ตอนที่ 3 จะรอ
ทางด้านภาม หลังจากที่จัดของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็มีแม่บ้านนำอาหารมาส่ง ซึ่งก็คือคนของที่บ้านเขานั่นเอง คงจะเป็นคุณย่านั่นแหละที่สั่งคนนำมาให้
“ให้ป้าจัดโต๊ะเลยไหมคะคุณภาม” แม่บ้านเก่าแก่คนสนิทของคุณย่าที่มาด้วยรถตู้ของบ้านใหญ่ เดินหิ้วปิ่นโตมาถามภามที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน
“ครับป้า” ภามหันไปตอบรับ
“ได้ค่ะ”
“อ้อป้า” เขาเรียกแม่บ้านเอาไว้เนื่องจากนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“คะ”
“มีอาหารที่เพื่อนบ้านเอามาให้ผมเมื่อตอนเย็น จัดขึ้นโต๊ะด้วยนะครับ” ภามเอ่ยขึ้น ในหัวนึกถึงหน้าหวาน ๆ ของเด็กสาวที่เอาอาหารมาให้เมื่อตอนเย็นแล้วยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ค่ะคุณภาม” แม่บ้านเห็นท่าทางของภามก็รู้สึกสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรออกไป
ไม่นานหลังจากที่แม่บ้านเดินออกไปแล้ว ภามก็ปิดโทรทัศน์ก่อนจะเดินไปยังห้องอาหาร เขาช่วยแม่บ้านจัดวางอาหารใส่จานจนครบทุกเมนู
“ป้าพาคนกลับไปก่อนเลยได้นะครับ ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง” ภามบอกให้แม่บ้านพาคนที่มาช่วยเขายกเฟอร์นิเจอร์ให้เข้าที่กลับไปก่อน เพราะนี่ก็ค่ำแล้ว เขาทานข้าวเสร็จก็จัดการที่เหลือเองได้
“แต่ว่า...” เธอแย้งเพราะได้รับคำสั่งมาจากคุณนายใหญ่ของตระกูลว่าให้อยู่จนกว่าหลานชายจะกินข้าวเสร็จ
“ไม่เป็นไรครับป้า” ภามเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากรู้ว่าย่าของเขาคงจะสั่งให้มาช่วยล้างจานและจัดบ้านให้เสร็จเรียบร้อย
“ถ้าอย่างนั้นป้ากลับนะคะ” เมื่อไม่สามารถพูดอะไรได้อีก นอกจากทำตามที่ภามบอก แม่บ้านจึงขอตัวกลับทันที
“ครับ ฝากขอบคุณคุณย่าด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ”
เมื่อป้าแม่บ้านพาคนกลับไปแล้ว ภามก็เดินไปปิดบ้านก่อนจะมานั่งกินข้าว ในระหว่างนั้นสายตาของเขาก็ไปหยุดตรงชามอาหารที่เด็กสาวนำมาให้
“หึ ๆ” เมื่อนึกถึงเธอเขาก็เผลอหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
เช้าวันต่อมา
อัญญารินทร์ตื่นขึ้นมาด้วยนาฬิกาปลุก ในตอนนี้เธอยังไม่เปิดเทอมแต่ก็ตื่นเช้าจนเป็นนิสัยไปเสียแล้ว ทุกเช้าเธอจะต้องออกไปรดน้ำต้นไม้รอบบ้านให้กับผู้เป็นพ่อ
อัญญารินทร์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินลงบันไดมาด้านล่าง เมื่อก้าวเข้ามายังห้องอาหารก็เจอเข้ากับพ่อที่นั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพ่อ” อัญญารินทร์เดินไปหาพ่อของเธอแล้วยิ้มหวาน
“ตื่นแล้วเหรอลูก” ขจรเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่านอยู่เอ่ยทักทายลูกสาวเสียงนุ่ม
“ค่ะ วันนี้ไปไหนคะ” อัญญารินทร์ตอบรับแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ เขา เธอมองการแต่งตัวของพ่อที่เหมือนกับว่าจะออกไปด้านนอกตั้งแต่เช้า จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไปดูสาขาที่จะเปิดใหม่น่ะ วันนี้มีของมาส่ง” เนื่องจากครอบครัวของอัญญารินทร์ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารและกำลังมีการขยายสาขาเพิ่ม เขากับภรรยาจึงต้องเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยตลอด
“คุณแม่ไปด้วยไหมคะ” อัญญารินทร์เอ่ยถามถึงผู้เป็นแม่ทันที
“ไปจ้ะ” ยังไม่ทันที่ขจรจะตอบคุณนายทานตะวันที่เดินถือถาดข้าวต้มมาให้ลูกสาวพอดีจึงเป็นฝ่ายตอบด้วยตัวเอง
“ง่า” อัญญารินทร์ยู่หน้าอย่างเซ็ง ๆ
“หรือหนูจะไปกับพ่อแม่คะ” เมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นทานตะวันจึงชวนลูกสาวไปด้วยกัน
“ไม่เอาดีกว่าค่ะ อัญเฝ้าบ้านดีกว่า”
แม้จะไม่อยากถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว แต่อัญญารินทร์กลับส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะไม่ชอบเวลาที่รถติดเป็นที่สุด ถ้าเป็นไปได้เธอแทบจะไม่อยากออกไปไหนเลยด้วยซ้ำ
เรื่องนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมรู้จักนิสัยของลูกสาวดีจึงไม่ได้รบเร้าอะไร
“นี่จ้ะ” ทานตะวันตอบพลางวางถ้วยลงตรงหน้าอัญญารินทร์
“ขอบคุณค่ะ” อัญญารินทร์เอ่ยขอบคุณแล้วหยิบช้อนขึ้นมาคนข้าวต้มให้หายร้อน
“นี่เครื่องปรุงนะลูก” ขจรเลื่อนบรรดากระปุกเครื่องปรุงจากกลางโต๊ะไปตรงหน้าลูกสาวอย่างรู้ใจ
“ขอบคุณค่ะ คุณพ่อรดน้ำต้นไม้หรือยังคะ” เธอหันไปถามก่อนจะตักพริกป่นพูนช้อนใส่ถ้วย แม้จะเป็นมื้อเช้าแต่อัญญารินทร์ก็ชอบที่จะเริ่มต้นวันด้วยอาหารรสจัด
“ยังลูก วันนี้คงต้องฝากหนูแล้วล่ะ”
“ได้เลยค่ะ”
หลังจากมื้อเช้าผ่านไป อัญญารินทร์ก็เดินมาส่งพ่อกับแม่ที่รถ พอทั้งสองออกไปแล้วเธอก็ปิดรั้ว และต่อสายยางเพื่อรดน้ำต้นไม้
เด็กสาวฮัมเพลงและรดน้ำต้นไม้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง...
“เฮ้ย!” เสียงร้องที่ดังขึ้นจากอีกฝั่งของรั้วทำให้อัญญารินทร์ชะงัก เธอชะโงกหน้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ภาพที่เห็นคือ ภามในชุดสูททำงานเต็มยศที่ถูกน้ำสาดใส่จนเปียกปอนไปครึ่งตัว
เพราะความเคยชินทำให้อัญญารินทร์ไม่ทันระวังตอนรดน้ำจึงทำให้สาดสายยางไปทั่ว จนลืมนึกไปว่าบ้านฝั่งตรงข้ามมีคนมาอยู่แล้ว
“คุณภาม หนูขอโทษค่ะ” อัญญารินทร์ยกมือขึ้นไหว้อย่างเร็วเพราะกลัวโดนด่า
แต่จังหวะที่ยกมือขึ้นนั้นเอง สายยางที่ยังคงเปิดน้ำอยู่ก็สาดไปที่ภามอีกครั้งจนเปียกมากกว่าเดิม
“เฮ้ย!!” ตอนนี้ภามไม่รู้จะร้องไห้หรือขำก่อนดี เขาเปียกโชกไปแทบจะทั้งตัวแล้ว
ยัยเด็กนี่ตั้งใจแกล้งเขาใช่ไหม
“อ๊ะ หนูไม่ได้ตั้งใจนะคะ” อัญญารินทร์ที่เห็นสภาพเขาก็ลนลานทำตัวไม่ถูก
“ปิดน้ำก่อนไหม” ภามยกมือขึ้นเช็ดน้ำที่ใบหน้าพลางก็บอกให้เด็กสาวไปปิดน้ำก่อน
“ได้ค่ะ ๆ” เธอรีบทิ้งสายยางลงพื้นทันที
ร่างเล็กวิ่งไปที่ก๊อกน้ำแล้วทำการปิดมัน จากนั้นจึงวิ่งกลับมาเกาะรั้วมองภามตาแป๋ว
“คุณเป็นอะไรมากไหมคะ” อัญญารินทร์ถามขึ้นด้วยความรู้สึกผิด
“เปียกน่ะสิ” ภามตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แข็งขึ้นเล็กน้อย
“หนูขอโทษค่ะ” นั่นทำให้อัญญารินทร์ก้มหน้าลงแล้วเอ่ยขอโทษเสียงอ่อย
“ไม่เป็นไร” ท่าทางสลดของเธอทำให้เขาใจอ่อน ไม่กล้าเอาเรื่องสาวน้อยตรงหน้าอีก ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่อยากเห็นเธอทำหน้าเศร้าเลยสักนิด ต่อให้เธออาจจะแกล้งเขาก็เถอะ
“แต่ชุดคุณ...” อัญญารินทร์ชี้ไปที่ชุดของภาม
“เดี๋ยวขึ้นไปเปลี่ยน” ภามจึงตัดบทขึ้นแล้วเดินเข้าบ้านไปเปลี่ยนชุดทันที
อัญญารินทร์มองตามหลังเขาไปแล้วเม้มปากครุ่นคิดสักพัก จากนั้นเธอก็เดินหมุนตัวเข้าบ้านตัวเองไปอย่างเร่งรีบ
ภามขึ้นห้องมาเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ และเตรียมตัวจะไปทำงานที่บริษัทอีกรอบ แต่พอเดินออกมาที่หน้าบ้านก็เจอเข้ากับอัญญารินทร์ที่นั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมมาอยู่นี่” ภามขมวดคิ้วแล้วมองเด็กสาวด้วยความสงสัยว่าทำไมเธอมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้
“คุณภามทานข้าวหรือยังคะ” อัญญารินทร์จึงรีบลุกขึ้น ในมือเธอถือชามอาหารที่เอามาจากบ้านด้วย
“ยัง” ภามส่ายหน้าและมองเธอนิ่ง ๆ เขารอดูว่าเด็กนี่จะมาไม้ไหนกันแน่ เดินเข้าออกบ้านเขาจนเหมือนเป็นบ้านตัวเองไปแล้ว
“วันนี้คุณแม่ทำข้าวต้ม หนูเลยเอามาให้เพื่อเป็นการไถ่โทษค่ะ” อัญญารินทร์ยกชามข้าวต้มให้เขาดู และพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
ภามได้ยินอย่างนั้นจึงยกมือขึ้นมาดูนาฬิกา ตอนนี้เจ็ดโมงครึ่งแล้ว ช่วงเช้าเขามีประชุมตอนเก้าโมงเสียด้วยสิ
“แต่ถ้ารีบก็ไม่เป็นไรนะคะ” อัญญารินทร์เห็นท่าทางของเขาก็นึกไปเองว่าเขาคงไม่ว่างเป็นแน่
“ยังมีเวลาอยู่” แต่ภามกลับกล่าวขึ้นขัดเสียก่อน แล้วเดินหมุนตัวเข้าบ้านอีกครั้ง
“....”
“เข้ามาสิ” เขาหันไปชวนอัญญารินทร์ที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมให้เข้ามาในบ้าน
ไม่รอให้เรียกซ้ำอัญญารินทร์ก็รีบเดินตามเขาเข้าไปทันที
“โห บ้านโล่งจังค่ะ” ดวงตากลมโตของสาวน้อยมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าบ้านของภามยังโล่งอยู่ นอกจากเฟอร์นิเจอร์แล้วก็แทบไม่มีของตกแต่งอะไรเลย สภาพช่างแตกต่างจากบ้านเธอโดยสิ้นเชิง
“ก็เพิ่งย้ายมาอยู่”
“นั่นสินะ” อัญญารินทร์พยักหน้าเข้าใจ และนึกไปถึงครั้งแรกที่เธอย้ายบ้าน ตอนนั้นก็ไม่ต่างจากนี้มากนัก พออยู่ไปอยู่มาไม่ถึงปีของก็เยอะขึ้นเอง
“มานี่” ภามเดินนำเธอไปที่ห้องอาหาร
“ค่า”
เมื่อทั้งคู่นั่งลงบนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว อัญญารินทร์จึงวางชามข้าวต้มตรงหน้าเขาแล้วหาเรื่องชวนคุยตามประสาคนช่างเจรจาทันที
“คุณภามอยู่คนเดียวเหรอคะ”
“ใช่ เรียกพี่ก็ได้” ภามพยักหน้ารับแล้วบอกให้เธอเปลี่ยนสรรพนามตอนพูดคุยกัน เพราะถูกเด็กน้อยอย่างเธอเรียกว่าคุณทุกคำแล้วมันรู้สึกแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“ค่ะพี่ภาม” อัญญารินทร์พยักหน้ารับรัว ๆ พร้อมกับเอ่ยเรียกภามเสียงหวาน
นั่นทำให้ภามใจกระตุก รู้สึกเสียอาการขึ้นมาทันที
“อะ อื้ม”
ทำไมต้องมาใจสั่นเพราะถูกเด็กนี่เรียกด้วยนะ
ภามพยายามสลัดความรู้สึกบ้า ๆ นั้นออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว
“อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอคะ” อัญญารินทร์ไม่ได้สังเกตสีหน้าของเขา เธอยังคงถามเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ๆ
“ก็ไม่นะ” ภามส่ายหน้า เนื่องจากอยู่คนเดียวที่อังกฤษมานาน พอกลับไทยก็อยู่คอนโดก่อนจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ความรู้สึกที่แปลกไปคงมีเพียงแค่บ้านใหญ่กว่าคอนโดก็เท่านั้นเอง
“เก่งจังเลยค่ะ” อัญญารินทร์เอ่ยชมเขาอย่างจริงใจ เพราะถ้าเป็นเธอ มาอยู่คนเดียวแบบนี้คงจะเหงาน่าดู
“หึ ๆ” ภามมองดวงตาที่เป็นประกายด้วยความชื่นชมเขาแล้วหลุดขำออกมา
ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้คิดว่าเด็กสาวตรงหน้าไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน ทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปหมด
“นี่ใครทำ” ภามพยักพเยิดไปที่ชามข้าวต้ม
“คุณแม่ค่ะ” อัญญารินทร์ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม เพราะอาหารของคุณแม่ทานตะวันอร่อยที่สุด ถ้าเขาได้กินจะต้องติดใจเหมือนเธอแน่นอน
“ไม่ได้ทำเองเหรอ”
แต่ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่าว่าน้ำเสียงของภามออกจะติดเสียดาย เมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำ
“อัญทำอาหารไม่เป็นค่ะ” อัญญารินทร์ตอบกลับแล้วยิ้มแหยให้เขาเล็กน้อย แม้ว่าที่บ้านจะเปิดร้านอาหาร แต่เธอก็ไม่ได้สืบทอดพรสวรรค์นี้มาเลย
แค่เกลือกับน้ำตาล ก็ใช้เวลาหลายปีกว่าเธอจะแยกออก
“แต่ถ้าพี่ภามอยากกิน เดี๋ยวอัญให้คุณแม่สอนค่ะ” แต่เพราะอยากจะเอาใจภาม เพื่อไม่ให้เขาโกรธในเรื่องวันนี้ อัญญารินทร์จึงเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ
“เอาสิ จะรอนะ” ภามยิ้มออกมาแล้วมองอัญญารินทร์ด้วยสายตาเอ็นดูอย่างปิดไม่มิด
เขาสังเกตว่าเด็กสาวตรงหน้าเปลี่ยนไปแทนตัวเองด้วยชื่อเล่น น่าจะเพราะเริ่มสนิทใจในการคุยกับเขามากขึ้นแล้ว และนั่นก็ทำให้จิตใจเขาเบิกบานโดยไม่รู้ตัว
