chapter4-12
บรรยากาศโดยรอบนั้นเยือกเย็นและหนาวเหน็บขึ้นมาทันตาบนใบหน้าของครอส คานิวาลในยามนี้นั้นประด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยือกจนน่าหวาดหวั่นกระทั่งอาชูร่าที่ดูอยู่รอบนอกยังอดขนลุกกับคลื่นพลังมนตราของเจ้านายตัวเองในยามนี้ไม่ได้
“ฮูม” แต่มิโนทอร์ดูจะไม่มีสติปัญญามากพอเพราะในทันทีที่มันเห็นว่าบุรุษเบื้องหน้าขัดขวางการโจมตีของมันก็พุ่งเข้าใส่ในทันทีแม้ในมือของมันในตอนนี้จะไม่มีขวานคู่มือแล้วก็ตามแต่ถึงแบบนั้นพละกำลังของมันก็ไม่อาจดูถูกได้
ร่างของครอสนั้นเอี้ยวหลบการพุ่งเข้ามาของมิโนทอร์ไปได้อย่างง่ายดายไม่เพียงเท่านั้นเขายังทำการชกสวนกลับไปหมัดหนึ่งด้วยก่อนถอยหลบฉากออกมาอย่างไม่รีบร้อนปล่อยให้มิโนทอร์พุ่งไปทางด้านหลังโดยเปล่าประโยชน์แทน
บริเวณที่ถูกหมัดของครอสต่อยนั้นถูกแช่แข็งไปในชั่วพริบตาแสดงถึงอานุภาพในการโจมตีของเขาได้เป็นอย่างดีหากแต่มันไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะในวินาทีต่อมาสายน้ำก็มารวมตัวกันที่มือขวาของเขาและแปรเปลี่ยนเป็นแส้เส้นหนึ่ง
แส้หวดลงบนร่างของมิโนทอร์ดังขึ้นมาพร้อมกับที่มันคำรามลั่นด้วยความเคืองแค้นแส้น้ำนี้อาจไม่ได้สร้างความเสียหายให้มันมากนักในทีแรกแต่เมื่อถูกกระหน่ำใส่เช่นนี้ต่อให้มีร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผาใดๆก็ไม่อาจต้านทานได้อยู่ดี
“ฮูม” เสียงของมิโนทอร์ร้องคำรามพร้อมกับที่มันเร่งพลังของตัวเองขึ้นมาสร้างเปลวเพลิงจนทำให้แส้น้ำที่อยู่ในมือของเขานั้นระเหยกลายเป็นไอไปทันตา ดวงตาของมันฉายชัดถึงความคลั่งแค้นก่อนพุ่งทะยานเข้าใส่ร่างของครอสอีกคราหนึ่ง
“อ้า แย่จังว่าจะขอเล่นอีกสักหน่อย แต่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” ตอนแรกนั้นเขาอยากจะลองใช้พลังของเทพองค์ใหม่ให้คล่องมือดูเสียหน่อยแต่ดูเหมือนจะต้องเป็นโอกาสหน้าเพราะตอนนี้พลังมนตราของเขาเริ่มลดถอยจนเข้าเกณฑ์อันตรายแล้วหากไม่รีบปิดบัญชีเขาจะเป็นฝ่ายแย่เสียเอง
“ผลึกเหมันต์นิรันดร์” ในวินาทีที่ร่างของมิโนทอร์กำลังจะปะทะกับร่างของเขานั้นเองครอสอาศัยจังหวะนั้นยื่นมือมาด้านหน้าแล้วปลดปล่อยมนตราออกไปโดยตรงเพียงพริบตาเดียวร่างของอสูรเบื้องหน้าก็ถูกแช่แข็งในทันที
“จงแตกสลายกลายเป็นผงธุลีเสียเถอะ” เสียงใสกังวานดุจดั่งแก้วที่แตกกระจายหากแต่สิ่งที่แตกนั้นกลับเป็นร่างของมิโนทอร์ที่ถูกแช่แข็งและขวานของมันก่อนที่พลังมนตราที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของครอสจะสลายหายไปสิ้น
“อุก” ร่างของครอสทรุดลงกับพื้นเม็ดเหงื่อจำนวนมากไหลออกมาจากร่างราวเขื่อนแตกจากการสูญเสียพลังกายและพลังมนตราไปมหาศาลการก้าวเท้าเข้าสู่โลกแห่งเทพและทำสัญญากับเทพเหล่านั้นกินแรงของเขาไปมากกว่าที่คิดเขาจึงได้เร่งปิดบัญชีเพื่อจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระการสูญเสียพลังมนตราอีก
“เป็นอะไรมากไหมเจ้าคะ นายท่าน” ร่างๆหนึ่งตรงเข้ามาพยุงร่างของเขาอย่างรวดเร็วซึ่งแน่นอนว่าเขาจำเสียงนี้ได้ดีว่าเธอย่อมเป็นเทพแห่งวารีอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรแค่สูญเสียพลังมนตรามากไปหน่อยเท่านั้นแหละ ว่าแต่จะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไรดีล่ะ” เขาไม่ได้สนใจร่างกายของตนเองมากมายนักในเวลานี้สิ่งที่เขาสนใจคือแม่เทพสาวข้างตัวเสียมากกว่าเพราะการยอมรับให้เป็นเทพใต้อาณัติเท่ากับว่านับแต่นี้ไปเขาต้องเป็นคนดูแลชีวิตของเธอ
“กรุณาเรียกข้าว่า‘เสี่ยวหลิน’ด้วยเถอะเจ้าค่ะนายท่าน” รอยยิ้มบางเบาประดับอยู่บนใบหน้าอันอ่อนโยนของเธอพร้อมกับพยุงร่างของเขาขึ้นเดินอย่างนุ่มนวลหากแต่ไม่เพียงเท่านั้นเพราะส่วนที่มีขนาดใหญ่เกินเกณฑ์ทั่วไปนั้นกำลังขยับไปมาจากการเคลื่อนไหวอันหนักหน่วงของเธอจนทำให้ครอสได้เผลอมองตามอย่างอดไม่ได้
“ฮะ เฮ้ย ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยัยเหมยฮัว” เสียงตะโกนด้วยความตื่นตระหนกจากเทพแห่งเปลวเพลิงที่นั่งดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ ในยามนี้เทพอาชูร่าผู้เกรียงไกรกลับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงพร้อมกับชี้มายังหญิงสาวร่างบาง
“อ้อ ท่านเทพแห่งเปลวเพลิงอาชูร่านี่เอง ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะเจ้าคะ ดูเหมือนจะยังคงจำข้าได้เป็นอย่างดีสินะ” น้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนหวานของเธอไม่ฉายแววแปลกใจที่ได้พบกับอาชูร่าเลยแม้แต่น้อยเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นเทพใต้อาณัติเช่นเดียวกัน
“แหงสิ ใครจะไปลืมยัยเทพสุดถึกอย่างเธอ” ไม่ทันทักทายกันจบคำดีแส้น้ำก็หวดใส่ร่างของเทพแห่งเปลวเพลิงจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่าและไม่จำเป็นต้องเดาว่าเกิดจากฝีมือของใครหน้าไหนนอกเสียจากเทพแห่งวารีข้างตัวของเขานี่แหละ
“แหมๆ อย่าพูดจาเสียมารยาทแบบนั้นสิคะท่านเทพแห่งเปลวเพลิง หรืออยากให้ข้าอบรมมารยาทให้ท่านสักรอบดีเจ้าคะ” แม้ใบหน้าจะยังคงมีรอยยิ้มก็ตามหากแต่ทางด้านของอาชูร่ากลับรู้สึกหนาวเหน็บเหมือนดั่งอยู่ในพายุหิมะไร้ทางออก
“ขออภัยด้วยครับ อย่าทำแบบนั้นเลย” เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเทพแห่งเปลวเพลิงยกมือขอยอมแพ้ทั้งที่ผ่านๆมาไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งเพียงไรเจ้าตัวยังไม่มีคำว่าถอยจนเขาอดอ่อนใจไม่ได้แท้ๆแต่มายามนี้กลับหวาดกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ต้องแบบนั้นสิคะ ข้าทำสัญญากับนายท่านเป็นเทพใต้อาณัติเรียบร้อยแล้ว นับแต่นี้ไปข้าหลินเหมยฮัวขอฝากตัวกับท่านด้วยนะคะ รุ่นพี่” น้ำเสียงของเธอแม้จะอ่อนหวานและนุ่มนวลแต่อาชูร่ากลับหนาวสั่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดส่วนทางด้านอาชูร่าที่ได้ยินดังนั้นก็วิญญาณหลุดออกจากร่างราวกับต้องการหลีกหนีจากความจริง
“เอาละ ไปพักกันเถอะค่ะท่านครอส เรายังต้องทำความรู้จักกันอีกมากเลยนะเจ้าคะ” เธอเป่าลมหายใจอุ่นเข้าใส่ต้นคอของเขาทำเอาครอสสะดุ้งไปเล็กน้อยพร้อมกับที่เธอค่อยๆประคองร่างของเจ้านายของตนไปอย่างเชื่องช้าและนิ่มนวล
‘นี่ตูไปเอาเทพอะไรมาทำสัญญาด้วยวะเนี่ย’ ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวของเขาเมื่อเห็นท่าทางของอาชูร่าที่สั่นเป็นเจ้าเข้าหวาดกลัวถึงขีดสุดจนเขาไม่รู้แล้วว่าเทพแห่งวารีองค์นี้นั้นนิสัยเป็นเช่นไรกันแน่เพราะดูเผินๆนั้นเธอสุภาพอ่อนโยนขนาดนี้แท้ๆ
ทางด้านของเรย์หลังจากจบการเล่นดนตรีในนั้นก็ถือว่างานของวงออร์แลนเทียได้สิ้นสุดลงแล้วเขาจึงมาหาที่นั่งพักผ่อนอย่างเงียบงันขณะที่กำลังดื่มน้ำไปด้วย
“ให้ตายสิ วันนี้เหนื่อยชะมัดเลยแฮะ” เรย์เปรยเบาๆขณะดื่มน้ำหวานเข้าไปอึกหนึ่งงานในวันนี้นั้นแม้ไม่ต้องไปสู้รบกับใครก็ตามแต่การเล่นดนตรีให้คนอื่นที่ไม่ใช่คนที่เขาอยากให้เล่นให้ได้ฟังนั้นทำให้เขาต้องฝืนตัวเองเป็นอย่างมาก
มือข้างหนึ่งของเขาจรดอยู่ที่เนคไทที่อยู่บนคอพร้อมกับเตรียมแกะมันออกและโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอลันอุตส่าห์เป็นคนผูกให้ทั้งทีมือของเขาก็หยุดชะงักลงก่อนที่เขาจะถอนใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“แต่เอาเถอะก็ไม่ได้มีแต่เสีย อย่างน้อยเล่นดนตรีคู่กับยัยนั่นก็นับว่าสนุกดีละนะ” ต้องยอมรับความสามารถในทางดนตรีของชิโรคาวะ คานาเดะจริงๆนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ร่วมบรรเลงดนตรีร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสนุกสนานเช่นนี้
“ใช่ไหมละ ฉันก็สนุกมากเลยนะ” เสียงจากยัยนั่นที่เขากล่าวถึงดังขึ้นมาพร้อมกับที่ร่างของแม่สาวนักดนตรีที่อยู่ในชุดราตรีสุดแสนจะแตกต่างไปจากปกติก่อนที่เธอจะถือวิสาสะเขามานั่งด้านข้างของเขาโดยไม่ขออนุญาตแม้แต่น้อย
“แต่ไม่เคยนึกเลยนะว่านายจะเก่งเปียโนขนาดนี้ ตอนแรกนึกว่านายเก่งไวโอลีนอย่างเดียวซะอีก” เธอแปลกใจไม่น้อยที่เขาเล่นเปียโนได้ดีถึงขนาดนี้แม้จะคาดไว้แล้วว่าการที่เขากล้าเสนอตัวเองแบบนี้ต้องหมายความว่าเขาต้องมีฝีมือพอตัวแต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าจะเก่งได้ขนาดนี้
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้เก่งแค่พอเล่นเป็น เปียโนเนี่ยฉันก็แค่ลองฝึกเล่นดูแล้วมันเป็นไปเองนั่นน่ะ” เป็นความสัตย์จริงอย่างหาที่สุดไม่ได้เพราะแรกเริ่มเดิมทีแล้วเปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะเล่นเลยแม้แต่น้อยแต่ไปๆมาๆกลับถนัดมันรองจากไวโอลีนเสียนี่
“ขนาดนี้ยังเรียกว่าไม่เก่งถ้าชานันมาได้ยินเข้าคงร้องไห้แหงเลย” เธอหัวเราะเบาๆเพราะขนาดคนที่เล่นเปียโนได้ถึงระดับนี้ยังบอกว่าตัวเองไม่เก่งเธอก็ไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าจะยังเหลือใครที่กล้าบอกว่าตัวเองเล่นดนตรีเก่งอยู่บ้าง
“แต่ฉันต้องยอมรับนะว่าเธอเล่นดนตรีได้สุดยอดจริงๆ กระทั่งฉันยังต้องยอมรับเลยว่าดนตรีที่เธอเล่นออกมาในวันนี้น่ะไพเราะแทบจะที่สุดจากที่เคยได้ยินมาเลย” ต้องยอมรับเลยว่านอกจากคุณแม่และท่านอาจารย์ของเขาแล้วไม่เคยมีดนตรีของใครอีกเลยที่เขาได้ฟังการบรรเลงแล้วจะจัดว่าไพเราะนอกเสียจากเธอคนนี้
“ใช่ไหมละ บอกแล้วไงว่าถ้าเรื่องเล่นดนตรีน่ะฉันถนัดที่สุดแล้ว” แม่สาวที่ได้รับคำชมนั้นรู้สึกยินดีไม่น้อยแม้ว่าที่ผ่านๆมาเธอจะได้รับคำชมมามากมายแต่เธอก็ไม่ดีใจเท่ากับการได้รับคำชมจากเขา ได้รับคำชมจากคนที่มีฝีมืออยู่ในระดับเดียวกัน
“การเล่นดนตรีครั้งนี้น่ะสนุกดีนะ ถึงจะมีเรื่องหวาดเสียวหลายอย่าง เฉียดตายก็หลายครั้ง แต่สำหรับฉันแล้วมันคุ้มค่ามากเลย” ไม่มีการแสดงดนตรีในครั้งไหนเลยที่เธอจะรู้สึกอารมณ์ดีเท่านี้ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่พอได้เล่นดนตรีร่วมกับเขารู้สึกตัวเองปลอดโปร่งอย่างประหลาด
“การถูกเผ่าอสูรโจมตี การวิ่งหนีลูกกระสุนกับการเกือบตายเพราะยาพิษนี่มันคุ้มตรงไหนล่ะ แม่คุณเอ๊ย” เสียงประชดประชันของเรย์ที่อดปากไว้ไม่ได้เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าการที่ต้องถูกปืนยิงกระหน่ำใส่และการถูกวางยาพิษแบบนั้นมันคุ้มตรงไหน
“คุ้มสิอย่างน้อยการได้มาเล่นดนตรีในครั้งนี้ฉันก็ได้ฟังดนตรีของนาย ตอนแรกยังนึกว่านายจะไม่ยอมเล่นให้ฟังแล้วซะอีกถึงจะไม่ใช่ไวโอลีนฉันก็ดีใจมากเลยนะ” รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของเธอเป็นรอยยิ้มไร้เดียงสาไม่ต่างจากเด็กๆหากแต่นั่นก็ทำให้ความน่ารักและงดงามเฉพาะตัวของเธอเปล่งประกายออกมา
“และก็เพราะงานนี้ฉันถึงได้เจอกับนายไงละ ต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่านี้ฉันก็จะไม่เสียใจเลยสักนิด” ดวงตาสีอำพันคู่นั้นฉายแววสดใสและจริงใจคู่นั้นทำให้เรย์รู้สึกเช่นกันว่าการที่เขารับภารกิจในครั้งนี้นั้นไม่มีคำว่าเสียใจเลยสักนิดแม้จะต้องเจ็บตัวนิดหน่อยก็ตาม
“เธอนี่มันพิลึกจริงๆ นะ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเรย์เช่นกันหากแต่ทางด้านของแม่สาวที่ถูกว่าแบบนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองเธอกลับหัวเราะเบาๆกับคำกล่าวเช่นนั้นเสียด้วยซ้ำไป
“เคยมีคนพูดแบบนั้นอยู่เหมือนกันน้า เพราะสำหรับฉันแล้วการได้ฟังดนตรีที่ไพเราะจริงๆน่ะมีคุณค่ามากกว่าข้าวสามมื้อซะอีก” เธอรักดนตรีมันเป็นความรู้สึกที่มีมาตั้งแต่เธอจำความได้แล้วและเธอก็ก้าวเท้าเข้าสู่โลกแห่งดนตรีคลาสสิคเพราะความรักนั้น
เธอดีใจที่อย่างน้อยการเล่นดนตรีของเธอนั้นสามารถกล่อมเกลาจิตใจของผู้คนลงได้อันที่จริงตัวเธอเองก็ไม่รู้และไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามีความสามารถแบบนี้จนกระทั่งในสงครามครั้งนั้นที่เธอปรารถนาให้ทุกคนหยุดการต่อสู้และเล่นดนตรีนั่นแหละคือที่มาของฉายาเจ้าหญิงแห่งเสียงดนตรี
“แต่วันนี้น่ะมันจะสมบูรณ์แบบเลยนะ ถ้านายยอมเล่นไวโอลีนให้ฉันฟังน่ะ” แต่สุดท้ายมันก็วกกลับเข้ามาเรื่องเดิมอยู่ดีทำให้เรย์ที่ได้ยินดังนั้นอดที่จะอ่อนใจไม่ได้แม้ว่าวันนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขามองเธอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็ตามแต่สุดท้ายแม่นี่ก็เด็กกะโปโลอยู่ดี
“วันนี้ฉันก็เล่นเปียโนให้ฟังแล้วไง ยังจะโลภอีกนะ” ไม่เพียงแค่พูดเขายังทำการดีดหน้าผากของแม่สาวข้างตัวไปด้วยส่งผลให้หน้าผากของเธอแดงขึ้นมาทันตาพร้อมกับที่เจ้าตัวลูบหน้าผากของตัวเองป้อยๆ
“ก็ฉันอยากฟังนี่นา เล่นสักเพลงนึงก็ยังดี นะ” สาวเจ้ายังคงไม่ยอมแพ้พร้อมกับพยายามอ้อนอีกครั้งไม่ว่าจะยังไงเธอก็อยากฟังไวโอลีนที่เขาเล่นให้จงได้ส่วนทางด้านของเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเบาๆพร้อมลูบหัวของเธอ
“วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์เล่นจริงๆ ฉันเล่นเปียโนนั่นน่ะบอกตามตรงก็ไม่ชอบแล้ว ฉันไม่เหมือนเธอหรือคุณแม่บทเพลงที่ฉันเล่นส่วนใหญ่น่ะไม่ได้เล่นให้คนทั่วไปฟังหรอกแต่ฉันจะเล่นให้คนที่ฉันเลือกแล้วว่าเป็นคนสำคัญฟังเท่านั้นแหละ” เขาไม่ได้เป็นนักดนตรีเหมือนคุณแม่หรือแม่สาวข้างตัวสำหรับเขาแล้วนั้นบทเพลงที่เขาบรรเลงมันจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อคนฟังคือคนสำคัญของเขาเท่านั้น
“วันนี้น่ะฉันเล่นให้เป็นกรณีพิเศษเพราะละเลยต่อหน้าที่ทำให้นักดนตรีคนนั้นถูกยาพิษด้วยล่ะนะ” หากให้เลือกได้เขาไม่อยากเล่นให้คนจำนวนมากฟังขนาดนี้เลยจริงๆแต่ในเมื่อเป็นความผิดพลาดของเขาแล้วเขาก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น
“อืม ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ถ้าแบบนั้นแค่เป็นคนสำคัญของนายได้ ฉันก็จะได้ฟังเพลงนั้นทุกวันเลยสินะ” เธอถามด้วยความใส่ซื่อหรือคิดจะกวนประสาทเขาก็ไม่อาจทราบได้แต่นั่นทำให้เขาแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองทันทีที่ได้ยินแบบนั้นแต่พอลองจ้องเข้าไปในดวงตาสีอำพันคู่นั้นแล้วก็ต้องพบว่าเธอพูดเพราะความซื่อและไม่รู้ความหมายของคำๆนี้จริงๆ
“เอาแบบนั้นก็ได้ ถ้าวันไหนฉันยอมรับเธอเป็นคนสำคัญเมื่อไหร่ ฉันจะเล่นดนตรีให้เธอฟังทุกเมื่อที่เธอต้องการเหมือนกับที่ฉันเล่นให้พี่ไรอากับเรเดียฟังเลย”
“สัญญาแล้วนะ ห้ามผิดสัญญาละ” ทางด้านของแม่สาวข้างตัวนั้นร่าเริงเต็มพิกัดที่ได้รับคำสัญญาแบบนั้นโดยไม่ได้รู้เลยสักนิดถึงความหมายของสิ่งที่ตนเองพูดไปส่วนทางด้านของเรย์ก็เพียงยิ้มบางๆไม่ได้บอกถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดนี้และเหตุผลอีกข้อที่เขายอมเล่นเปียโนต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนั้น ทั้งที่ถ้าเป็นตามปกติต่อให้เอาปืนมาจ่อกบาลเขาก็จะไม่ยอมทำเด็ดขาด
‘ที่ฉันยอมเล่นเปียโนแบบนั้น ก็เพราะไม่อยากเห็นสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้แต่แสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรของเธอนั่นแหละ ยัยบ๊อง’ เรย์คิดในใจก่อนจ้องมองรอยยิ้มไร้เดียงสาของแม่สาวคนนี้ด้วยความอารมณ์ดีต่อให้จะอะไรยังไงเขาก็จะไม่มีทางเปิดปากบอกเหตุผลนี้กับเธออย่างแน่นอน
ทางด้านของครอสในยามนี้นั้นเขากำลังเอนหลังพิงกับต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่จากการที่สูญเสียพลังมนตราไปในปริมาณมหาศาล ตอนนี้สัญลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นมาที่หลังมือของเขานั้นได้เลือนหายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วรวมถึงตัวเขาเองก็ถอดอาวุธคู่มือออกไปแล้วเช่นกัน
“ฟู่ เหนื่อยชะมัดเลยแฮะวันนี้” การที่ต้องเข้าไปในดินแดนแห่งทวยเทพนั้นทำให้ในยามนี้เขารู้สึกอยากนอนพักเสียหน่อยหากแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังรู้ดีว่าตัวเองยังนอนพักไม่ได้เนื่องจากภารกิจของเขานั้นมันยังไม่จบ เขาจึงทำเพียงแค่นั่งพักสักครู่เท่านั้น
“ว่าแต่ภายในงานเรียบร้อยดีใช่ไหม เนียร์” ไม่จำเป็นต้องหันไปมองเขาก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีจากการสัมผัสคลื่นจิตและความปั่นป่วนเล็กๆของกระแสอากาศว่าด้านหลังของเขานั้นมีแม่น้องสาวยืนอยู่ส่วนทางด้านของสาวน้อยที่ซุ่มอยู่
“เรียบร้อยอยู่แล้วล่ะน่า ไม่ต้องมายุ่งหรอก ว่าแต่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เสียงของแม่น้องสาวที่แลดูไม่พอใจสวนทันควันก่อนที่เธอจะถามไถ่อาการของพี่ชายของตัวเองในทันทีทางด้านของครอสที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ
“ก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรที่น่าเป็นห่วงหรอก แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นแหละ” แต่หากถามว่ามันหนักไหมเขาก็จำต้องยอมรับว่าอาการเหนื่อยล้าในตอนนี้นั้นมันหนักหนามิใช่เล่นๆเพราะเขารู้สึกว่าร่างของตัวเองหนักไปหมด
“มะ ไม่ได้เป็นห่วงสักหน่อย ก็แค่อยากจะถามเฉยๆ เท่านั้นเอง” คำพูดของเธอนั้นทำเอาครอสอดยิ้มออกมาไม่ได้เพราะเขารู้ดีว่าแท้จริงแล้วแม่น้องสาวของเขานั้นไม่ได้หมายความอย่าที่พูดจริงๆหรอกแต่ชอบปากแข็งไปแบบนั้น
“จริงสิ จะว่าไปชุดที่เราแต่งวันนี้ก็น่ารักดีนะ” คำพูดของคนเป็นพี่นั้นทำเอาเธออดใจเต้นไม่ได้เพราะนี่เป็นสิ่งที่เธอเฝ้ารอมาตลอดหากแต่ในวินาทีต่อมาเธอก็หน้างอ
“เพิ่งมาชมเอาตอนนี้มันสายไปแล้วล่ะ อีตาพี่บ้า” น้ำเสียงของเธอฉายชัดถึงความไม่พอใจเพราะในตอนแรกที่เธออยากจะให้เขาชมชุดของเธอนั้นพี่ชายของเธอกลับมองผ่านไปอย่างเฉยเมยไม่สนใจเธอเลยสักนิด
“ไม่หรอกเราน่ารักจริงๆ แต่ที่พี่ไม่ชมต่อหน้าคนอื่นเพราะพี่ว่าชุดของเรามันโป๊ไปนะ พี่ไม่ค่อยชอบเลย” คำพูดของคนเป็นพี่ทำเอาคนเป็นน้องหน้าร้อนฉ่าเพราะในยามแรกที่เธอแต่งชุดนี้นั้นเธอก็คิดเหมือนกันว่าชุดนี้มันเปิดเผยมากเกินไปหรือเปล่าแต่เป็นเพราะอยากให้พี่ชายเธอชอบเลยยอมใส่มา
“เราน่ะไม่จำเป็นต้องแต่งตัวแบบนี้ก็น่ารักในแบบของตัวเองอยู่แล้ว คราวหน้าแต่งชุดมิดชิดหน่อยแล้วกันนะ เนียร์” ครอสพูดพลางลูบหัวแม่น้องสาวของเขาไปในตัวความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมานั้นทำเอาเธออดที่จะรู้สึกร้อนๆที่ใบหน้าไม่ได้
“อือ ถ้าพี่บอกแบบนั้น” เสียงตอบรับอย่างแผ่วเบาจากร่างเล็กพร้อมกับที่เธอพยายามซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อนี้เอาไว้ไม่ให้พี่ชายของเธอเห็น
“อีกอย่างนะเราน่ะไม่ค่อยมีหน้าอกด้วย ใส่ชุดเปิดเผยแล้วมันจะดูแปลกๆ นะ” หากแต่คำพูดต่อมาทำเอาเนียร์แยกเขี้ยวพร้อมหยิบมีดขึ้นมาอย่างรวดเร็วหากแต่ในวินาทีนั้นร่างของพี่ชายเธอก็หายวับไปด้วยการเทเลพอร์ตแล้ว
“หนอย จำไว้เลยนะอีตาพี่บ้า” เสียงดังขึ้นมาอย่างไม่พอใจแต่เธอก็ไม่ได้ไล่ตามต่อเพราะรู้ดีว่าลองพี่ชายของเธอหายวับไปเช่นนี้แล้วคงยากแก่การตามตัวแต่เธอก็อดโมโหไม่ได้ที่ถูกว่าเช่นนี้แม้ว่ามัน...จะเป็นความจริงก็ตามเถอะ
“นายท่านนี่รักน้องสาวจังเลยนะเจ้าคะ ว่าไหมท่านอาชูร่า” เทพแห่งวารีที่ซุ่มดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นอดเผยรอยยิ้มขบขันกับท่าทางของแม่น้องสาวที่เต้นเร่าๆเช่นนั้นไม่ได้ส่วนทางด้านของเทพแห่งเปลวเพลิงกลับมีสีหน้าเบื่อหน่าย
“รีบไปกันเถอะ งานในวันนี้ของเรายังไม่เสร็จ ต้องรีบไปเก็บกวาดต่ออีก” สิ้นคำนั้นเทพทั้งสององค์ก็ตามร่างของครอสไปอย่างรวดเร็วส่วนทางด้านของครอสนั้นดวงตาสีน้ำตาลเกือบดำที่เคยอ่อนโยนเมื่อยามอยู่กับน้องสาวนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกดุจมารร้ายเป็นที่เรียบร้อย
