอย์จิพูดมาเป็นความจริงทั้งหมดในบรรดาคนที่ได้รับตำแหน่งหน่วยนัมเบอร์นั้นมีก็อาจพูดได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ชื่อเสียงไปในแง่ลบเสียมากกว่า
“ก็รู้ตัวอยู่หรอกนะแต่รู้สึกเหมือนโดนหลอกด่ายังไงก็ไม่รู้แฮะ” แน่นอนเรย์ไม่ได้เป็นคนที่ตกข่าวถึงขนาดนั้นแต่เขาเป็นพวกไม่สนใคร ใครจะมองเขาด้วยสายตาแบบไหนก็ช่างเพราะยังไงเสียตัวเราต่างหากที่รู้เกี่ยวกับตัวเราเองดีที่สุดอีกอย่างเขาก็มีคนที่เข้าใจเขาดีอยู่แล้วด้วยไม่จำเป็นต้องไปสนใจเสียงนกเสียงกาพวกนั้นเลยถึงแบบนั้นพอมาเจอเพื่อนพูดตรงๆแบบนี้ก็อดรู้สึกเคืองไม่ได้
“นายไม่คิดบ้างหรือไงว่า คามิงาริ คาซึกิมีจุดประสงค์แอบแฝงอะไรหรือเปล่า?” คำพูดของเอยจินั้นมีเค้าลางมากทีเดียวเพราะคนปกติแล้วหากอยากจะเป็นสมาชิกในทีมระดับนัมเบอร์ซึ่งมีเพียงแค่เจ็ดทีมแล้วล่ะก็หน่วยที่สี่นั้นจะเป็นชื่อท้ายๆที่ทุกคนนึกถึงเลยทีเดียว
“ช่างเถอะน่า การที่ลุงแกให้มาอยู่ได้ก็แสดงว่าต้องตรวจสอบในระดับนึงแล้วนั่นละ อีกอย่างถึงไม่รู้ว่าเจ้านั่นมีจุดประสงค์อะไรก็เถอะ แต่เอามาไว้ใกล้ตัวมันก็มีข้อดีในแบบที่เอาไว้ไกลตัวไม่มีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เราอ่านพื้นเพและนิสัยใจคอของคนๆ นั้นออกง่ายหน่อยล่ะนะ” เขาย่อมรู้ดีว่าที่คาซึกิเข้ามาในหน่วยสี่เพราะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแต่เขาถือคติว่าตราบใดที่เจ้าตัวเปิดปากออกมาเองหากไม่จำเป็นจริงๆเขาจะไม่เค้นถามเด็ดขาด
“อย่างนี้อีกแล้วชอบกระโจนเข้าไปหาอันตราย แล้วปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้าตลอด” เอย์จิถอนใจอย่างแผ่วเบาด้วยความที่เขากับเรย์เคยอยู่หน่วยเดียวกันมาก่อนทำให้รู้นิสัยของอีกฝ่ายเป็นอย่างดีและมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
“ฉันคิดดีแล้วล่ะน่า เจ้าคาซึกิน่ะไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรหรอก คงพอไว้ใจได้ในระดับนึง” เรย์ยิ้มแย้มอย่างสบายอารมณ์ที่ทำแบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาประมาทแต่อย่างใดแต่เป็นเพราะเขามั่นใจในฝีมือของตัวเองต่างหาก
“ว่าแต่นายคงยังไม่ได้กินอะไรล่ะสิรอแปบ เดี๋ยวไปมื้อเที่ยงมาให้ จะเอาอะไรล่ะ?” ทางด้านของเรย์เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนคุยจบแล้วจึงเริ่มทำการค้าอย่างรวดเร็วแต่อันที่จริงไม่จำเป็นต้องถามก็ได้เพราะอาหารที่เอย์จิสั่งนั้นมีเพียง
“ปลาย่างซีอิ๊วกับซุปมิโสะ” เมนูเดิมๆยังคงถูกสั่งเช่นเดิมทำให้เรย์ได้แต่ยิ้มแหยเพราะไม่ว่าจะมาสักกี่ครั้งเจ้าหมอนี่ก็เอาแต่สั่งเมนูเดิมตลอดแต่ถึงแบบนั้นเรย์ก็ยังเดินเข้าไปทำอาหารในครัวอย่างว่องไวอยู่ดี
“เรย์จะทำอาหารให้เอย์จิคุงเขาทานเหรอ?” ไรอาที่ในยามนี้กำลังนั่งพักอยู่ในครัวเพราะตอนนี้เธอทำอาหารให้ลูกค้าเสร็จหมดแล้วถามขึ้นเมื่อเห็นว่าน้องชายของเธอกำลังผูกผ้ากันเปื้อนเตรียมพร้อมลงมือทำอาหารอย่างรวดเร็ว
“ครับ เจ้านั่นสั่งเมนูเดิมได้ทุกครั้งจริงๆ น้า จะชอบปลาย่างกับซุปมิโสะไปถึงไหน ของแบบนี้หมอนั่นทำกินเองได้อยู่แล้วนี่นา” เรย์รับคำก่อนเริ่มทำอาหารไปในตัวแม้เขาจะยอมรับว่าปลาย่างและซุปมิโสะที่เขาทำนั้นอร่อยในระดับนึงแต่ตัวของเอย์จิเองก็ทำอาหารเป็นเช่นกันอาหารทางตะวันออกส่วนใหญ่ เอย์จิล้วนแล้วแต่ทำเป็นทั้งนั้นจนเขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมหมอนั่นไม่ลองสั่งอาหารตะวันตกไปกินบ้าง แถมยังกินแต่เมนูเดิมตลอด
“เขาอาจจะชอบฝีมือเรย์ก็ได้ ก็เราทำอาหารเก่งออกนี่นา” คำชมของพี่สาวนั้นทำให้เรย์ได้แต่ยิ้มแห้งๆเพราะแม้จะบอกว่าฝีมือทำอาหารของเขาดีก็ตามแต่อันที่จริงในสายตาของตัวเขาเองแล้วก็เพียงแค่อยู่ในระดับพอทำเป็นมันก็เท่านั้นเอง
เพียงไม่นานเขาก็ทำอาหารเสร็จอย่างรวดเร็วก่อนนำไปเสริฟให้กับเอย์จิในทันทีส่วนทางด้านของเอย์จิเมื่ออาหารมาถึงโต๊ะแล้วเขาก็เริ่มทำการกินอย่างรวดเร็ว
“ไม่เบื่อกับเมนูนี้บ้างเหรอเอย์จิ? นายเล่นสั่งเมนูนี้ได้ทุกทีเลยนะเนี่ย” ทางด้านของเรย์ที่อยู่ในสภาพชุดเมดเป็นที่เรียบร้อยแล้วอดถามขึ้นมาไม่ได้เพราะแม้เขาจะทำอาหารอร่อยก็ตามแต่เขาก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าการกินเมนูเดิมทุกครั้งมันไม่เบื่อบ้างเลยหรือทั้งที่ร้านอาหารของเขาเป็นร้านอาหารตามสั่งแท้ๆ
“ไม่เลย ก็นายทำอร่อยดีนี่นะ จะให้กินกี่ครั้งมันก็ไม่เบื่อ อีกอย่างรสชาติอาหารของเรย์กินแล้วนึกถึงคุณแม่ขึ้นมาเลย” สำหรับเอย์จิแล้วนั้นการมาทานอาหารที่ร้านนอกจากจะเป็นการอุดหนุนกิจการของเพื่อนไปในตัวแล้วยังได้กินรสชาติที่เขาคิดถึงด้วยจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะสั่งเมนูอื่นเลย
“อย่าพูดอะไรแบบนั้นดิ นายคงรู้สึกแบบนั้นเพราะชั้นใช้เต้าเจี้ยวที่พี่ไรอาเขาหมักไว้มากกว่ามั้ง” เขาก็พอจะรู้ว่าเจ้านี่คิดถึงพ่อแม่ของตัวเองไม่น้อยเพราะพ่อและแม่ของเอย์จิในยามนี้นั้นไม่ได้อยู่ในเมืองลาเฟสต้า แต่อยู่ในเมืองที่ค่อนข้างห่างไกลซึ่งเอย์จิจะไปเยี่ยมเยียนเดือนละครั้งแต่ถึงแบบนั้นก็ทำให้เด็กติดแม่อย่างหมอนี่อดคิดถึงขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน
“เอาเถอะ ยังไงนายก็เป็นลูกค้า คำชมนั้นจะขอรับไว้แล้วกัน” เรย์ขยิบตาให้กับเจ้าคนที่กำลังกินอาหารอยู่ทำเอาเอย์จินั้นแทบสำลักอาหารที่กินเข้าไปพลางขมวดคิ้วเพราะแม้เขาจะรู้ว่าเรย์ในยามนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกับตอนปกติแต่ทำไมเขาอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าตกลงหมอนี่เป็นผู้ชายจริงๆหรือเปล่า
“ยินดีต้อนรับค่ะ” ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปส่งเสียงทักทายลูกค้าที่เข้ามาในร้านก่อนตรงเข้าไปรับรายการอาหารอย่างรวดเร็วทำให้เอย์จินั้นทำได้เพียงแค่มองตามอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจหากแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมามากนักก่อนก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเองต่อไป
“อา ในที่สุดลูกค้าก็หมดสักทีนะ” เสียงของเรย์ที่ปาดเหงื่อเล็กน้อยก่อนเป่าปากอย่างแผ่วเบาเพราะพวกเขาเพิ่งเจอกับพายุลูกค้าไปหมาดๆตั้งแต่เวลาห้าโมงจนถึงหนึ่งทุ่มเป็นช่วงเวลาที่ร้านอาหารของเขาคนแน่นที่สุดทำให้เขาต้องคอยวิ่นวุ่นตลอดทั้งร้าน
“เหนื่อยหน่อยนะจ๊ะ เรย์” เสียงของไรอาที่ดังขึ้นมาจากครัวพลางยิ้มให้กับน้องชายของเธอเขามักจะมาช่วยงานเธอไปเป็นประจำแม้จะบ่นว่าเหนื่อยหรือลูกค้าเยอะยังไงแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะบอกว่าจะไม่มาช่วยงาน
“ว่าแต่เอย์จิ นายไม่กลับบ้านเหรอนี่มันก็เริ่มมืดแล้วนา” ทางด้านของเรย์ที่หันไปหาชายที่ยังคงอยู่ในชุดทหารมนตราซึ่งยังคงนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์เช่นเดิมเพราะนี่มันก็ได้เวลาที่ร้านปิดแล้วแต่ยังมีลูกค้าคนสุดท้ายเหลืออยู่
“ได้เวลาแล้วสินะ” เอย์จิรับคำสั้นๆ เขามาอาศัยที่นั่งของร้านนี้เป็นระยะเวลานานสองนานตั้งแต่ตอนบ่ายๆเพราะยังไงเสียที่ร้านอาหารแห่งนี้นั้นก็จัดแต่งให้นั่งได้สบายจนบางครั้งเขามักมานั่งอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยที่นี่จนร้านปิดเป็นประจำ
“ถ้ายังไงเอย์จิคุงอยู่ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนไหมจ๊ะ ไหนๆ ก็มาแล้วทั้งที” ไรอาชวนเพื่อนของน้องชายเธอให้ทานอาหารเย็นด้วยกัน เห็นแบบนี้เอย์จิก็เป็นลูกค้าประจำแสนเหนียวแน่นของร้านเธอแถมตอนที่มานั่งเรื่อยเปื่อยในร้านก็ไม่ได้นั่งเปล่าๆเขามักสั่งเครื่องดื่มหลายต่อหลายแก้วมาทานด้วยเสมอ
“ไม่ต้องหรอกครับ รบกวนเปล่าๆ”
“ไม่รบกวนหรอกน่า ถือซะว่าเป็นการสมนาคุณลูกค้าก็แล้วกัน” เรย์ชักชวนด้วยอีกแล้วเพราะจะยังไงเสียเขากับพี่สาวก็ต้องทำอาหารเย็นกันอยู่แล้วแค่ทำเพิ่มให้อีกคนนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยสักนิด
“จะว่าไปวัตถุดิบพวกเนื้อก็หมดแล้วด้วย งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อของมาก่อนแล้วกัน ถึงไม่ค่อยแน่ใจว่าที่ตลาดจะมีเหลืออยู่รึเปล่าก็เถอะ” เรย์ซึ่งเป็นคนที่คอยทำอาหารคนนึงย่อมรู้ว่าวัตถุดิบอะไรที่ตอนนี้ในตู้เย็นไม่มีแล้วทำให้เขาออกไปซื้อวัตถุดิบกลับมาทำอาหารเพิ่มเติม
แม้ว่าตลาดในยามนี้จะไม่ค่อยมีของขายเสียเท่าไหร่นักก็ตามแต่ก็นับว่ายังดีที่อย่างน้อยก็ยังพอมีวัตถุดิบคุณภาพดีเหลืออยู่บ้างก่อนที่เขาจะหิ้วถุงวัตถุดิบของตนแล้วเดินเลือกซื้อวัตถุดิบอย่างอื่นไปประกอบอาหารเพิ่มเติม
“จริงๆ ก็ไม่ได้อยากว่าหรอกนะ แต่นายไม่ต้องมาด้วยก็ได้มั้งเอย์จิ คนเขาจ้องนายกันใหญ่เลยนะเนี่ย” เรย์ตวัดสายตามองคนข้างตัวที่อยู่ในชุดทหารมนตราเสียเต็มยศแถมยังเอามากระทั่งผ้าคลุมหัวหน้าหน่วยด้วยทำให้แม้ตลาดในยามนี้จะเหลือคนไม่มากแล้วก็ตามแต่ก็กลายเป็นจุดสนใจของคนในตลาดทันที
“ฉันมาเพราะไม่อยากอยู่เฉยๆ ว่าแต่พูดอะไรดูตัวเองหน่อยดีกว่าไหม เรย์” ทางด้านของเอย์จิก็ปรายสายตามองไปยังคนข้างตัวที่ยังคงสภาพชุดเมดอยู่เช่นเดิมเพียงแต่เรือนผมสีขาวยาวสลวยนั้นถูกมัดเอาไว้ลวกๆเพื่อความสะดวกในการทำงานเท่านั้นเอง
“ฉันไม่เหมือนนายสักหน่อย นั่นเท่าไหร่คะ คุณป้า” เรย์หันไปถามราคาของเห็ดที่วางอยู่บนแผงในตลาดอย่างรวดเร็วรอยยิ้มที่เป็นมิตรและน้ำเสียงที่ออกไปทางหวานทำให้เจ้าตัวดูไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้หญิงจริงๆ
“อ้อ ถุงนั้นห้าสิบเหรียญ ว่าแต่หนูเรย์มาแฟนมาเดินตลาดด้วยงั้นเหรอ” ทางด้านของแม่ค้าหันมาถามถึงพ่อหนุ่มข้างตัวเพราะเห็นแบบนี้แต่เอย์จินั้นเป็นคนดังในระดับนึงหลายต่อหลายคนในเมืองนั้นรู้จักเขาเป็นอย่างดีในฐานะของหนึ่งในหัวหน้าหน่วยผู้ปกป้องเมืองลาเฟสต้า
“ไม่ใช่หรอกค่ะคุณป้า เราเป็นเพื่อนกันเฉยๆ พอดีเขาแวะมากินข้าวที่บ้านน่ะค่ะ ว่าแต่ช่วยลดราคาให้หน่อยสิคะ เหลือสามสิบเหรียญได้ไหม” เรย์ตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะเริ่มสงครามต่อราคาจากแม่ค้าคนนั้นอย่างรวดเร็วสักพักจึงตกลงราคากันได้ในราคาสามสิบห้าเหรียญ
“เข้าใจละว่าทำไมนายไม่เด่น” เพราะเรย์นั้นมาเดินตลาดแห่งนี้เป็นประจำดังนั้นการที่เห็นสาว(?)ในชุดเมดมาเดินตลาดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนในตลาดนี้ผิดกับเขาที่เพิ่งเคยเหยียบสถานที่ๆเรียกว่าตลาดไม่กี่ครั้งแถมส่วนใหญ่ก็มาในชุดลำลองไม่ใช่ชุดเต็มยศอีกด้วย
“วันนี้ได้วัตถุดิบดีๆ ไปพอสมควรเลย ไม่นึกว่าตลาดตอนนี้จะเหลือวัตถุดิบแบบนี้อยู่โชคดีจริงๆ เดี๋ยวฉันจะไปทำอาหารให้นายกินสุดฝีมือเลยนะ” เรย์หันมายิ้มให้กับเอย์จิก่อนที่พวกเขาจะเดินก้าวเท้ากลับไปยังบ้านของเรย์
ในขณะที่พวกเขากำลังเดินกันอยู่นั้นเองท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้มืดครึ้มอยู่แล้วก็มีสายฝนเทลงมาจากฟากฟ้ากในทันทีปริมาณของฝนนั้นค่อนข้างมากทำให้ทั้งสองตัดสินใจเลือกจะหาที่หลบฝนแทนที่จะเดินฝ่าออกไปโดยตรง
“แย่จัง อยู่ๆ ก็มีฝนตกแบบนี้” เสียงบ่นของเรย์ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบาส่วนทางด้านของเอย์จินั้นไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาเท่าไหร่นักเนื่องจากเขาชำนาญมนตราธาตุไฟอยู่แล้วเป็นทุนแค่การควบคุมความร้อนทำให้ชุดแห้งนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
แต่ทางด้านของเรย์นั้นย่อมทำไม่ได้มนตราของเขาไม่ได้เอื้ออำนวยขนาดเอย์จิจึงทำได้เพียงบีบน้ำจากชายกระโปรงของตัวเองเท่าที่จะทำได้เท่านั้นแต่ก็ไม่ค่อยเป็นผลนักเพราะชุดเมดที่เขาสวมใส่อยู่นั้นมันชุ่มช่ำไปด้วยหยาดน้ำแล้ว
“เดี๋ยวฉันจะทำให้ชุดของนายแห้งเองก็แล้วกัน” ทางด้านของเอย์จิที่ดูแล้วเห็นว่าเพื่อนของตนจะมีปัญหากับชุดที่ชุ่มน้ำพอควรพรัอมกับเตรียมใช้มนตราของตนหากแต่พอตวัดดวงตาสีแดงอ่อนกลับไปมองด้านข้างเขาก็ต้องชะงักไปในทันที
ร่างของเรย์ในยามนี้นั้นเปียกปอนไปด้วยสายน้ำเรือนผมสีขาวที่ยาวกว่าเดิมนั้นทำให้ในยามที่มันเปียกฝนจึงชุ่มไปหมด ผิวกายที่ขาวเนียนและชุดที่แนบติดไปกับร่างกายจากการเปียกน้ำทำให้เอย์จิรู้สึกราวกับว่าเขาได้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งเลาๆจากเพื่อนของตนร่างตรงหน้ามีสเน่ห์แบบแปลกๆ จนทำเอาเขาชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
“ถามจริงเรย์ นายเป็นผู้ชายแน่ใช่ไหม?” เอย์จิขมวดคิ้วกับภาพที่ได้เห็นตรงหน้าไม่รู้ด้วยความที่รู้จักกับเรย์มานานหรือเพราะนิสัยนิ่งสงบดั้งเดิมของเจ้าตัวกันแน่ทำให้เขาดูสงบนิ่งมากจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับภาพตรงหน้ามากนัก
“ถามแปลกๆ สมัยเด็กนายยังเคยอาบน้ำกับฉันด้วยซ้ำ” ทางด้านของเรย์ก็ดูจะงุนงงกับคำถามของเอย์จิไปไม่น้อยเช่นกันแต่หากคนอื่นได้ยินคำถามนี้แล้วล่ะก็จะไม่มีใครว่าเอย์จิเลยแม้แต่คำเดียวเพราะเรย์ในสภาพนี้นั้นดูราวกับผู้หญิงจริงๆไม่ผิดเพี้ยน
“ก็แค่อยากยืนยันให้แน่ใจเท่านั้นแหละ” เอย์จิที่เพิ่งทำให้เสื้อผ้ากับเรือนผมสีขาวของเรย์แห้งนั้นตวัดสายตามองไปทางอื่นอย่างรวดเร็วแม้เขาจะรู้จักเรย์มานานแต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเจ้าตัวไปทำอีท่าไหนถึงได้แต่งชุดเมดได้ขึ้นเช่นนี้
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกมีเพียงเสียงฝนกตที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องเท่านั้นก่อนที่เอย์จิจะเอื้อมมือไปสัมผัสกับหยาดฝนที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ดวงตาของเอย์จิในยามนี้นั้นไม่ได้ทอแววนิ่งเฉยหรือเบื่อหน่ายอีกต่อไป
“ยังคิดมากเรื่องของหมอนั่นอีกเหรอ” แค่เพียงมองท่าทางของเพื่อนตนเองเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่มีเพียงไม่กี่เรื่องที่ทำให้เพื่อนของเขามีแววตาเช่นนี้ได้และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของครอบครัวของเอย์จิเอง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เจ้านั่นน่ะแข็งแกร่งจะตาย คงกำลังเดินทางฝึกวิชาดาบเพลินแหงๆ”
“แต่มันสองปีแล้วนะเรย์ที่พี่ไคไม่ยอมกลับมา ทั้งที่ตามปกติพี่เขาแทบจะให้ของขวัญชั้นทุกเทศกาลเลยด้วยซ้ำ จนทำให้คิดไม่ได้เหมือนกันว่าบางที” เอย์จิหรี่ตาลงเล็กน้อยใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นความเป็นความตายของผู้คนการก้าวเท้าเข้าสู่ระดับหัวหน้าหน่วยนั้นต้องเคยผ่านสงครามมาแล้วทั้งนั้นแต่เขาก็ยังรับไม่ได้อยู่ดีหากจะบอกว่า
“จะบ้าเรอะ เจ้านั่นน่ะเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งมากเลยนะ นับเฉพาะด้านกระบวนท่าชั้นยังไม่แน่ใจเลยว่าจะเอาลงยิ่งพอเสริมพลังพิเศษเข้าไปตีกับคนเป็นร้อยยังไหว หมอนั่นก็แค่เที่ยวเตร่ไปตามประสาล่ะน่า เดี๋ยวพอเบื่อหรือหายบ้าเมื่อไหร่ก็กลับมาเอง เชื่อเถอะ” เขาเอื้อมมือไปตบบ่าของเพื่อนตนเองเบาๆแน่นอนเขารู้ดีว่าคนที่เพื่อนของเขาพูดถึงนั้นเป็นใคร คนที่หายสาบสูญไปแล้วสองปี
เอย์จิมีพี่ชายอยู่คนนึงซึ่งแต่เดิมอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยที่สองและยังได้รับมอบสมญานามเจ้าแห่งดาบด้วย ถ้าวัดกันในเชิงดาบแทบไม่มีใครกล้าพูดว่าจะเอาชนะหมอนั่นได้ เป็นพี่ชายที่เอย์จิทั้งรักและภาคภูมิตั้งเป็นเป้าหมายในการไปให้ถึงจนยอมเข้าหน่วยทหารมนตรามา
ตัวเขาก็สนิทกับพี่ชายของหมอนี่มากเหมือนกันสมัยที่ยังเล็กๆอยู่พวกเขาสามคนมักเล่นด้วยกันอยู่เสมอ หมอนั่นมีพรสวรรค์เชิงดาบมาตั้งแต่เขาจำความได้แล้วสำเร็จวิชาดาบจากพ่อด้วยอายุสิบเอ็ด อีกทั้งอายุเพียงแค่สิบสี่ปีก็สามารถสร้างเพลงดาบของตนเองขึ้นมาได้แล้วด้วยจนกลายเป็นที่ครั่นครามว่าจะเป็นทหารมนตราชั้นแนวหน้าในอนาคต
แต่ในสงครามเมื่อสองปีก่อนพี่ชายของเอย์จิหายสาบสูญไปจากการเสี่ยงชีวิตถ่วงเวลาให้เอย์จิและทุกคนในหน่วยของตนเองหนีออกมาจากวงล้อมของศัตรู ในตอนนั้นเขาถูกแยกออกไปอยู่อีกกลุ่มทำให้ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือเจ้านั่นได้
พอเขาและคนอื่นๆบุกเข้าไปช่วยหมอนั่นก็หายไปแล้วแต่ด้วยความที่ยังไม่พบศพหรือดาบของเจ้านั่นที่ไหนเลยมีเพียงแค่ผ้าคลุมหัวหน้าหน่วยที่ขาดวิ่นและชุ่มเลือดเหลือทิ้งไว้เท่านั้นจึงยังไม่อาจระบุได้ว่าอยู่หรือตายเพราะโอกาสที่จะเป็นทั้งสองอย่างมีพอๆกัน จนถูกบันทึกว่าหายสาบสูญไปในสงคราม
“อย่าห่วงน่าเอย์จิ พี่ชายของนายหนังเหนียวยิ่งกว่าแมลงสาบ โดนมนตราธาตุแสงของชั้นยิงกระหน่ำยังต้านไว้ได้ แค่การโจมตีของศัตรูขี้ปะติ๋วน่ะไม่ระคายผิวเจ้านั่นหรอก บางทีหมอนั่นอาจซุ่มฝึกเพลงดาบใหม่อยู่ก็ได้” พี่ชายของเอย์จิเป็นคนที่ชอบประดาบเป็นอย่างมากเพื่อนำข้อมูลในการต่อสู้มาปรับปรุงเพลงดาบของตัวเอง วีรกรรมที่เจ้านั่นเคยทำก็อย่างเช่นดวลกับนักดาบร้อยคนไม่หยุดพักจนแทบล้มทั้งยืนแต่เจ้าตัวก็สามารถโค่นทั้งร้อยคนนั้นได้สำเร็จ เป็นต้น
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดีสินะ” เอย์จิส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาเขารู้ดีว่าเรย์พยายามปลอบใจเขาอยู่แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ห้ามความเจ็บปวดไม่ได้อยู่ดี เพราะก่อนที่พี่ชายของเขาจะหายไปเขาเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับพี่เขาเป็นคนทิ้งพี่ชายของตัวเองมาทั้งแบบนั้น หากในตอนนั้นเขายอมอยู่ร่วมรบแล้วละก็พี่ชายของเขาอาจจะไม่ต้องหายตัวไปแบบนี้ก็ได้
ส่วนทางด้านของเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไปเขารู้ว่าความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้แน่นแฟ้นมาก ในยามที่พี่ชายของเอย์จิหายตัวไปแรกๆ เจ้าตัวแทบจะบุกตะลุยเข้าไปในฐานทัพของศัตรูเพื่อค้นหาตัวพี่ชายของตัวเองเลยด้วยซ้ำไปเขารู้ว่าเขาไม่มีสิทธิพูด แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่อาจปล่อยเพื่อนต้องจมอยู่กับความทุกข์ได้อยู่ดีอย่างน้อยก็ไม่ใช่ต่อหน้าเขา
“คิดมากอยู่ได้น้า นายเนี่ย” เรย์ถอนใจอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะกอดคอของเอย์จิอย่างรวดเร็วปล่อยให้เจ้าตัวตวัดดวงตาสีแดงอ่อนของตนมามองอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้าบ้านั่นมันไม่เป็นไรหรอกน่าเชื่อดิ อีกอย่างนายคิดว่าเจ้านั่นอยากให้นายซึมอย่างนี้รึไง ถ้านายอยากให้เจอหมอนั่นอีกครั้งก็ฝึกปรือฝีมือเข้าไว้ เป็นทหารมนตราชั้นยอดให้ได้ แล้วสักวันหมอนั่นจะกลับมายืนต่อหน้านายในฐานะนักดาบแน่นอน”
แน่นอนการยืนต่อหน้าพี่ชายในฐานะนักดาบที่ได้รับการยอมรับคนนึงนั้นเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดเขาอยากให้พี่ชายยอมรับจากใจว่าเขาเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งเหมือนดั่งที่พี่ชายของเขายอมรับว่าเรย์เป็นทั้งสหายร่วมรบที่ยอดเยี่ยมและคู่มือที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลาเดียวกัน
“อา ขอบใจมากนะเรย์” เอย์จิอดยิ้มออกมาบางๆไม่ได้ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เรย์ก็เปรียบเหมือนแสงสว่างที่ปัดเป่าจิตใจให้กับผู้คนได้เสมอเลยจริงๆ คนอื่นๆอาจไม่รู้จักเรย์ดีนักแต่เขารู้จักเจ้าตัวดี เรย์นั้นทั้งโอบอ้อมอารีและมีความเป็นผู้นำสูง
แต่ด้วยความที่เป็นคนยึดมั่นในความคิดของตัวเองและไม่สนใจจะปกครองใครจึงไม่มีลูกน้องมากนัก ในบรรดาทหารมนตรามีส่วนนึงที่ยอมรับจากใจว่าเรย์เหมาะสมจะเป็นหัวหน้าในทุกๆด้าน
‘ว่าแต่ไอ้ที่ดันหน้าของเราอยู่นี่มันอะไร’ เอย์จิอดคิดไม่ได้เพราะบริเวณอกของเรย์นั้นมันกลับดูไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่แถมมันนุ่มๆยังไงพิกลทำเอาเขาอดขมวดคิ้วไม่ได้แต่ไม่กี่วินทีต่อมาเขาก็คิดว่าเลิกสนใจเรื่องสุดแสนพิศวงนี้จะดีต่อระบบความคิดของเขามากกว่า
