บท
ตั้งค่า

chapter4-13

อีกด้านหนึ่งทางด้านของหญิงสาวที่กำลังอยู่ในห้องพักของตนเองนั้นในยามนี้กำลังนั่งมองเหล่าตุ๊กตาของตนที่แหลกสลายไปจนเกือบหมดจากการที่ต้องปะทะกับชายที่เป็นหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งผู้นั้น

“ถึงจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าจะต้องโค่นมิโนทอร์ของเราได้แน่นอน แต่มันก็เจ็บใจเหมือนกันนะเนี่ย” เธอไม่เคยคิดว่ามิโนทอร์จะสามารถโค่นศัตรูระดับนั้นลงได้หากเธอคิดจะสังหารฝ่ายนั้นจริงๆต้องวางแผนให้รัดกุมมากกว่านี้แต่ก็ไม่นึกว่าจะเอาชนะไปได้โดยไร้บาดแผลแบบนั้น

“แต่เอาเถอะ ยังไงก็ได้ข้อมูลของอัลคาน่าไปแล้วก็ไม่ถือว่าล้มเหลวซะทีเดียว หัวหน้าคงไม่โกรธเราหรอก มั้ง” เธอเหงื่อตกเล็กน้อยเมื่อภารกิจที่ตนทำนั้นพลาดไปเพราะมันอาจส่งผลกับชื่อเสียงของกลุ่มเธอได้แต่การต้องเจอกับหัวหน้าหน่วยทหารมนตราสองคนคิดว่าหัวหน้าเธอคงไม่น่าจะโกรธอะนะ

เสียงติดต่อจากเครื่องมือสื่อสารทำเอาแม่คนที่มีชนักความผิดติดหลังสะดุ้งก่อนยิ้มแหยแล้วเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือของตนมาแล้วก็ต้องเป่าปากออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าคนที่โทรมานั้นไม่ใช่คนที่เธอเพิ่งพูดถึง

“นี่มันหมายความว่าไง ทำไมงานประชุมถึงดำเนินไปได้ด้วยดี ฉันอุตส่าห์จ้างเธอเพื่อให้ล่มงานเจรจาบัดซบนี่นะ” เสียงที่ลอดมาตามปลายสายทำเอาเธอทำได้เพียงถอนใจเจ้านี่มันจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าคู่มือในครั้งนี้มันหนักหนาเกินกว่าการเตรียมการแบบขอไปทีจะจัดการได้

“เรื่องนั้นถือว่าเราผิดสัญญาเองค่ะ เราจะขอคืนเงินค่าจ้างวานทั้งหมดและจ่ายค่าผิดสัญญาไปด้วย แค่นี้นะคะ ขอตัว” เธอตัดสายโทรศัพท์ของตนทิ้งในทันทีพร้อมเปิดระบบบล็อกเบอร์โทรนี้ทิ้งอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากจะฟังเสียงบ่นจากนายจ้างไม่มีสมองอีก

“เดี๋ยวสิวะ เฮ้ย คิดว่าแค่ให้เงินมาเรื่องมันจะจบรีไง รู้ไหมฉันต้องเสียผลประโยชน์ไปเท่าไหร่หา นังตัวดี” ความโกรธยิ่งพุ่งพล่านเมื่อถูกตัดสายโดยไม่สนใจอะไรเช่นนี้เพราะเขาเป็นคนที่หวังให้งานเจรจาในครั้งนี้ล่มมากที่สุด

แต่แรกเริ่มเดิมทีแล้วเขาเป็นคนขอสัมปทานจากรัฐบาลหากแต่ติดที่ว่ามันเป็นพื้นที่ทับซ้อนรัฐบาลทั้งสองประเทศจึงตั้งใจดำเนินกิจการร่วมกัน เขาจึงวางแผนล่มงานเจรจาในครั้งนี้และทำให้ก่อสงครามจนสุดท้ายประเทศใดประเทศหนึ่งได้สิทธิไปเขาค่อยไปขอสัมปทานอีกครั้งหนึ่งเขาอุตส่าห์ทำให้สถานการณ์ในที่ประชุมตึงเครียดได้ถึงขั้นนั้นแล้วแต่กลับมีพวกที่มาทำลายแผนการของเขาจนพินาศสิ้นอย่างนักดนตรีวงนั้น

“คอยดูเถอะ เจ้าวงดนตรีบัดซบนั่น โดยเฉพาะนังผู้หญิงคนนั้นอย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุขอีกต่อไปเลย” ที่แผนการเขาล่มในครั้งนี้เป็นเพราะเจ้าวงดนตรีนั่นแท้ๆหากไม่มีพวกมันล่ะก็งานเจรจาในครั้งนี้ก็จบลงด้วยการนองเลือดไปแล้ว

“น่าเสียดาย แต่เจ้าคงไม่มีโอกาสได้ไปทำร้ายผู้ใดอีกแล้ว” เสียงแปลกปลอมที่ไม่ใช่เสียงของเขาดังขึ้นมาทำเอาคนที่กำลังอยู่ในห้องถึงกับชะงักเพราะแต่เดิมแล้วนี่เป็นห้องพักส่วนตัวที่เขาเหมาไว้ทั้งชั้นดังนั้นจึงไม่น่าจะมีใครอยู่ทางด้านหลังของเขาได้

หากแต่เบื้องหลังของเขาในยามนี้กลับมีร่างของชายผู้หนึ่งผู้ซึ่งสวมชุดสีดำสนิททั่วทั้งร่างจนดูราวกับปีศาจที่โผล่ขึ้นมาจากขุมนรก ผ้าคลุมสีดำผืนนั้นมีสัญลักษณ์ของวงเวทสีแดงเลือดอยู่ รวมไปถึงหน้ากากสีขาวที่มีวงเวทจำนวนนับไม่ถ้วนซ้อนทับกันอยู่จนดูไม่ต่างจากมารร้าย

“กะ แก เข้ามาที่นี่ได้ยังไง แล้วพวกบอร์ดี้การ์ดไปมุดหัวอยู่ไหน” เขาซัดศรไฟสวนกลับไปในทันทีเพียงพริบตาเดียวศรไฟหลายสิบดอกก็พุ่งเข้าใส่ร่างของบุรุษเบื้องหน้าหากแต่ในพริบตาต่อมาศรเพลิงเหล่านั้นกลับดับหายไปจนหมดสิ้น

“ฮัลโหล ถ้าหมายถึงเจ้าพวกนี้ล่ะก็ พวกข้าอัดหมอบไปตั้งชาติเศษแล้วเพิ่งจะรู้ตัวเรอะ” เสียงติดต่อผ่านเครื่องติดต่อที่ติดเอาไว้เผื่อเวลามีใครบุกเข้ามาจะได้สามารถเตรียมหลบหนีได้แต่ในยามนี้มันกลับถูกใช้เพื่อเพิ่มความหวาดกลัวให้เขาเป็นเท่าทวี

“เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน สร้างความขัดแย้งระหว่างสองประเทศโดยไม่ได้คำนึงถึงชีวิตที่จะสูญเสียไปเลย การกระทำของเจ้านั้นจักทำให้เลือดมากมายต้องหลั่งรินดังนั้นข้าขอตัดสินโทษประหาร” ปีศาจร้ายเบื้องหน้านั้นกล่าววาจาสุดแสนจะโอหังพร้อมกันนั้นเองที่ผืนแผ่นดินราวกับตอบสนองความต้องการของเขามันเริ่มสูบร่างของชายผู้นั้นให้จมลงไปในผืนดิน

“ปล่อยๆ ปล่อยฉัน ฉันยังไม่อยากตาย ขอร้องฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ อ๊าก” ชายผู้นั้นร้องโหยหวนและขอความเมตตาอย่างน่าเวทนาแต่ร่างในชุดดำกลับไม่ใสใจแม้แต่จะชายตาแลคำพูดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

“โทษทัณฑ์ที่เจ้าควรได้รับมีเพียงหนึ่ง นั่นคือจงจมลงสู่ก้นนรกไปซะ” น้ำเสียงอันเย็นเยือกของร่างในชุดดำที่ไม่ใส่ใจกับความตายของบุรุษผู้นั้นเลยก่อนที่ร่างในชุดดำจะหายวับไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ผู้ที่ปองร้ายต่อความสงบสุขจมหายลงไปในพืนพิภพเช่นนั้น

อีกด้านหนึ่งทางด้านของพวกเรย์นั้นหลังจากพักผ่อนหลังงานจบกันประมาณวันสองวันพวกเขาก็ตรงดิ่งกลับเมืองลาเฟสต้าในทันทีบาดแผลที่ถูกยิงของเรย์นั้นเริ่มดีขึ้นจนใกล้หายสนิทแล้วจากความสามารถของโลหิตแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่เริ่มกลับมาทำงานเต็มรูปแบบแต่ทางด้านของครอสนั้นดูจะมีปัญหามากกว่าโขเลย

“พี่ผู้หญิงคนนี้เป็นใครน่ะ” แม่น้องสาวหรี่ตาลงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าที่ควรเมื่อพบว่าพี่ชายของตัวเองพาใครที่ไหนไม่รู้กลับมาด้วย ในยามนี้นั้นนอกจากสมาชิกดั้งเดิมที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกันแล้วยังมีสมาชิกใหม่ที่เกาะตามมาอีกหนึ่ง

เธอเป็นหญิงสาวในชุดกี่เพ้าเรือนผมสีดำเงางามเป็นสเน่ห์อย่างคนตะวันออก ดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่ราวกับเป็นแม่น้ำที่ใสกระจ่าง รอยยิ้มอันอ่อนหวานและนุ่มนวลจนเกิดเป็นความงดงามที่เกินกว่าจะบรรยายได้ ที่สำคัญสัดส่วนของเธอนั้นก็นับว่าทำให้ผู้หญิงคนอื่นอิจฉาเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะหน้าอกหน้าใจที่เต็มไม้เต็มมือนั่น

“เอ่อ เป็น สมาชิกใหม่ของหน่วยที่หนึ่ง” เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าปัญหาที่หนักหนาที่สุดนั้นไม่ใช่การโค่นมิโนทอร์แต่เป็นการตอบคำถามว่าแม่สาวคนนี้เป็นใครหากว่าเขารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ล่ะก็เขายอมเสียศักดิ์ศรีให้เจ้าเรย์ออกมาช่วยดีกว่า

“หรอ แล้วทำไมต้องกอดแขนแบบนั้นด้วย” แค่พาผู้หญิงมาด้วยก็ว่าหนักแล้วแต่ที่หนักหนากว่านั้นคือผู้หญิงคนนี้นั้นดันกอดแขนของเขาตลอดเวลาอีกต่างหากแถมพอจะบอกให้ปล่อยเธอก็จะส่งสายตาอ้อนๆมาทำให้เขาสิ้นคำพูดไปทุกที

“ท่านคือน้องสาวของนายท่านสินะเจ้าคะ ข้าชื่อหลินเหมยฮัว เป็นทาสของนายท่านครอสค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะคุณน้อง” เธอขยิบตาให้กับเนียร์หากแต่คำพูดของเธอนั้นราวกับเป็นการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เข้าใส่เขาโดยตรงเลยเสียด้วยซ้ำ

ในตอนแรกนั้นเนียร์ถึงกับอ้าปากค้างไปในทันทีกับคำพูดของเธอ ก่อนที่พริบตาต่อมาดวงตาสีแดงทับทิมของแม่น้องสาวนั้นจะหันขวับมาหาพี่ชายราวกับว่าต้องการทำอธิบายในเรื่องนี้อย่างละเอียดที่สุดพร้อมกับที่ในมือมีมีดสั้นวาววับเล่มหนึ่งอยูด้วย

“ไม่ใช่แบบนั้น พี่ไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนะ” แค่มองก็รู้แล้วว่าแม่น้องสาวของเขาใกล้ฟิวส์ขาดเต็มทีหากไม่รีบแก้ความเข้าใจผิดลูกโตนี้ล่ะก็รับรองได้ว่าเป็นเรื่องยาวแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสายลมที่เริ่มปั่นป่วนทั้งที่พวกเขาอยู่ในห้องพักของรถไฟอย่างดีแท้ๆ

“นายท่านใจร้ายจังนะเจ้าคะ ทั้งที่ท่านตีตราเป็นเจ้าของข้าไปแล้วแท้ๆ” คำพูดของเทพแห่งวารียิ่งทำให้เขาเข้าใกล้ความตายมากยิ่งขึ้นไปอีกเสียงตัดพ้อที่ราวกับจะน้อยใจนั้นแม้ฟังดูแล้วมันจะรื่นหูก็ตามหากแต่ทำให้ครอสเย็นสันหวังวาบ

“ฉันไปทำแบบนั้นกับเธอตอนไหน” ถ้ายังไม่รีบทำอะไรสักอย่างงานนี้เขาไม่ได้อยู่อย่างสงบแน่นอนเขาจึงพยายามเค้นสมองทุกวิธีทางว่าตนจะสามารถหาคำพูดอะไรที่ทำให้คำพูดของเธอคนนี้เป็นเพียงคำพูดเล่นได้หากแต่ก็ควรจะรู้ไว้ว่าเรื่องบางเรื่องยิ่งพูดมันยิ่งเข้าตัว

“ทั้งที่นายท่านได้ทั้งกายและหัวใจของข้าไปแล้วแต่กลับพูดจาแบบนี้ ข้ายังจำความรู้สึกตอนที่พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันได้อยู่เลย ในตอนนั้นท่านเป็นขอข้าเริ่มเสียด้วยซ้ำไป ตอนแรกข้าก็อายแต่เป็นเพราะนายท่านข้าถึงได้ยอมอดทนแม้ในตอนท้ายๆข้าจะยอมรับว่าเผลอเคลิ้มไปเล็กน้อยก็เถอะ” ดูท่าทางงานนี้จะกู่ไม่กลับแน่ๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองของเขาก่อนที่เขาจะตวัดสายตาไปหาแม่น้องสาวที่ในยามนี้ริมฝีปากบางของเธอสั่นระริกราวกับไม่อยากเชื่อคำพูดของผู้หญิงคนนี้

แต่อันที่จริงสิ่งที่เธอพูดมามันก็ไม่ได้ผิดไปนักที่บอกว่าเขาตีตราเธอไปแล้วนั้นก็หมายถึงที่ว่าเขาทำให้เธอกลายเป็นเทพใต้อาณัติก็ถือว่าเป็นการตีตราเป็นเจ้าของเช่นกัน ส่วนเรื่องที่บอกว่าเขากับเธอเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นตอนใช้จำแลงร่างเทพจะบอกว่าเขากับเธอเป็นหนึ่งเดียวกันก็ไม่ถือว่าผิด และที่บอกว่าเขาเป็นคนขอเริ่มนั้นก็หมายถึงเขาเป็นขอเริ่มพันธะสัญญาและจำแลงร่างเทพเองก็นับว่าถูกอีกที่เหลือนั้นก็ก้ำกึ่งเพราะเขาไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่เนื่องจากมันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของเธอแต่ ที่เขารู้แน่ๆก็คือพอเอามารวมกันแล้วหลุดออกมาจากปากของเทพองค์นี้มันกลายเป็นความวิบัติยิ่ง

“มาตอนนี้นายท่านได้ทุกสิ่งทุกอย่างของข้าไปแล้วก็จะทิ้งข้าหรือเจ้าคะ อย่าทำแบบนั้นเลยขอให้ข้าได้ปรนิบัติรับใช้นายท่านเถอะนะเจ้าคะ จะในฐานะอะไรหรือจะให้ทำอะไรข้าก็ยินยอมทั้งนั้นแต่โปรดอย่าทิ้งข้าไปเลยค่ะ” ไม่เพียงหายนะแต่นี่มันราวกับวันสิ้นโลกชัดๆงานนี้เขาดูท่าทางจะต้องหาตัวช่วยเสียแล้วก่อนที่เขาจะเหล่มองไปทางด้านเทพแห่งเปลวเพลิง

“คร่อก” ราวกับรู้ตัวเพราะเจ้าเทพแห่งเปลวเพลิงนั้นส่งเสียกรนขึ้นมาทันตาทั้งที่เมื่อครู่มันยังนั่งกินขนมอยู่เลยแท้ๆซึ่งไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่ามันตั้งใจจะแกล้งตายหนีเพื่อให้ไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้ทำให้ครอสได้แต่สาปแช่งเจ้าเทพใต้อาณัติในใจ

“โทษทีครอส ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องครอบครัวชาวบ้าน” เจ้าเรย์ที่รู้ตัวเช่นกันว่าโดนจ้องขอความช่วยเหลือแต่รายนี้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแถมยังสร้างโล่มนตรากั้นเอาไว้ราวกับว่าไม่ว่าเขาจะเป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่ขอรับรู้โดยเด็ดขาด

“มี-อะ-ไร-จะ-สั่ง-เสีย-ไหม-คะ-พี่-ชาย” น้ำเสียงของแม่น้องสาวเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงคลื่นพลังมนตราที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นส่งผลให้สายลมโดยรอบเริ่มตรงเข้าขัดขวางเส้นทางการหนีของเขาทำให้ครอสได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื้อกก่อนเริ่มมหกรรมหนีตายภายในรถไฟ

“เหอะๆๆ ขอให้โชคดีมีชัยนะสหาย” เรย์ที่อยู่เบื้องหลังโล่มนตราโบกมือให้เพื่อนของตนเองอย่างอารมณ์ดีเพราะงานนี้ท่าทางเจ้าครอสนอกจากจะต้องเคลียร์กับน้องสาวแล้วยังต้องเคลียร์กับทางบ้านอีกดังนั้นเขาจึงสวดอวยพรล่วงหน้าให้เพื่อนของตนโดยไม่รู้สักนิดว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านตัวเขาเองก็ต้องมีปัญหาเหมือนกัน

“เฮ้อ เหนื่อยจริงเลยภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจระดับAที่ไม่ค่อยคุ้มค่าจ้างเลยจริงๆ” อันที่จริงแล้วเงินที่เขาได้รับนั้นไม่จัดว่าต่ำหากแต่เนื่องด้วยภารกิจครั้งนี้ต้องแชร์กันหลายคนโดยเฉพาะฝากของเจ้าครอสที่ไปๆมาๆมีเทพรับใช้ตั้งสององค์เลยได้รับส่วนแบ่งเยอะไปด้วยทั้งที่เขาอยากจะนับแค่เจ้าครอสคนเดียวแท้ๆเขาจึงแอบช่วยเหลือเนียร์ในตอนที่เจ้าครอสกำลังหนีภายในรถไฟเป็นครั้งคราว

“อืม ถามว่าเหนื่อยไหมก็คงตอบว่าไม่เหนื่อยเท่าไหร่ แต่ผมหมดค่ากระสุนไปเยอะเลยนะครับเนี่ย” เจ้าหนุ่มหน้าหวานที่มองปริมาณกระสุนของตัวเองแล้วรู้สึกใจหายเล็กน้อยที่กระสุนของตนนั้นหายไปเกือบๆสองร้อยนัดทีเดียว

“ขอตัว” ทางด้านของคาซึกิที่รับเงินค่าภารกิจและรายงานผลของภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าตัวก็ก้าวฉับออกไปจากบริเวณนี้ในทันทีโดยไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับคนอื่นเลยแม้แต่น้อยทำให้ทางด้านของเรย์นั้นได้แต่ถอนใจ

“เจ้าหมอนั่นเมื่อไหร่มันจะยอมเปิดใจมาคุยกันสักทีน้าอุตส่าห์อยู่หน่วยเดียวกันแล้วแท้ๆ จะได้เป็นเพื่อนกันจริงๆ สักที” เขารู้ว่าคาซึกินั้นเป็นคนแบบนี้จึงไม่อยากว่าแต่ขนาดผ่านภารกิจมาด้วยกันสองครั้งแล้วความเป็นศัตรูก็ไม่ได้ลดลงไปเลยจนเขาอดเหนื่อยใจไม่ได้

“ว่าแต่อลันไปฉลองกันหน่อยมะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง วันนี้นายอยากกินอะไร” แน่นอนว่าแม้จะเหลือสองคนแต่ทางด้านของเรย์ก็ไม่ได้ล้มเลิกความคิดที่จะไปฉลองหลังทำภารกิจสำเร็จแม้มันจะไม่ได้เป็นภารกิจที่ยากอะไรเลยก็ตามทีเถอะ

“อืม วันนี้เอาเป็นสเต็กแล้วกันครับ” แม้จะเป็นอาหารที่แพงไปสักหน่อยแต่เรย์ก็ไม่ว่าอะไรยังไงเสียเขาก็ออกแค่ค่าวัตถุดิบเท่านั้นอยู่แล้วก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปยังร้านอาหารที่เป็นบ้านของเรย์ไปด้วยความรวดเร็ว

“ยินดีต้อนรับค่า ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีคะ” เสียงทักทายในทันทีที่เขาเปิดประตูร้านเข้ามาทำเอาเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะตามปกติแล้วเรเดียนั้นมักทักทายเขาว่าพี่ชายเสมอไม่ใช่มาเป็นรูปแบบพนักงานต้อนรับเช่นนี้

แต่ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกแปลกใจเพราะนี่มันไม่ใช่น้ำเสียงของเรเดียแม่น้องสาวจอมป่วนแสนร่าเริงคนนั้นเสียหน่อยเพราะน้ำเสียงของเรเดียจะเต็มไปด้วยความสดใสเหมือนเด็กๆแต่น้ำเสียงของผู้หญิงคนนี้ไพเพราะและใสกังวานจนชวนฟังอย่างน่าประหลาดแต่เดี๋ยวก่อนน้ำเสียงนี้มันคุ้นๆอยู่ก่อนที่เขาจะตวัดสายตาไปหาต้นเสียง

ร่างที่อยู่เบื้องหน้าของเขาเป็นผู้หญิงในชุดเมดที่เรเดียเย็บเองอย่างไม่ต้องสงสัย เรือนผมสีเหลืองอ่อนนั้นถูกผูกเอาไว้เป็นเปียอย่างน่ารัก ดวงตาสีอำพันคู่นั้นมีแต่ความสดใสและจริงใจรวมไปถึงรอยยิ้มอารมณ์ดีของเธอหากบอกว่าเรเดียเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงสดใส ร่างที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องเป็นเด็กสาวที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ

“ทะ ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ฟะคานาเดะ ฉันนึกว่าเธอไปแสดงที่อื่นแล้วซะอีก” ตอนแรกเขาเหวอไปเล็กน้อยว่าตนเองตาฝาดไปหรือเปล่าเช่นเดียวกับอลันที่ดูจะแปลกใจมากเช่นกันส่วนทางด้านของแม่สาวเบื้องหน้ากลับหัวเราะเบาๆ

“ไม่มีการแสดงแล้วล่ะวงออร์แลนเทียน่ะไม่มีอีกแล้ว นั่นเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของพวกเรา เซร่าน่ะท้องได้สองเดือนแล้วเลยว่าจะไปวางแผนการใช้ชีวิตครอบครัวกับเทโอและแต่งงานกัน อาเธอร์ก็มีงานกับวงอื่นแล้ว ส่วนชานันบอกว่าหลังจากหายดีจะออกเดินทางตามใจฉัน สุดท้ายเลยเหลือฉันคนเดียวที่ยังไม่มีจุดหมาย” เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็อดเหงาหงอยเล็กๆไม่ได้ที่ทุกคนในวงต่างมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตของตนเองทุกคนแต่เธอกลับไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ

จะให้เล่นดนตรีต่อมันก็ได้อยู่แต่โดยส่วนตัวแล้วในตอนนี้เธออยากพักบ้างไม่ใช่เธอไม่อยากเล่นดนตรีแล้วแต่พอเธอได้ฟังแนวคิดเกี่ยวกับการเล่นดนตรีของเรย์แล้วเธอก็คิดว่ามันน่าสนุกดีเหมือนกันเลยคิดจะลองติดตามคนที่มีตรรกะประหลาดแบบนี้ดู

“ฉันยังไม่ได้ฟังนายเล่นไวโอลีนเลย ฉันเลยตัดสินใจว่าจะลองมาอยู่ที่เมืองนี้ดูและก็ขอสมัครงานกับคุณไรอาเขาตอนนี้ก็ได้เป็นพนักงานในร้านนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ” เธอหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสีหน้าเหวอเหมือนไม่อยากจะเชื่อของเรย์เข้าตอนแรกเขาสัญญาไปเล่นๆไม่นึกว่าแม่นี่จะเอาจริง

“พี่ชายกลับมาแล้ว พี่คานาเดะเขาเป็นคนดีมากเลยล่ะเล่นไวโอลีนให้หนูฟังด้วยเล่นได้เพราะเกือบเท่าพี่ชายเลยนะแต่ยังไงก็ยังสู้พี่ชายไม่ได้อยู่ดี” แม่น้องสาวตัวน้อยโผล่ออกมาทักทายพี่ชายของเธออย่างร่าเริงเธออยู่ในชุดเมดเหมือนกับแม่สาวนักดนตรีไม่ผิดเพี้ยนพลางยิ้มแย้ม

“คานาเดะเขามาช่วยงานที่ร้านเพราะอยากให้พี่สอนเขาทำอาหารน่ะจ้ะ พี่เลยรับเขาเข้าทำงานแล้วสัญญาว่าหลังร้านเลิกจะสอนให้” เขาไม่แปลกใจในเรื่องของพี่ไรอาเพราะตามปกติพี่สาวของเขานั้นก็เป็นคนใจดีอยู่แล้วหากแต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือการที่แม่สาวนี่สามารถตีสนิทกับคนในบ้านของเขาได้ในเวลาเพียงวันสองวันต่างหาก

“ดูท่าทางเราคงได้เจอกันอีกนาน ฝากตัวอีกครั้งนะครับ ผมอลัน แม็คดาเลน” พ่อหนุ่มหน้าหวานที่ดูจะขบขันกับท่าทางของเพื่อนตนเองไม่น้อยเพราะเพิ่งแกล้งครอสไปหมาดๆแต่ดูเหมือนว่าปัญหาแบบเดียวกันจะวิ่งมาหาเจ้าตัวเช่นกันแม้จะไม่หนักหนาเท่าก็เถอะ

“นี่มันอะไรกันว้อย!!” เสียงของเรย์ที่ดังก้องไปทั่วร้านท่ามกลางรอยยิ้มของอลันและเสียงหัวเราะของคานาเดะได้เป็นอย่างดี

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel