chapter1 part2
หาได้ตระหนกหรือแตกตื่นกับการมีใครหน้าไหนไม่รู้มาอยู่ด้านหลัง นั่นไม่ได้ทำให้เรย์แตกตื่นหรือตระหนก ดวงตาสีฟ้าเพียงหรี่ลง ก่อนอาศัยจังหวะนี้ซัดศรแสงดอกหนึ่งสวนกลับไปด้านหลัง
แน่นอนว่าการโจมตีเท่านั้นย่อมไม่อาจหยุดยั้งหรือสร้างภัยคุกคามได้มากนัก แต่มันก็ทำให้ช่องว่างที่เปิดโล่งให้ทางนั้นลงมือหายวับ สร้างจังหวะได้มากและเพียงพอให้เด็กหนุ่มก้าวเท้าพาตัวเองหลบจากตรงนั้นมาหวุดหวิด
นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกหมัดพุ่งเฉียดกรายผ่านหน้าเขาไปเพียบคืบ ความร้อนจากเปลวเพลิงทำเอาเหงื่อของเขาถึงกับไหลซึมชวนเสียวไส้ แต่มันก็เปิดช่องให้เขามีโอกาสโจมตีสวนกลับไปได้เช่นกัน
หาได้รอช้าหนึ่งในคมดาบแสงทั้งเจ็ดเล่มที่ลอยวนวกกลับมาอยู่ในมือ ไม่รอช้าดาบแสงตวัดเข้าใส่ร่างที่ขวางหน้า ตรงเข้าสะบั้นใส่อย่างไร้ความลังเลหมายจะจัดการอีกฝ่ายให้จบสิ้นในดาบเดียว กลับไม่เฉียดกรายเมื่อทางนั้นถอนเท้ากลับไปทันแต่ใช่เขาจะยอมปล่อยให้หลุดมือ
มนตราธาตุแสง ศรแสงเจ็ดดอก
ศรแสงถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เขาไม่ต้องร่ายทำให้การโจมตีเป็นไปอย่างว่องไว ขอแค่รวบรวมพลังมนตราได้ก็เพียงพอ ศรแสงทั้งเจ็ดพุ่งเข้าใส่ศัตรูซึ่งเขามั่นใจว่าคราวนี้มันไม่มีทางหลบทัน
มนตราธาตุไฟ ศรเพลิงเจ็ดดอก
เช่นเดียวกับที่เขาทันปรายสายตาไปครั้งหนึ่ง ศรเพลิงก็ถูกยิงเข้าปะทะกับศรแสงของเขา หักล้างศรมนตราของเขาไปได้อย่างง่ายดาย ทำเอาเด็กหนุ่มอดที่จะแปลกใจไม่ได้การได้เห็นความแม่นยำในการใช้งาน
แท้จริงใช้มนตราระดับต่ำสุดโดยไม่ต้องร่ายไม่ใช่เรื่องน่าแปลก แค่ฝึกฝนและเข้าใจในพลังมนตราและเข้าถึงธาตุได้ในระดับหนึ่งก็เพียง สิ่งเหล่านี้ล้วนง่ายดายขอแค่ฝึกและเรียนรู้ก็ทำได้ไม่ยาก
ที่ชวนทึ่งกลับเป็นปฏิกิริยาตอบสนองจนเกือบเหนือมนุษย์นั่นมากกว่า
“อุตส่าห์คิดว่าเนียนพอ แต่ดูเหมือนมีฝีมือในการสู้ประชิดตัวผิดคาดเลย นึกว่าพวกทหารมนตราจะมีดีแค่ชื่อซะอีก เจ้าสิบกว่าคนก่อนหน้านี้ไม่ถึงสามนาทีก็ร่วงหมดแล้ว ก็มีคนมีฝีมือเหมือนกันนี่”
นั่นคือร่างของชายหนุ่มที่ผมสีแดง ดวงตาสีเดียวกันจับจ้องมาทางร่างของเขาอยู่คู่นั้นราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ภายใน แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือถุงมือสีที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมและจิตต่อสู้ของทางนั้น
“อ้อ แกเองเรอะ ไอ้ตัวที่ทำให้ฉันต้องทำงานล่วงเวลา” กระชับดาบแสงในมือกระชับเข้าหา บนใบหน้าแม้ยังมีรอยยิ้มกลับกลายเป็นเหี้ยมเกรียม แน่ใจว่าจตัวเองในตอนนี้พร้อมมีเรื่องเต็มที่
“ก่อนจะสู้กันขอทราบชื่อหน่อย ฉันชื่อคลาวด์ เซราเฟีย เป็นทหารรับจ้างอิสระไม่มีสังกัดหน่วย”
“ราคิออส ไรคาลิส จำเอาไว้ให้ดีล่ะชื่อของคนที่จะอัดแกให้ยับแล้วโยนเข้าซังเต” ไม่มีรีรอ หลังพูดจบศรแสงสิบสามดอกก็พุ่งเข้าใส่ร่างเบื้องหน้า ถือเป็นการประกาศการเริ่มศึกอย่างแท้จริง
ลับไม่ได้ทำให้ทางนั้นร้อนใจเสียเท่าไหร่ ศรเพลิงถูกยิงสวนกลับมาทั้งยังทวีจำนวนเสียยิ่งกว่าศรแสงที่เรย์ปล่อยออกมาก่อนร่วมเท่าตัว แสดงถึงความต่างชั้นอาศัยการเข้ากดข่มด้วยจำนวนแท้จริงนั่นกลับเป็นแค่ตัวล่อ
พริบตานั้นเองที่คลาวด์นั้นสัมผัสได้ถึงการโจมตีจากทางด้านหลัง โดยไม่ต้องหันไปมองเขาตัดสินใจกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่คมดาบแสงหลายเล่มแทงลงไปในจุดที่เขาเคยยืน จมลึกเข้าไปบนพื้นอย่างน่ากลัว
“ถ้าคิดว่าแค่นี้จะได้ผล มันตื้นไปหน่อยมั้ง” แม้ว่าจะถูกจ้องเอาชีวิตแต่เจ้าคนที่หลบดาบแสงไปหมาดๆนั้นกลับไม่มีทีท่าจะตกใจหรือหวาดกลัว กลับให้ความสนุกสนานเสียมากกว่า
แต่ในตอนนั้นเองที่ดวงตาสีเพลิงของคลาวด์จำต้องเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ทั้งสองครั้งล้วนเป็นเพียงนกต่อ ร่างของผู้เป็นศัตรูของเขาในยามนี้ได้เข้ามาอยู่ในระยะประชิดพร้อมดาบแสงในมือที่กลายเป็นเจิดจ้า
“ซวยละ” เจตนาชัดเจนจนทิ่มตาแบบนี้ไม่มีทางเป็นอื่น ระยะกระชั้นเกินจนยากจะหลบพ้นนั่นทำให้สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มจะทำได้คือยกมือผสานเข้าหาแล้วสกัดขวาง
ดาบแสงถูกเจ้าคนสวมถุงมือรับไว้ได้หวุดหวิด ใบดาบถูกหยุดยั้งไม่อาจจมลึกตัดเฉือนเข้าไปอย่างที่คิดถูกหยุดไว้ได้ชงัด อีกทั้งกลับเป็นดาบของเขาเสียอีกที่เริ่มสาบสูญจากเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่นี่
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่า ดาบมนตราของนายคมและใช้งานได้ดีกว่าดาบทั่วไปจริง แต่ยังไงซะมันก็แค่ดาบที่เกิดจากพลังมนตรา ไม่มีทางฟาดฟันอาวุธที่เสริมพลังมนตราจริงๆได้อยู่ดี” แค่ปะทะกันเพียงแค่ครั้งเดียวชายผมแดงก็สามารถบอกถึงจุดด้อยของดาบมนตราของเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับเขามันไม่เกี่ยวกัน
“ช่างเถอะ ก็ไม่ได้กะมาฉะกันตรงๆ อยู่แล้ว” สิ้นคำเขาก็ปล่อยมือออกจากดาบแสงเล่มเดิม เรียกหาสรรค์สร้างดาบแสงอีกเล่มให้ลอยเข้ามาในมือ จากนั้นจึงวาดฟันเข้าใส่ทางนั้นอย่างรวดเร็ว
แม้จะพยายามปัดป้องแต่มันก็ไม่ทันกาลย่อมไม่ต้องพูดถึงการหลบหลีก เพราะกว่าเขาจะเคลื่อนไหวตามได้ทันคมดาบแสงเล่มนั้นกรีดร่างนั้นไปแล้ว หาได้จบสิ้นเมื่อข้อมือของเขาเริ่มพลิกหมุนเตรียมฟาดฟันซ้ำใส่อีกหน
แต่ในจังหวะเดียวกันชายผมแดงก็ตีเข่าใส่สีข้างของเด็กหนุ่ม แรงสะเทือนหนักหน่วงจนรู้สึกได้ถึงแรงสั่น เล่นเอาร่างของเขาตัวงอไปตามแรง ทำเอาดาบที่คิดจะรุกไล่วาดฟันหยุดนิ่งทั้งยังผลักร่างของเขาให้ถอยไปหลายก้าว
“ข้าขอวิงวอนแด่อินเฟอร์โน เทพแห่งเปลวเพลิงอันร้อนแรง โปรดมอบเปลวเพลิงผลาญศัครูของข้า ลมหายใจแห่งเปลวเพลิง” ช่วงเวลาที่ซื้อมากเท่านั้นก็มากพอให้ร่ายมนต์ได้ขจบสิ้น เปลวไฟจำนวนมากพวยพุ่งเข้าใส่ในชุดขาวยิงอัดในระยะเกือบแนบชิด
มนตราธาตุแสง โล่แสงพิทักษ์สวรรค์
เพียงวาดมืออกมาโล่สีฟ้าใสขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นมาทันตา ไม้กางเขนจากสร้อยข้อมือเปล่งแสงสีฟ้าที่กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงทั้งหมดถูกโล่มนตราของเขาต้านรับไว้ได้หมดสิ้น ไม่ได้ไปทำอันตรายตัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“โล่มนตรานั่นแข็งแกร่งใช้ได้” คลาวด์เอ่ยออกมาส่วนทางด้านของเรย์กลับเฉยชาเสียสนิท โล่มนตราของเขานั้นถูกนับเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหน่วยทหารมนตรา ดังนั้นไฟแค่เท่านี้ไม่มีทางทำลายมันได้อยู่แล้ว
“ข้าขอวิงวอนแด่อินเฟอร์โน เทพแห่งเปลวเพลิงอันร้อนแรง จงแปรเปลี่ยนเปลวเพลิงของท่านเป็นเพลิงทลายปราการศัตรูแห่งข้า หอคอยเพลิงผลาญ” มนตราระดับกลางถูกร่ายออกมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาครั้งนี้เรย์ไม่อาจนิ่งนอนใจเหมือนเก่าจำต้องรีบหลบจากตรงนั้น
วินาทีต่อมาเสาเพลิงขนาดยักษ์ก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน เปลี่ยนทิศจากด้านหน้ามาเป็นล่างเลือกอาศัยการเล็งยิงในช่วงเวลาที่เขาไม่ทันระวังตัว ทำเอาเขาไม่ทันร่ายมนต์สกัดไว้ให้ดีจนเปลวเพลิงปกคลุมแขนขวาของเขาทันตา
หาได้จบสิ้นช่วงเวลาที่เขาต้องหันมารับมือการยิงกดอีกฝ่ายก็ตรงเข้าประชิดตัว มองเห็นศรเพลิงจำนวนมากรายล้อมทำเอาเขาต้องเร่งหันมารับมือ แต่ศรเพลิงเหล่านั้นกลับไม่ได้พุ่งเข้าใส่ร่างเหมือนอย่างที่คิด กลับวิ่งวนอยู่รอบตัวของมันแทน
“ประสิทธิ์” ก่อนที่ศรเพลิงเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่หมัดขวาของคลาวด์ เปลี่ยนแขนข้างที่อัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิงอยู่ก่อนยิ่งลุกโชน
“หมัดเพลิงอัคคี” หมัดขวาที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่ร่างเขาอย่างรวดเร็ว พลังทำลายของมันสูงยิ่งกว่าเสาเพลิงเมื่อครู่มาก หากรับเข้าไปตรงๆจะเป็นใครก็ไม่มีทางลุกขึ้นมาได้แน่
แต่ในวินาทีนั้นเองที่เขารู้สึกหนาวยะเยือกที่ต้นคอ หมัดที่เขาคิดว่าสามารถจัดการศัตรูได้อย่างแน่นอนกลับทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแทน เมื่อสิ่งที่พบเห็นบนใบหน้าของทางนั้นไม่ใช่ความสิ้นหวังหรือหวาดกลัว กลับประดับด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวและฉีกออกจนน่าขนลุก
ก่อนจะทันรู้ตัวคมดาบแสงที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก็แทงเข้าใส่แขนขวาที่กำลังเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ โดยไร้ซึ่งเค้าลางหรือสัญญาณเตือน กว่าจะรู้หรือไหวตัวคมดาบเล่มนั้นก็แทงเข้าใส่แขนขวา จมลึกเสียบทะลุเข้าลงไปลงแขนข้างนั้นจนน่ากลัว
“อึก” ความเจ็บปวดแล่นจากแขนขวาไปทั่วทั้งร่าง หากแต่ไม่จบเพียงเท่านั้นทันทีที่สุดระยะการแทงเรย์ก็ปล่อยมือออกจากดาบแสงเล่มเดิม ก่อนเรียกดาบแสงเล่มใหม่ขึ้นมาทดแทนแล้วจึงตวัดใส่ซ้ำไปอีกหน
แม้จะรู้ว่าต้องหลบแต่ทั้งระยะและสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควร กว่าจะเคลื่อนร่างหลบหลีกได้คมดาบนั้นก็เฉี่ยวผ่านปอยผมคลาวด์ไปหลายเส้น
“เอาคืนไปมั่งเซ่!!” สิ้นคำหมัดซ้ายของชายผมแดงก็ถูกส่งสวนกลับมา หมัดที่ลุกท่วมไปด้วยเพลิงร้อนตัดตรงในระดับความเร็วอันน่าทึ่ง
หากใช่คนที่เป็นเป้าจะนึกยอม เท้าขยับก้าวเป็นวงกลมหมุนตัวหลบหลีกหมัดไปโดยง่าย ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นการสร้างระยะเพื่อที่เขาจะสามารถกวัดแกว่งดาบเข้าใส่ได้ถนัด ก่อนฟาดดาบเข้าใส่ร่างของคนที่สู้ด้วย
ติดตรงคราวนี้ทางนั้นไวพอที่จะไม่ผิดพลาดซ้ำสอง เท้าขยับส่งลูกเตะเข้ามาสกัดขวาง บีบให้เด็กหนุ่มต้องเปลี่ยนจากวาดฟันต้องคลายออก จากนั้นจึงเปลี่ยนมายกดาบเข้าสกัดขวางเท้าที่พุ่งมาเอาไว้ก่อน แต่ก็ทำให้ทางนั้นมีเวลามากพอจะร่ายมนต์บทใหม่ไปพร้อมกัน
“ ข้าขอวิงวอนต่อเปลวเพลิง จงมาเป็นเพลิงที่เผาผลาญศัตรูข้า ศรเพลิงห้าสิบดอก ”
“ ประสิทธิ์ หมัดเพลิงอัคคี ” เป็นอีกครั้งที่ศรเพลิงถูกบีบอัดเข้าไปในกำปั้นของชายผมแดง คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิมร่วมเท่าตัว เปลวเพลิงที่ลุกโหมที่หมัดซ้ายราวกับจะแผดเผาได้ทุกสิ่ง ก่อนกำปั้นนั้นจะซัดออกด้วยจุดหมายหนึ่งเดียวคือเด็ดหัวเขาเสียให้เด็ดขาด
ติดตรงที่เด็กหนุ่มก็ไม่คิดปล่อยให้ตัวเองเป็นเป้านิ่งต่อไปแบบนี้
“ข้าขอวิงวอนแด่เฮเมร่า เทพีแห่งแสงผู้ส่องสว่างและทอประกาย ศัตรูของข้าคือศัตรูของท่าน โปรดเมตตาสรรพชีวิตทั้งมวลในทิวากาลด้วยแสงอันบริสุทธิ์ และนำวิญญาณบาปกลับสู่ทางที่ถูกที่ควร ลำแสงชำระบาป”
ทันทีที่บทร่ายที่ยาวจนไม่น่าเชื่อนั้นสิ้นลงดวงตาสีเพลิงของชายหนุ่มก็เปิดกว้างด้วยความตระหนก เพราะเขารู้ได้ทันทีว่านั่นคือมนตราแสงสว่างขั้นสูง
ลำแสงสีฟ้าพุ่งเข้าใส่ร่างของชายผมแดงอย่างรวดเร็ว อย่าว่าแต่เป็นในยามที่กำลังเหวี่ยงหมัด ต่อให้เป็นตอนปกติก็ใช่ว่าจะหลบทัน เพราะแค่เพียงเสี้ยววินาทีที่มันถูกใช้ออก ลำแสงสีฟ้าก็อาบร่างของเขาเอาไปเรียบร้อยแล้ว
ตูม!!
พลังทำลายล้างนั้นส่งผลพื้นที่อาณาบริเวณโดยรอบ ลำแสงเจาะผ่านโกดังจนกลายเป็นรูโหว่ในพริบตา ทั้งยังเจิดจ้าจนเปลี่ยนรัตติกาลอันมืดมิดให้เป็นกลางวันไปชั่วครู่ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังขาในอานุภาพของสิ่งที่ยิงไป
เล่นเอาเด็กหนุ่มต้องหอบหายใจอย่างแผ่วเบา ดาบแสงที่เคยลอยวนกลางอากาศเตรียมใช้งานสลายไปจนสิ้น สร้อยกางเขนที่เปล่งแสงนั้นกลับมาเป็นปกติตามเดิม ลำแสงเมื่อครู่นั้นแม้จะรุนแรงและทรงพลังแต่ก็สิ้นเปลืองพลังมนตราอยู่ไม่น้อย เล่นเอาเขาเหงื่อซึมไปเหมือนกัน
คิดว่าเท่านี้น่าจะเพียงพอนั่นทำให้ตอนมันยังยืนอยู่เขากลับเป็นฝ่ายต้องเลิกคิ้ว
“อึดจริงแฮะ ขนาดนี้ยังอยู่อีก” ชวนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบว่าร่างที่ถูกมนตราระดับสูงของเขาเข้าไปตรงๆยังสามารถยืนอยู่ได้ ทั้งที่ในความจริงจะสาบสูญไปในแสงเมื่อครู่ยังไม่ใช่เรื่องแปลก
ทางด้านของคลาวด์นั้นไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร ต้องบอกว่าเขาโชคดีที่ใช้หมัดเพลิงอัคคีของตนในการต้านรับลำแสงเมื่อครู่ทำให้รอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ถึงแบบนั้นแขนซ้ายของเขาก็ไหม้ไปครึ่งแถบต้องบอกว่าหนักหนาเอาเรื่อง
“ไม่นึกว่าจะมีคนสามารถใช้มนตราขั้นสูงได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว เริ่มร่ายเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” คลาวด์ที่ยังคงยืนหยัดได้ถามอย่างแปลกใจ เพราะมนตราขั้นสูงไม่ใช่สิ่งที่จะใช้กันง่ายๆ บทร่ายนั้นต้องร่ายนานหลายนาทีไม่ใช่สิ่งที่จะหยิบมาใช้กันทันควัน
“ถ้าจะให้พูดตามตรง ตั้งแต่เริ่มคุยกัน” เขาเริ่มร่ายมนตราภายในใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเพียงแต่ว่าการร่ายในใจนั้นต้องใช้สมาธิสูงมาก หากสมาธิหลุดจำต้องเริ่มร่ายใหม่ตั้งแต่ต้น เต็มไปด้วยความเสี่ยงแต่เมื่อสำเร็จทุกอย่างก็ออกมาคุ้มค่า
“ยอมให้จับซะดีๆ นายในตอนนี้หนีไม่รอดหรอก”
“อะไรที่ทำให้นายมั่นใจถึงขนาดนั้น ทั้งที่นายก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพสมบูรณ์นัก?” ทำเอาคนถูกดาบชี้หน้าหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้ว่าตัวเขาในตอนนี้จะบาดเจ็บหนักกว่า แต่สภาพที่ไม่ได้ผิดกันมากนักย่อมไม่ทำให้เกิดความต่างได้มากนัก หรืออย่างน้อยก็เห็นแบบนั้นอยู่ชั่วครู่
มนตราธาตุแสง แสงศักดิ์สิทธิ์คืนสภาพ
ชั่วพริบตาบาดแผลที่เกิดก็สมานเข้าหากัน แขนขวาที่มีแผลไฟลวกจำนวนมากคืนสภาพเดิมก่อนจะหายสนิทในไม่ช้า หลงเหลือเพียงร่องรอยไหม้บนชุดสีขาวของเขาที่บ่งบอกว่าอาการบาดเจ็บเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องโกหก
“ล้อเล่นน่า ใช้มนต์รักษาได้ด้วยงั้นเหรอ แถมยังใช้โดยไม่ต้องร่ายด้วย?” แม้ตอนนี้ใบหน้าจะยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ด้านในของชายหนุ่มกลับหาได้ผ่อนคลายสบายใจ เพราะหากว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพสมบูรณ์ขณะที่เขาขยับแขนข้างหนึ่งไม่ถนัด ใครได้เปรียบไม่ต้องบอก
“นายคงคิดว่าชั้นเป็นผู้ใช้มนตราธาตุแสงประเภทโจมตีและป้องกันโดยตรงสินะ แต่โทษทีมนต์รักษาชั้นก็เชี่ยวชาญพอตัวเลย” คำพูดของเรย์นั้นยิ่งทำให้ชายผมแดงเหงื่อซึม เพราะตามปกติแล้วการจะหาคนที่ทำได้ทุกอย่างถึงขนาดนี้เป็นไปได้ยากเหลือเกิน
ตามปกติแล้วมนตรานั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ธาตุหลักนั่นคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นธาตุพื้นฐานทั้งหมดของโลกใบนี้ ตามปกติแล้วมนุษย์ที่มีพลังมนตราส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นมาพร้อมกับธาตุใดธาตุหนึ่งในธาตุพื้นฐานทั้งสี่เท่านั้น
แต่ก็ใช่จะไม่มีผู้ที่แปลกแยกไปเลยเสียทีเดียว ในบรรดาผู้มีพลังมนตรานั้นหลายต่อหลายคนที่มีธาตุพิเศษต่างๆ เช่น สายฟ้า น้ำแข็ง พฤกษา ซึ่งธาตุเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นธาตุที่หาและพบเห็นได้ยากแทบไม่มี ส่วนใหญ่จะสืบทอดกันภายในสายเลือดเท่านั้น
แน่นอนธาตุแสงกับมืดก็เป็นธาตุพิเศษเช่นกัน เป็นธาตุของพลังมนตราที่ไม่ใช่ใครคิดอยากจะมีก็มีได้ ดังนั้นแล้วผู้มีพลังมนตราธาตุพิเศษนั้นล้วนแล้วแต่เป็นที่ต้องการขององค์กรต่างๆ ทั้งสิ้น
ธาตุแสงและมืดแตกต่างจากธาตุพื้นฐานทั้งสี่และธาตุพิเศษอื่นโดยสิ้นเชิง ธาตุพื้นฐานทั้งสี่นั้นมีวิธีฝึกตามมาตราฐานหาได้ทั่วไป ซึ่งจะเริ่มต้นจากศรธาตุเป็นมนตราพื้นฐานบทแรก และค่อยต่อยอดขึ้นไปตามสายทางต่างๆ แล้วแต่บุคคล
ส่วนธาตุพิเศษนั้นมีวิธีฝึกพิสดารสุดกู่ ธาตุพิเศษเหล่านี้นั้นไม่ได้เริ่มต้นด้วยมนตราพื้นฐานอย่างศรธาตุ แต่จะเริ่มตั้งแต่การควบคุมพลังมนตราพื้นฐานให้ได้ละเอียดและแม่นยำที่สุด การใช้ต้องไม่สูญเปล่าแม้แต่หน่วยเดียวและฝึกจินตภาพของมนตรา ทำให้ธาตุเหล่านี้นั้นฝึกยาก หากไร้ซึ่งความสามารถก็ไม่อาจดึงพลังออกมาใช้ได้เต็มประสิทธิภาพแต่จะมีความพลิกแพลงหลากหลายมากกว่าหลายขุม
แต่กับธาตุแสงและมืดนั้นแตกต่างออกไป แนวทางการฝึกของมนตราสองธาตุนี้มีมนตราพื้นฐานอย่างศรธาตุเหมือนธาตุทั้งสี่ตามปกติ หากแต่สิ่งที่แตกต่างก็คือขั้นพื้นฐานของมนตรานั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ศรธาตุเพียงอย่างเดียวแต่มีมนตราให้เริ่มหลายบท
แน่นอนแต่ละสายทางนั้นก็มีสายทางมนตราหลายสิบหลายร้อยบทให้ต่อยอด สำหรับธาตุแสงนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสี่สายเริ่มต้นคือ สายโจมตีที่เริ่มต้นด้วยศรแสง สายป้องกันที่เริ่มต้นด้วยโล่แสง สายรักษาที่เริ่มต้นด้วยมนต์เยียวยาพื้นฐาน สายชำระล้างที่เริ่มต้นด้วยการภาวนาพื้นฐาน
โดยมากหากใช้มนตราธาตุแสงและธาตุมืดนั้นผู้ฝึกจะฝึกเพียงสองสาย โดยจะเลือกสายใดสายหนึ่งไว้เป็นหลัก อีกสายหนึ่งไว้เสริมเท่านั้น แล้วจึงกลับมาฝึกมนต์ที่จำเป็นของสายที่เหลือในภายหลัง ซึ่งโดยมากก็เป็นเพียงแค่ไม่กี่บทเท่านั้น
ด้วยความที่มีสายทางการฝึกให้มากถึงสี่สาย อีกทั้งยังต้องฝึกหลายสายพร้อมกันแตกต่างกับธาตุพื้นฐานทำให้ผู้ฝึกมนต์ธาตุแสงส่วนใหญ่นั้นจะเริ่มเก่งก็ต่อเมื่อบรรลุมนต์ขั้นกลางขึ้นไปสองสายขึ้นไปเท่านั้นอีกทั้งยังไม่มีความอิสระของพลังมากเท่ากับธาตุพิเศษอีกด้วย
ในตอนแรกที่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายสามารถใช้มนต์ป้องกันที่แข็งแกร่งและโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขานึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ใช้มนตราธาตุแสงสายป้องและโจมตี แต่เมื่อได้เห็นมนตราโจมตีขั้นสูงและมนต์รักษาระดับนั้น บอกตามตรงว่าไม่แน่ใจขีดความสามารถของชายคนนี้อีก
“ก็นะฉันมันพวกลูกผสมฝึกมันมั่วซั่วไปหมด อยากใช้มนตราบทไหนก็ฝึกไม่คำนึงถึงสายนักหรอก อย่างมนต์โจมตีเนี่ยนอกจากระดับพื้นๆ อย่างศรแสงและคมดาบแสงไร้จำกัดแล้วที่เหลือก็มีแค่มนตราระดับสูงอย่างเดียว”
แน่นอนแม้ว่าเรย์จะเปิดเผยไปแต่ยังไงเสียก็ไม่มีอะไรที่ต้องหวาดหวั่น มนตราของเขานั้นเน้นความหลากหลายรูปแบบและทรงพลังของตัวมนต์เอง มากกว่าความพลิกแพลงในการใช้ต่อให้รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“นายนี่มันสัตว์ประหลาดตัวเป็นๆ เลยแฮะ” เสียงของชายผมแดงดังขึ้นมาเขาไม่เคยเห็นใครที่สามารถใช้มนตราธาตุแสงได้น่ากลัวเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ
“ถ้ารู้แบบนั้นก็ยอมแพ้สิฟะ ฉันจะได้กลับสักที” แม้จะเอ่ยปากเหมือนเป็นเรื่องสบายๆก็ตาม แต่เขาก็เหนื่อยมิใช่น้อยการใช้มนตราขั้นสูง แถมยังใช้มนตรารักษาตัวเองนั้นสูญพลังไปไม่ใช่เล่นๆ หากทำได้เขาก็อยากจะพักบ้างเหมือนกัน
“ข้าขอวิงวอนแด่อินเฟอร์โน เทพแห่งเปลวเพลิงอันร้อนแรง” เสียงร่ายมนตราแทนคำตอบจากชายผมแดง แน่นอนเรย์ย่อมไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายทำเช่นนั้น เขาซัดศรแสงเจ็ดดอกเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายทันที พร้อมกับที่เขาสร้างดาบแสงขึ้นมาในมือแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“โปรดมอบอัคคีอันร้อนแรงของท่านผลาญพื้นพิภพให้ดับสูญ กำแพงเพลิงผลาญ” สิ้นเสียงเปลวเพลิงก็ลุกท่วมอยู่เบื้องหน้า กลายเป็นกำแพงเพลิงขนาดใหญ่ขวางกั้นร่างของทั้งสองฝ่ายออกจากกัน แน่นอนว่าศรแสงของเขาย่อมไม่มีทางผ่านกำแพงเพลิงนี้ไปได้เลย
“อย่าคิดว่านายร่ายมนต์ในใจเป็นคนเดียว ถึงชั้นจะไม่ค่อยถนัดด้านนี้เท่าไหร่ก็เถอะ” คำพูดของคลาวด์ทำให้เรย์ต้องเดาะลิ้นด้วยความขัดใจ เพราะอีกฝ่ายเริ่มร่ายมาได้สักพักแล้วเช่นกันแต่เขาไม่ทันรู้สึกหรือฉุดคิด ว่าการยืนนิ่งเพื่อพูดคุยเมื่อครู่เป็นแค่การซื้อวเลา
“การต่อสู้ในครั้งนี้สนุกมาก ชั้นขอฝากเอาไว้ก่อนเอาไว้เราค่อยมาตัดสินกันคราวหน้าแล้วกัน” ในวินาทีเดียวกันนั้นคมดาบแสงในมือของเรย์ก็เปล่งแสงขึ้นมาก่อนที่เขาจะซัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว
คลื่นแสงแหวกฝ่ากำแพงเพลิงของฝ่ายตรงข้าม หากแต่มันก็สายเกินไปเพราะในยามนี้ร่างเจ้าของกำแพงไฟนี้ได้เลือนหายไปแล้ว หลงเหลือทิ้งไว้เพียงเปลวเพลิงที่เริ่มเผาผลาญโกดังร้างหลังนี้เท่านั้น
“ชิ ไอ้บ้านั่นเรย์อดสถบออกมาอย่างหงุดหงิดไม่ได้ที่อีกฝ่ายหนีรอดไปทั้งแบบนี้ แต่ยังไงเสียอีกฝ่ายก็เป็นเพียงทหารรับจ้างที่กลุ่มโจรพวกนี้จ้างมาเท่านั้น ไม่ใช่กลุ่มโจรดังนั้นเขาจึงพอจะมีข้ออ้างในรายงานของเขาได้ ก่อนจะสลายดาบแสงของตนทิ้งไป
“ถึงจะไม่นับว่าต้องขนย้ายพวกที่นอนสลบอยู่ออกไปจากโกดังที่กำลังไหม้นี่ก็เถอะ แต่เราก็ตามมันไปไม่ไหวอยู่ดี” มือขวาของเรย์ในยามนี้กุมไปยังบริเวณสีข้างของตนเอง พร้อมกับเลือดสีแดงฉานที่ไหลซึมออกจากมุมปากอย่างรวดเร็ว
เข่าและลูกเตะของอีกฝ่ายนั้นส่งผลกระทบมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ หนักหน่วงเหลือเชื่อเสียจนไม่นึกว่าจะมาจากผู้ใช้มนตรา ส่งผลให้ซี่โครงของเขาน่าจะร้าวไปประมาณสองถึงสามซี่ได้
บาดแผลภายนอกนั้นต่อให้เป็นแผลที่หนักหนามนตราของเขาก็สามารถรักษาได้แต่กับอาการกระดูกหักนั้นไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางหรือผู้ใช้มนตราธาตุแสงสายรักษาขั้นสูงล่ะก็ไม่มีทางรักษาได้ นั่นทำให้อาชีพหมอจึงยังมีความสำคัญอยู่เพราะต่อให้เป็นมนตราแต่ก็ไม่ได้ครอบจักรวาลขนาดนั้น
แม้จะบอกว่าเขายังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ก็ตาม หากเขาก็ต้องยอมรับว่าชายที่ชื่อคลาวด์ผู้นั้นแข็งแกร่งจริงๆ
“หืม คลาวด์ เซราเฟียงั้นรึชื่อนี้คุ้นหูจังเลยแฮะ” เมื่อมีเวลาว่างมากพอจะมาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกคุ้นหูกับชื่อของอีกฝ่ายอย่างน่าประหลาด ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนยังไงยังงั้น
“หรือว่าจะเป็นคลาวด์ เซราเฟีย ทหารรับจ้างที่ได้สมญานามจักรพรรดิเพลิงคนนั้น” แน่นอนด้วยความที่อยู่ในวงการนี้เขาย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายชายผู้มีนิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ดุจดั่งเมฆาแต่ยามต่อสู้กลับร้อนแรงยิ่งกว่าเปลวเพลิงซึ่งเคยสังหารมังกรเพลิงด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว
“ให้ตาย เราดันเพิ่มปีศาจอีกตัวขึ้นมาเป็นศัตรูซะงั้น ค่าแรงรอบนี้ไม่คุ้มเลยวุ้ย”
อีกด้านหนึ่งทางด้านของคลาวด์นั้น ในยามนี้เขากำลังใช้จังหวะที่อลันซึ่งซุ่มอยู่ภายนอก ที่มัวแต่ชุลมุนกับโกดังที่ถูกไฟไหม้ จนสามารถหลบรอดสายตาของพญาเหยี่ยวนั้นมาได้ ก่อนที่เขาจะรีบบึ่งออกจากที่นั่น
“เจ็บหนักเลยแฮะเรา ถึงของที่อยากได้จะฉกมาได้แล้วก็เถอะ แต่ชักไม่มั่นใจแล้วสิว่ามันคุ้มหรือเปล่า” จ้องมองอัญมณีสีแดงเม็ดหนึ่ง ซึ่งตนอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายมัวแต่รวบรวมพลังมนตราเตรียมจะฝ่ากำแพงเพลิงของเขาฉกมา แล้วรีบออกจากที่นั่นนับว่าเส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ
“เจ้าบ้านั่นแกร่งเป็นบ้า ทั้งโล่มนตรา ทั้งมนต์โจมตีขั้นสูง แถมยังรักษาตัวเองได้จะครบเครื่องไปหน่อยแล้ว” อย่างน้อยจตามปกติเขาก็ไม่เคยเห็นผู้ใช้มนตราธาตุแสงคนใดครบเครื่องถึงเพียงนี้มาก่อน
ในทีมหนึ่งนั้นหากจะให้ได้มีประสิทธิภาพต้องมีตัวโจมตีหนึ่งคน คนตั้งรับหนึ่งคน และคนคอยสนับสนุนอีกหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่ตามที่กล่าวมานี้ได้ทั้งหมด จนเขาราวกับเป็นหนึ่งกลุ่มย่อยเลยทีเดียว
“แถมโหดใช่เล่น ถ้าในวินาทีนั้นเราเบี่ยงจุดแทงไม่ให้โดนเส้นเลือดไม่ทันล่ะก็คงเลือดหมดตัวตายไปแล้ว” สิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายน่ากลัวไม่เพียงแค่ความสามารถเชิงมนตราแต่ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดยังมากด้วยเช่นกัน อย่างน้อยก็จากดาบที่วาดฟันมาเมื่อครู่
ถึงตัวเขาในตอนนี้จะยังใช้พลังได้ไม่เต็มที่ หากแต่ต้องยอมรับจริงๆว่าเขาเกือบตายไปเหมือนกัน ต่อให้ใช้พลังได้เต็มที่ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างเด็ดขาด
“ราคิออส ไรคาลิส เป็นชายที่น่ากลัวจริงๆ” ต้องยอมรับเลยว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งจนน่าหวาดหวั่นหากแต่ในตอนนั้นเองที่เขาต้องชะงักไป
“เดี๋ยวนะ ราคิออส ไรคาลิสงั้นรึ หรือว่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยสี่แห่งหน่วยทหารมนตราคนนั้น?” แม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงมานานแต่เขาก็ไม่เคยประมือด้วยเลยสักครั้ง เพราะสนามรบที่เขาไปนั้นไม่เคยต้องปะทะกับทหารมนตราระดับหัวหน้าหน่วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“สมกับสมญานามดีนี่ ถ้าไม่นับไอ้รอยยิ้มเหี้ยมนั่นอะนะ” ชายผู้เดินหน้าเข้าหาทุกสนามรบ ฟาดฟันศัตรูมาแล้วนับร้อยพันด้วยคมดาบแห่งแสง ทำลายล้างศัตรูด้วยแสงสว่างอันเจิดจ้าราวกับเป็นการลงโทษของเทพเจ้าจนได้รับสมญานาม
ราคิออส ไรคาลิส ราชันแห่งแสงสว่าง
