chapter3 part4
“ไม่นึกว่านายจะคุยกับสัตว์รู้เรื่องด้วย” ทำเอาคาซึกิอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่คนข้างตัวจะสามารถสื่อสารกับสัตว์รู้เรื่องแถมยังทำให้มันยอมสงบลงได้อีกด้วย ทั้งที่หากคิดตามนิสัยแล้วเขานึกว่าคนข้างตัวจะเป็นคนแรกที่เลือกลงมือโจมตี
“เสียใจด้วย ฉันไม่ได้มีความสามารถแบบนั้นหรอก ไม่รู้สักนิดว่าไอ้ที่พูดไปน่ะมันเข้าใจสักคำหรือเปล่า” เรย์ส่ายหัวปฏิเสธความคิดของคาซึกิโดยสิ้นเชิง แม้จะมีคนบางประเภทที่มีจิตวิญญาณทางธรรมชาติสูงจนสื่อสารกับสัตว์ได้ก็ ตามแต่เขาไม่ใช่คนประเภทนั้น ดังนั้นไม่มีทางคุยกับพวกมันได้อย่างแน่นอน
“แล้วทำไมนายถึงสามารถกล่อมพวกมันให้สงบลงได้ล่ะM” การยอมให้สัตว์ร้ายสงบลงได้ จริงอยู่การมีพลังที่มากกว่าหลายขั้นก็เป็นในรูปแบบหนึ่ง แต่สิ่งที่เรย์ทำนั้นดูราวกับเข้าใจในความคิดของหมีตัวนั้นซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันได้ง่ายๆ เลย
“แค่ใช้ใจจริงของพวกเราคุยกับมันก็พอ สัตว์น่ะจับรับรู้ด้วยสัญชาตญาณเองว่าพวกเรามาดีหรือมาร้าย พวกมันน่ะเรียบง่ายกว่ามนุษย์มาก ชอบก็แสดงออกว่าชอบ เกลียดก็แสดงออกว่าเกลียด เรื่องพวกนี้ไม่เหลือบ่าฝ่าแรงหรอก” สิ่งที่เรย์พูดออกมายิ่งทำให้คาซึกินั้นแปลกใจมากขึ้นไปกว่าเดิมเสียอีก เพราะคนที่ทำแบบนั้นได้จะมีสักกี่คนกันที่สามารถเข้าใจพวกมันได้ และมองพวกมันเท่าเทียมกับมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ตัวนึง
“แต่ทีนี้ก็เข้าใจแล้วสินะว่าพวกเราจะลงมือทำร้ายพวกมันแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ สัตว์น่ะไม่ได้ดุร้ายโดยไม่มีสาเหตุหรอกมันต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ อันที่จริงฉันก็ไม่ว่าวิธีการนายหรอกเพราะบางครั้งมันก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าลงมือทำร้ายพวกมันเลย พวกมันก็มีหัวใจและมีชีวิตเหมือนกับมนุษย์นั่นแหละ” น้ำเสียงที่หลุดออกมาจากปากเมื่อมารวมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนด้วยแล้วทำให้ชายผู้นี้นั้นดูอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กระทั่งคนมองอย่างคาซึกิยังรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มนี้เลย
“เรย์เขาก็แค่ชอบใจอ่อนไม่เข้าเรื่องแล้วทำมาคุยนั่นแหละครับ กับคนด้วยกันล่ะชอบซัดชาวบ้านเขานักแต่พอเป็นสัตว์น่ะเมตตาพวกมันขึ้นมาเลย” ทางด้านของมือปืนที่ซุ่มอยู่นั้นเมื่อเห็นว่าภารกิจทั้งหมดได้จบลงแล้ว จึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วมาผสมโรงเข้าด้วยในทันที
“อย่าแฉกันเด้ อลัน อีกอย่างฉันไม่ได้ทำเพราะว่าคิดจะเป็นคนดี ฉันทำเพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะทำก็เท่านั้นแหละ ” เขาไม่เคยคิดจะเป็นคนดีตามใครเลยเขาไม่เคยอยากได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากใครด้วยเช่นกัน เขาก็แค่ทำในสิ่งที่ตนเห็นว่าถูกต้อง ก้าวเดินไปในเส้นทางที่ตนเห็นว่าสมควร แม้ปลายทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น
“นายนี่มันคนพิลึกจริงๆ” แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่มุมปากของคาซึกิกลับยกขึ้นมาเล็กน้อย แม้ในตอนแรกเขาจะคิดว่าการต้องเข้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชาของคนผู้นี้จะเป็นเรื่องที่ไม่น่าทำเท่าไหร่นักก็ตาม แต่พอมาวันนี้มุมมองที่ตนมองชายผู้นี้กลับเริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กละน้อยแล้ว
“โอ้ ขอบคุณพวกเธอมากเลยจริงๆ ในที่สุดการทำยารักษาเด็กพวกนี้ก็เป็นไปได้แล้ว” หมอผู้เป็นคนว่าจ้างให้พวกเขานำว่านแดงมาส่ง ประคองว่านแดงทั้งสองตนที่ได้รับมาอย่างเบามือเพราะนี่คือตัวยาล้ำค่าในการรักษาผู้คน
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีเด็กเจ็บป่วยกันมากขนาดนี้” ทางด้านของคาซึกิดูแปลกใจเป็นอย่างมากที่คลีนิกเล็กๆ แห่งนี้เต็มไปด้วยเด็กจำนวนมากนอนอยู่บนเตียง พร้อมเด็กที่อยู่ที่นี่นั้นโดยมากแล้วจะอายุมากสุดก็เพียงสิบปี ส่วนที่น้อยที่สุดนั้นมีระดับทารกเลยด้วยซ้ำ
“เพราะโรงงานบ้าๆ แถบชานเมืองที่โผล่มาใหม่นั่นแหละที่ทำให้เด็กๆ เจ็บป่วยกันมากขนาดนี้ ร้องเรียนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แถมยังโดนขู่ด้วยว่าถ้ายังพูดมากจะปิดสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วย” ผู้หญิงคนนึงที่กำลังดูแลเด็กๆ เหล่านั้นพูดขึ้นมาด้วยความโกรธเคืองแต่แม้จะโกรธมากเพียงใดเธอก็ยังคงปฐมพยาบาลเด็กๆ ที่กำลังเจ็บป่วยได้อย่างดีเยี่ยม
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอครับ พวกเราไม่เห็นรู้เลย” ทางด้านของอลันดูแปลกใจเป็นอย่างมาก อาจเพราะเขาเคยต้องอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อน จึงได้รู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็นตรงหน้ามากที่สุด
“มันเป็นแบบนั้นจริงๆ โรงงานนั่นมีค่ามลพิษเกินมาตรฐานและนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กๆ เป็นแบบนี้กัน พอเราไปร้องเรียนนอกจากจะไม่ได้ผลและถูกขู่กลับมาแล้วเวลายื่นเรื่องขออะไรไปก็ติดขัดไปหมด พวกเราเลยต้องเจียดเงินที่มีในการซื้อตัวยามารักษาพวกเด็กๆ นั่นแหละ ” สีหน้าของหมอผู้นั้นหม่นหมองลงเมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าของโรงงานคนนั้นเป็นคนผิดแต่เขาก็ไม่อาจจะทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือช่วยเหลือพวกเด็กๆ เท่านั้น
ส่วนทางด้านของอลันและคาซึกิที่ได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ว่าเรื่องพวกนี้มันย่อมต้องเกิดขึ้นภายในโลก หากพอได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้วก็ทำให้พวกเขาอดรู้สึกไม่พอใจไม่ได้ แต่เรื่องนี้มันใหญ่จนเกินกว่าพวกเขาจะทำอะไรได้ ในขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในห้วงความคิดนั้นเอง...
มนตราธาตุแสง แสงแรกแห่งทิวา
ลำแสงสีฟ้าอาบร่างของเหล่าเด็กๆ ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความทรมานของเด็กเหล่านั้นที่เลือนหายไปในทันที
“ถึงผมจะรักษาเด็กพวกนี้ไม่ได้ก็จริง แต่ถ้าแค่บรรเทาความเจ็บปวด มนตราธาตุแสงที่ผมมีก็พอจะทำได้ ถึงจะเหนื่อยหน่อยก็เถอะ ถือเป็นบริการพิเศษหลังการทำงานแล้วกัน ฟู่” เรย์เป่าปากออกมาเบาๆ เม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดพราวทั่วร่างกาย การที่เขาฝืนใช้มนตราระดับกลางกับเป้าหมายจำนวนมากเช่นนี้นั้นใช้พลังมนตราไปกว่าที่เขาคิดไว้มากโข
“ไม่หรอกแค่นี้ก็ขอบคุณแล้ว พวกเราจะรีบนำสมุนไพรที่ได้รับมาไปสกัดเป็นตัวยาทันที ” หมอคนนั้นเมื่อเห็นว่าเรย์ช่วยเหลือเด็กเหล่านี้ก็รู้สึกมีไฟขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องแลปของตนอย่างรวดเร็ว
“คิดยังไงถึงทำอะไรบ้าระห้ำแบบนี้ครับ พลังมนตราก็ไม่เต็มร้อยจากการไปลุยกับหมีพวกนั้นมา ยังจะฝืนใช้พลังไปขนาดนั้นอีก ” อลันรีบตรงไปหิ้วปีกเจ้าคนฝืนตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีแม้เจ้าตัวจะยิ้มแย้มเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ตามแต่ แท้จริงนั้นแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้วด้วยซ้ำ
“ฮะๆ เอาน่าการทำอะไรบ้าๆ ก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบนาอลัน อีกอย่างการทำเรื่องพวกนี้น่ะไม่ต้องใช้หัวคิดหรอกก็แค่ทนดูเด็กพวกนี้ทรมานไม่ได้เท่านั้นเอง” เรย์หัวเราะเบาๆ แม้จะเหนื่อยจนเหงื่อโซมกายเลย ถึงแบบนั้นเขาก็ดีใจที่อย่างน้อยก็สามารถช่วยเด็กพวกนี้ได้บ้าง
“พี่ชายเป็นคนช่วยพวกหนูเหรอ” เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงผู้หนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงดังขึ้นมาอายุของเธอน่าจะเพียงหกถึงเจ็ดขวบเท่านั้นส่วนทางด้านของเรย์เมื่อเห็นดังนั้นแล้วจึงเอื้อมมือไปลูบหัวร่างเล็กนั้นในทันที
“ฮะๆ พี่ไม่ได้ช่วยอะไรพวกเรามากหรอกแค่ทุเลาความเจ็บปวดให้ชั่วคราวนั่นแหละ ฮีโร่ตัวจริงน่ะเป็นคุณหมอที่จะปรุงยาให้พวกเรานู่น” แน่นอนเขาช่วยอะไรเด็กพวกนี้ไม่ได้เลยมนตราธาตุแสงของเขานั้นทำได้แค่รักษาบาดแผลจากอาการบาดเจ็บและบาดแผลที่เกิดจากพลังพิเศษต่างๆเท่านั้นไม่อาจมาใช้ในการรักษาอาการเจ็บป่วยได้(จริงๆแล้วทำได้แต่ต้องเป็นสายรักษาขั้นสูงที่เรย์ไม่ได้ฝึกมา)
“ไม่หรอกครับพี่ชายขอบคุณพี่ชายมากเลย ทั้งพวกผมและทุกๆคนเลยด้วย” เสียงเล็กๆดังขึ้นมาจากทางด้านหลังซึ่งเป็นเสียงของเด็กชายคนนึงที่บัดนี้ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วโค้งคำนับให้กับเรย์ไปด้วย
“เดี๋ยวเถอะ ยังไม่หายดีเลย อย่าเพิ่งลุกออกมาวิ่งเล่นสิ” เสียงของคุณครูที่ควบตำแหน่งพยาบาลสาวดังขึ้นมาเมื่อเห็นเหล่าเด็กๆวิ่งเล่นกันหลังจากที่หายจากความเจ็บปวดแต่รอยยิ้มที่มุมปากของเธอนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอก็ยินดีกับการที่เด็กๆสามารถกลับมาวิ่งเล่นได้เช่นนี้อีกครั้ง
“เห็นมั้ยละ ที่ชั้นทำไปไม่ได้สูญเปล่านี่นะ” เรย์ขยิบตาให้อลันที่กำลังหิ้วปีกร่างของตัวเองอยู่ส่วนทางด้านของพ่อหนุ่มหน้าหวานที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่ถอนใจออกมาเบาๆ
“ก่อนจะอวดเก่งเดินเองให้ได้ก่อนเถอะครับ” เขาจนด้วยคำพูดเมื่อได้รับคำขอบคุณของเด็กๆเช่นนี้เขาจึงไม่มีอะไรจะพูดอีกก่อนที่เขาและคาซึกิจะช่วยกันพยุงร่างของเรย์กลับที่พักและพาไปในที่พักซึ่งห่างจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหลายกิโลเมตร
“เป็นแบบนี้ทุกทีเลยสิน้าเรย์ ชอบทำอะไรไม่คิดถึงตัวเองตลอดเลย” แม้ปากจะบ่นแบบนั้นแต่คาซึกิก็สังเกตได้ว่าบนใบหน้าของอลันประดับด้วยรอยยิ้มดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึกจับจ้องไปยังคนที่ตอนนี้ผล็อยหลับไปเป็นที่เรียบร้อยด้วยแววตาที่ปนเปกันไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
“หมอนี่เป็นแบบนี้ประจำเลยงั้นเหรอ?”
“ครับ เรย์เขาเป็นแบบนี้ประจำตั้งแต่ที่รู้จักกับผมแล้ว ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่วทั้งที่ในความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลย เป็นคนบ้าๆ ที่น่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอเลยล่ะ” ตลอดสองปีที่เขาร่วมงานกับเรย์มานั้นแม้จะเหนื่อยใจกับเรย์ในบางครั้งแต่ต้องยอมรับว่าเขาสนุกมากกับการได้อยู่ร่วมกับเรย์
“เอาละ งั้นเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนดีกว่านะครับ วันนี้เราก็เหนื่อยกันมาด้วย” อลันเดินเข้าไปในห้องพักของตัวเองเช่นเดียวกับคาซึกิที่ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องพักของตนเองด้วยเช่นกันแต่ก็ไม่วายตวัดดวงตาสีเขียวของตนไปมองประตูห้องที่ตนเพิ่งออกมา
“อืม ช่างเถอะนะ” คาซึกิเลิกสนใจก่อนเดินเข้าไปในห้องพักของตัวเองอย่างรวดเร็วเพราะเมื่อครู่สายลมในห้องนั้นมันแปลกไปราวกับว่าห้องที่ถูกปิดหน้าต่างเอาไว้นั้นถูกเปิดหน้าต่างออกมาแต่คงเป็นไปไม่ได้เมื่อเจ้าของห้องหลับอุตุอยู่บนเตียงนี่นะ
ภายในโรงงานเมืองอูรินแห่งนั้นแท้จริงแล้วสิ่งที่ผลิตอยู่ภายในนั้นเป็นยาเสพติดจำนวนมหาศาลที่ถูกผลิตขึ้นมาโดยมีการผลิตอาหารสินค้าการเกษตรแปรรูปเป็นการบังหน้าเท่านั้น
“หึๆ ต้องแบบนี้สิยาตัวใหม่ที่แรงกว่าเดิม แบบนี้ขายได้กว่ายาตัวเก่าหลายเท่าแน่” มาคัส แอนทีเร่เจ้าของโรงงานแห่งนี้หัวเราะอยู่ภายในโรงงานเมื่อมองดูสินค้ารุ่นใหม่ของตนเองที่จะทำเงินให้เขามากมายมหาศาลยิ่งกว่าเก่า
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องผิดกฎหมายแต่เขาไม่สนเพราะขอเพียงแค่จ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายก็สามารถเมินเฉยกับเรื่องพวกนี้ได้แล้วและแน่นอนเขามีเส้นสายในหน่วยงานต่างๆ ของประเทศดังนั้นเรื่องที่โรงงานของเขาจะถูกจับนั้นลืมไปได้เลยและใครก็ตามที่คิดจะเอาเรื่องของเขาไปแฉก็ถูกเขาเก็บมานักต่อนักแล้วและเจ้าหมอในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั่นจะเป็นรายต่อไป หากแต่ในตอนนั้นเอง
“แต่น่าเสียดายที่ของพวกนี้จะต้องสูญสลายไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี” เสียงอันเย็นเยือกดังขึ้นมาจากทางด้านหลังทำเอาร่างของมาคัสชะงักไปก่อนที่เขาจะหันไปหาต้นเสียงนั้นและสิ่งที่เขาพบเห็นก็ต้องทำให้เขาตะลึงงันไปในทันที
มีร่างของชายผู้หนึ่งในชุดคลุมสีดำมืดร่างทั้งร่างเป็นชุดคลุมสีดำสนิททั้วทั้งร่าง ผ้าคลุมสีดำผืนนั้นมีตราสัญลักษณ์ไม้กางเขนกลับหัวสีแดงดุจดั่งโลหิต แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือหน้ากากสีขาวซึ่งมีลายสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์คล้ายประกายแสงประดับอยู่ด้วย
“มาคัส แอนทีเร่ บาปของเจ้าคือการสร้างโรงงานผลิตยาเสพติดอันตราย และทำร้ายเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารวมไปถึงคนบริสุทธิ์มากมาย โทษทัณฑ์เพียงหนึ่งเดียวของเจ้าคือ ความตาย” สร้อยกางเขนที่มือซ้ายเปล่งแสงสีฟ้าพร้อมหมุนวนอย่างรวดเร็วก่อนที่ดาบแสงทั้งเจ็ดเล่มจะปรากฏขึ้นมาจากกลางอากาศในทันที
“โธ่เว้ย คนอื่นๆ ไปมัวมุดหัวอยู่ที่ไหนกันหมด” ดวงตาของมาคัสทอแววคับแค้นก่อนที่จะกระชับปืนในมืออย่างรวดเร็วเขารู้ดีว่าปืนแค่นี้นั้นไม่อาจที่จะทำอะไรมือสังหารตรงหน้าได้อย่างแน่นอน
“หมายถึงพวกนี้น่ะรึ” สิ้นเสียงคลื่นแสงก็ถูกซัดเข้าใส่กำแพงห้องอย่างรวดเร็วก่อนที่กำแพงห้องจะถูกทำลายในทันทีและมันก็เผยให้เห็นว่าลูกน้องของเขาทุกคนล้วนถูกฆ่าทิ้งไปจนหมดสิ้นแล้วทำเอามาคัสใจหายวาบไปในทันที
“หนอย แก” ปืนในมือถูกระดมยิงอย่างบ้าคลั่งแต่มันก็ไม่อาจฝ่าโล่มนตราของมือสังหารตรงหน้าไปได้เลยแม้แต่น้อยพร้อมกันนั้นเองที่คมดาบแสงทั้งหมดพุ่งเข้าทิ่มแทงร่างของศัตรูในทันที
ไร้ซึ่งความปราณี ไร้ซึ่งความลังเลเพียงครั้งเดียวคนผู้นั้นก็ถูกสังหารจนดับดิ้นส่วนทางด้านของมืองสังหารคนนั้นกลับไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อยดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นไม่ได้รู้สึกใดๆกับการต้องพรากชีวิตมนุษย์ไปเลยแม้แต่น้อย
“จงสาบสูญไปจากโลกนี้ซะ” พลังมนตราธาตุแสงหลั่งไหลออกมาจากร่างพริบตานั้นแสงสว่างสีฟ้าก็เจิดจ้าขึ้นอาบทั่วอาณาบริเวณอย่างรวดเร็วด้วยความรวดเร็วของแสง
ลำแสงสีฟ้าพุ่งลงมาจากฟากฟ้าส่องสว่างยามค่ำคืนไปหลายร้อยเมตรแต่ด้วยความที่โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่แถบชานเมืองทำให้ไม่มีผู้ใดได้เห็นแสงนี้เลยแม้แต่น้อยนอกจากเหล่าสัตว์น้อยใหญ่เท่านั้น
พลังทำลายล้างของแสงนี้นั้นทำให้โรงงานแห่งนี้ถูกทำลายในทันทีเกิดเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วแต่ความเสียหายก็มิได้ลุกลามเพราะพื้นที่บริเวณนี้ใกล้กับแม่น้ำไม่มีทางเข้าไปหาฝูงสัตว์ป่าได้และไม่มีบ้านคนด้วยสิ่งที่จะวอดมีเพียงโรงงานนรกแห่งนี้เท่านั้น
ส่วนทางด้านของมือสังหารผู้นั้นก็เลือนหายไปหลังจากแสงสว่างสายนั้นพุ่งลงมาเหลือทิ้งไว้เพียงความพินาศของสิ่งที่เป็นอันตรายกับโลกใบนี้
ในเช้าวันรุ่งขึ้นข่าวไฟไหม้โรงงานก็ลุกลามไปทั่วทั้งเมื่องอูรินแต่ไม่มีใครที่สามารถหาสาเหตุได้พบเลยจึงสรุปเพียงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงไฟฟ้าลัดวงจรเท่านั้น
“อืม หลับสบายเป็นบ้าเลยแฮะ” ทางด้านของเรย์บิดขี้เกียจหลังจากตื่นขึ้นมาความเหนื่อยอ่อนของร่างกายจากการใช้พลังมนตรานั้นหายเป็นปลิดพิ้งหลังจากได้นอนพักอย่างเต็มที่
“ เล่นนอนตั้งสิบสี่ชั่วโมงถ้ายังง่วงอีกก็แปลกละครับ ” เขาเป็นคนแบกเรย์เข้าไปนอนในห้องพักตอนหกโมงเย็นแต่กว่าเจ้าตัวจะตื่นขึ้นมาอีกทีนั้นก็เป็นเวลาแปดโมงเช้าน่าแปลกใจด้วยซ้ำที่สามารถนอนหลับได้ยาวนานถึงขนาดนี้
“ต้องขอขอบคุณพวกเธอมากจริงๆ นะ ไม่งั้นเราคงรักษาเด็กพวกนี้ไม่ได้แน่ ฮ้าว” ส่วนทางด้านของคุณหมอนั้นก็มีอาการง่วงหงาวหาวนอนอย่างเห็นได้ชัดขอบตาทั้งสองข้างดำสนิทจากการที่ต้องอดนอนทั้งคืน
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราทำตามที่ได้รับการจ้างวานมาเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องขอบคุณก็ได้” แน่นอนเรย์ย่อมปฏิเสธคำขอบคุณเพราะอันที่จริงที่เขามาทำงานนี้เพราะมันได้ค่าจ้างไม่ใช่ทำงานเพื่อการกุศลดังนั้นเขาจึงไม่ควรจะได้รับคำขอบคุณหรอก
“อะ ส่วนนี่ถือว่าผมสมทบทุนสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็แล้วกัน” เรย์ยื่นซองสีขาวซองนึงให้กับหมอคนนั้นภายในซองนั้นมีเงินจำนวนแปดพันเหรียญใส่อยู่ภายในด้วย
“จริงๆ ก็อยากให้มากกว่านี้หรอกแต่เพราะดันมีต้องส่งให้กับที่กองส่วนนึง และต้องแบ่งค่าแรงกันสามคนอีกเลยให้ได้เท่านี้จริงๆ” แน่นอนเขาไม่ได้ทำงานการกุศลดังนั้นจึงไม่อาจคืนเงินให้ทั้งหมดได้ทำได้แค่คืนไปได้เพียงครึ่งหนึ่งจากเงินส่วนที่ตนได้รับเท่านั้นเอง
“อะไรกัน เรย์ก็คิดเหมือนผมเลยเหรอเนี่ย” ทางด้านของอลันที่เห็นเช่นนั้นก็หยิบซองสีขาวของตนเองขึ้นมาเช่นกันด้วยความที่เขาเคยอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาก่อนเหมือนกันทำให้เขาไม่อาจทนมองเด็กพวกนี้อยู่เฉยๆได้
“ไอ้ฉันกับอลันเนี่ยยังไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก แต่ไม่นึกว่ากระทั่งนายก็ด้วยนะ คาซึกิ” ดวงคาสีฟ้าครามของเรย์ตวัดไปหาเจ้าคนหน้านิ่งที่ในมือถือซองขาวเอาไว้เช่นกันและถ้าให้เดาภายในนั้นก็คงเหมือนกับพวกเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ส่วนทางด้านของคาซึกินั้นไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรเจ้าตัวแค่ยื่นซองของตนเองเอาไว้เท่านั้นไม่ได้แสดงท่าทีใดๆผิดแปลกออกมาเลยแม้แต่น้อยนิด
“ขอบใจพวกเธอมากจริงๆ เราจะไม่มีวันลืมพวกเธอเลย ” แม้จำนวนเงินที่ได้มาจะไม่มากก็ตามแต่ความจริงใจของเด็กพวกนี้นั้นเขาสามารถรับรู้ได้ในทันทีก่อนที่พวกเรย์จะเดินทางออกจากเมืองอูรินกันในวันนั้นเอง
“โชคดีจริงๆ นะครับที่โรงงานแบบนั้นหายไปได้ พวกเด็กๆ จะได้ไม่ต้องทรมานกันอีกแล้ว” อลันที่นั่งรถโดยสารกลับเมืองลาเฟสต้ารู้สึกยินดีที่โรงงานซึ่งคอยเบียดเบียนพวกเด็กๆหายไปเสียได้ แม้การเกิดเหตุเพลิงไหม้จะไม่ค่อยดีก็ตามแต่ถึงแบบนั้นพวกเด็กๆก็จะไม่ต้องทรมานกันอีกแล้ว
“แต่มันแปลกเกินไป ทั้งการเผาไหม้ที่รวดเร็วจนเกินเหตุแถมยังไม่มีใครรอดจากเปลวไฟได้เลยอีก” แต่คาซึกิกลับรู้สึกแปลกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่รู้เป็นเพราะอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่าการที่ไฟไหม้ในครั้งนี้นั้นไม่ใช่เหตุการณ์ตามปกติ
คำพูดนี้ทำให้อลันครุ่นคิดเช่นกันเพราะสภาพของโรงงานที่พวกเขาเห็นนั้นมันมอดไหม้จนแทบจะไม่เหลือสภาพเพราะตัวโรงงานห่างไกลจากตัวเมืองพอสมควรแถมยังไม่มีใครแจ้งไปเลยด้วยทำให้การจะรู้ตัวโรงงานก็แทบจะพินาศไปทั้งหลังแล้วแต่มันดูราวกับว่าฝีมือคนจงใจทำไม่ใช่อุบัติเหตุ
“โรงงานแบบนั้นจะไหม้ก็ไม่เห็นแปลกเลย ถ้าทำงานสกปรกละก็ต้องมีรายการขัดผลประโยชน์กันอยู่แล้ว เจ้าพวกนั้นอาจมาแก้แค้นก็ได้คิดอะไรมาก” เรย์กลับไม่ค่อยได้สนใจเรื่องพวกนี้นั้นเพราะจะอย่างไรเสียมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อยไม่มีความจำเป็นใดต้องใส่ใจไม่ว่าใครจะเป็นจะตายยังไงก็ตาม
“ก็อาจจะจริง” คาซึกิก็คิดว่าคำพูดของเรย์นั้นเป็นไปได้การขัดผลประโยชน์แล้วมาทำลายกันเองเป็นเรื่องที่เคยเห็นกันอยู่แล้วยิ่งลงมือได้เงียบกริบและวอดวายทั้งหลังแบบนี้ด้วยแต่ถึงแบบนั้นไม่ว่าจริงๆแล้วเรื่องจะเป็นเช่นไรมันก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาอยู่ดี
“งั้นก็กลับกันเถอะ ชักหิวแล้วสิ เดี๋ยวไว้กลับไปกินข้าวฝีมือพี่ไรอาดีกว่า” ทางด้านของเรย์ที่หาวออกมาเล็กน้อยก่อนนอนหลับไปบนรถโดยสารเช่นเดียวกับอลันและคาซึกิที่เลิกสนใจประเด็นนี้ไปปล่อยให้ปริศนานี้จมหายลงไปในความมืดตลอดกาล
