บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 บังเอิญ

ครืด ครืด

ในขณะที่กำลังขับรถไปทำงานโทรศัพท์ของภามก็สั่น ซึ่งพอเปิดดูจากการเชื่อมต่อที่ด้านหน้ารถแล้วนั้น เขาก็เห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาเด่นหรา

สายเรียกเข้า : คุณย่า

ไม่รอช้า ภามรีบกดรับผ่านหน้าจอทันที

“ครับย่า”

“ภาม ทำอะไรอยู่ลูก” เสียงนุ่มนวลของย่าเอ่ยถามหลานชายอย่างใจดี

“ผมกำลังขับรถไปที่บริษัทครับ”

“เป็นยังไงบ้าง อยู่บ้านคืนแรก”

“ก็สบายดีครับ” นอกจากกลิ่นสีที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อย นอกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร

“นั่นไง ย่าบอกแล้วว่าอยู่บ้านสบายใจที่สุด ต่อไปก็หาหลานสะใภ้มาอยู่ด้วย จะได้มีเหลนตัวน้อย ๆ ให้ย่าได้อุ้มเสียที” คุณย่าไพพรรณกล่าวขึ้น เพราะเธอเป็นคนรบเร้าให้หลานชายซื้อบ้านเพื่อการนี้ จึงพูดปิดท้ายด้วยรูปประโยคเดิม ๆ

นั่นก็คือย้ำให้เขาหาแฟน

“หึ เรื่องอันนั้นเอาไว้ก่อนเถอะครับ ผมไม่รีบ ขอโฟกัสเรื่องงานก่อนดีกว่า” ภามหลุดหัวเราะออกมาแล้วพูดปัดไป

เรื่องนี้ตามจริงเขาคุยกับคุณย่าเป็นรอบที่ล้านแล้วว่าไม่รีบ แต่พอผ่านมาไม่กี่เดือนย่าก็เหมือนลืมแล้วพูดขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะกับหลานคนไหนก็ตาม

“อย่างนี้ทุกที แต่ละคนไม่ได้ดั่งใจย่าเลย เฮ้อ” ไพพรรณอดบ่นขึ้นมาไม่ได้

“คุณย่าโทรมาหาผมแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่าครับ” ภามไม่อยากให้ตัวเองผิดใจกับย่าเรื่องนี้ จึงถามถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายโทรมาหาเขา

“วันนี้ว่างหรือเปล่าลูก” เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

ภามนิ่งไปเล็กน้อยเพราะน้ำเสียงนั้นฟังดูตื่นเต้นและคาดหวัง จนเขารู้สึกตากระตุก มีลางสังหรณ์แปลก ๆ

“วันนี้ผมมีประชุมตอนเก้าโมงครับ” แต่สุดท้ายเขาก็ตอบไป วันนี้เขามีแค่ประชุมช่วงเช้าเท่านั้น ส่วนตอนบ่ายค่อนข้างว่างเพราะมีเซ็นอนุมัติงบประมาณนิดหน่อย ตั้งแต่บ่ายสองก็สามารถปลีกตัวออกไปข้างนอกได้

“ย่าหมายถึงตอนเย็นน่ะ”

“ว่างครับ ย่าจะให้ผมไปหาเหรอครับ” ส่วนตอนเย็นนั้นเขาว่าง จึงตอบไปตามตรงเผื่อว่าย่าจะเหงาเลยอยากให้หลานไปหาบ้าง

“เปล่าลูก ย่าจะให้ภามพาหลานสาวเพื่อนย่าไปซื้อของหน่อย” พอได้รับคำตอบจากหลานชาย คุณย่าก็มีน้ำเสียงพอใจขึ้นมา เธอปฏิเสธไม่ให้หลานไปหา แต่กลับมอบหมายภาระอันยิ่งใหญ่ใส่หัวภามเสียอย่างนั้น

“ย่าครับ” ภามเรียกย่าตัวเองเสียงเข้ม เขากำลังจะปฏิเสธแต่ก็ถูกตัดบทขึ้นมาเสียก่อน

“เดี๋ยวย่าให้น้องเขาไปหาที่บริษัทแล้วภามพาน้องไปทำธุระด้วยนะลูก”

“แต่...”

“โอ๊ะ มีสายเข้า แค่นี้นะภาม อย่าลืมล่ะ” พอเขาจะแย้งเธอก็ทำเป็นยุ่ง ก่อนจะตัดสายไปในทันที

ติ๊ด

ภามมองหน้าจอที่ขึ้นว่าปลายสายกดตัดไปแล้วด้วยสายตาเอือมระอา

“สงสัยทำกับไอ้คีนบ่อย พอเจอกับตัวก็ไปไม่เป็นเลยกู” เขาคิดไปถึงตอนที่คุยกับเพื่อนสนิทอย่างคีตา ภามก็ทำแบบนี้ทุกที สงสัยจะเป็นกรรมตามสนอง

จากที่กำลังคิดเรื่องประชุม ภามก็เปลี่ยนมาเครียดเรื่องเย็นวันนี้แทน ว่าจะรับมือกับคนที่ย่าแนะนำมายังไงดี

ดวงตากลมโตของอัญญารินทร์เบิกกว้างทันทีที่ตักไอศกรีมรสโปรดเข้าปาก

“เป็นไงบ้างอัญ อร่อยไหม” มีนา เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของอัญญารินทร์ที่ไปลากเพื่อนตัวเล็กออกมาจากบ้านได้ในช่วงบ่ายถามขึ้น พลางมองใบหน้าหวานของคนตรงหน้าด้วยสายตาคาดหวัง

“อื้ม อร่อย เหมือนที่อัญชอบกินเลยมีนา” อัญญารินทร์รีบกลืนสิ่งที่อยู่ในปาก แล้วตอบคำถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

อัญญารินทร์มีไอศกรีมรสโปรดคือวานิลาช็อกโกแลต แต่ไม่ว่าจะไปกินที่ไหนก็ไม่ค่อยจะถูกปาก จนคุณแม่ต้องทำให้กินและปรับสูตรให้ลูกสาวเอง อัญญารินทร์จึงมีร้านโปรดแค่ร้านเดียว ซึ่งก็คือร้านอาหารของครอบครัวตัวเอง ไม่ว่าจะไปเมื่อไหร่ก็ต้องสั่งทุกครั้ง

แต่ร้านที่มีนาพาเธอมาวันนี้ รสชาติคล้าย ๆ กับที่แม่ของเธอทำเลย

“ไงล่ะ เราบอกแล้วว่าอัญต้องชอบ” มีนาได้รับคำตอบจากเพื่อนก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างพอใจ

“ชอบจริง ๆ ขอบคุณนะที่พามากินของอร่อย” อัญญารินทร์ยิ้มกว้างจนตาหยีให้เพื่อน ไม่เสียแรงที่ยอมติดแหง็กท่ามกลางรถติดเพื่อมาที่นี่

“ไม่เป็นไร”

“แล้วนี่มีนาจะมาซื้ออะไรเหรอ” อัญญารินทร์ถามขึ้น เพราะในวันนี้มีนาไปลากเธอมาจากบ้าน อ้างว่าให้เธอพามาซื้อของ แต่ไม่ได้บอกว่าของอะไร

“เราว่าจะมาซื้อหนังสือ อีกอย่างก็อยากพาอัญมาเปิดหูเปิดตาด้วยไง” มีนาตอบแล้วทำหน้าเซ็ง

กว่าจะพาอัญญารินทร์ออกจากบ้านมาได้มันใช่เรื่องง่ายเสียที่ไหนกัน ปิดเทอมตั้งสองเดือนครึ่งยังไม่ได้เจอกันเลย

“วันนี้ก็ออกมาด้วยแล้วไง เดี๋ยวอัญช่วยเลือกหนังสือนะ” อัญญารินทร์ยิ้มแหยอย่างรู้สึกผิดที่ปฏิเสธคำชวนของเพื่อนสาวมาหลายครั้ง

“คนอะไรอยู่แต่บ้าน” เธออดบ่นอย่างไม่ได้จริงจังนัก

“ก็ไม่ชอบออกมานี่นา มันร้อน” อัญญารินทร์พูดแก้ตัว เธอไม่ชอบการเดินทางแล้วรถติดเป็นชั่วโมง จึงไม่ออกไปไหนเลยตลอดสองเดือน

“แต่ห้างไม่ร้อน ข้ออ้างของคนขี้เกียจมากกว่า” มีนากลอกสายตามองบนอย่างเอือมระอาและพูดขึ้นด้วยความหมั่นไส้ คำตอบของอัญญารินทร์คือข้ออ้างชัด ๆ

“อัญเปล่าขี้เกียจนะ!” เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขี้เกียจ อัญญารินทร์ก็เถียงขึ้นมาทันที พร้อมกับมุ่ยหน้าอย่างขัดใจ

เธอไม่ใช่คนขี้เกียจซะหน่อย

“รีบกินเถอะ เดี๋ยวจะพาไปเดินซื้อของ” เมื่อเห็นท่าทางเป็นแมวที่กำลังพองขนกางเล็บ แต่ไม่ได้น่ากลัวของอัญญารินทร์แล้วมีนาก็ตัดบทขึ้น เพราะไม่อยากเถียงกับเพื่อนเรื่องนี้อีกแล้ว

“ได้ แต่ว่า...” อัญญารินทร์พยักหน้าแล้วมองเพื่อนสนิทด้วยสายตาออดอ้อน

“หืม” มีนาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นของเพื่อนสนิท

“ขอไอติมรสนี้แบบโคนด้วยได้ไหม” อัญญารินทร์ชี้ไปที่ถ้วยไอศกรีมของตัวเองพร้อมกับร้องขอเพื่อน

“อัญกินเยอะไปแล้วนะ” มีนาแสร้งทำหน้าดุ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า นะ ๆ” อัญญารินทร์ส่ายหน้าแล้วงัดสกิลการออดอ้อนขึ้นมา ทำตาปริบ ๆ อย่างน่าสงสาร

“เฮ้อ ก็ได้” นั่นทำให้มีนาไม่สามารถใจแข็งได้ เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะตอบรับ แล้วยกมือขึ้นกวักเรียกพนักงานมาสั่งตามที่เพื่อนต้องการ

เมื่ออัญญารินทร์กินหมดถ้วยนั้นแล้วทั้งสองก็ไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ จากนั้นจึงพากันเดินออกไปซื้อของตามที่ตั้งใจไว้

อัญญารินทร์เดินถือไอศกรีมโคนตามหลังมีนาไปอย่างมีความสุข

ในขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น ด้วยความไม่ระวังทำให้อัญญารินทร์เผลอเดินไปชนเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังพอดี

“กรี๊ดด”

เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้นเพราะไอศกรีมในมือของอัญญารินทร์ตอนนี้ได้ไปอยู่บนเสื้อผ้าของเธอเป็นที่เรียบร้อย

มีนาที่เดินนำไปจึงรีบหันกลับมามอง เธอยกมือขึ้นกุมขมับด้วยความปวดหัว

“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรไหมคะ” อัญญารินทร์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่พอได้ยินเสียงกรี๊ดของอีกฝ่าย เธอก็ได้สติแล้วรีบกุลีกุจอเข้าไปขอโทษทันที

“ขอโทษแทนเพื่อนหนูด้วยนะคะ” มีนาเองก็รีบเดินเข้ามาช่วยเพื่อนสนิท

“เดินยังไงของแก ฮะ! อีเด็กบ้า!” แต่เหมือนว่าคู่กรณีจะไม่ยอม เธอตะคอกใส่อัญญารินทร์เสียงดังลั่น จนคนที่ผ่านไปผ่านไปมาแถวนั้นหันมาให้ความสนใจทั้งสามคนกันหมด

“เอ่อ” อัญญารินทร์น้ำตาคลอขึ้นมาทันทีและทำตัวไม่ถูก เกิดมาเธอไม่เคยโดนตวาดใส่หน้าแบบนี้จึงรู้สึกกลัวหญิงสาวตรงหน้า

“พวกแกรู้ไหมว่าชุดนี้ราคาเท่าไหร่ และแกยังจะทำให้ฉันเสียโอกาสพลาดเดตแรกอีก!” แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจ หญิงสาวยังคงระบายความโกรธเกรี้ยวออกมาโดยไม่อายคนที่มองมาเลยสักนิด

“ขอโทษแทนเพื่อนหนูจริง ๆ นะคะ” มีนาไม่พอเล็กน้อยที่ผู้หญิงคนนี้แสดงกิริยาแบบนั้นกับเพื่อนตัวเอง แต่ยังไงเรื่องนี้อัญญารินทร์ก็ผิด เธอจึงช่วยพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นก่อน

“เกิดอะไรขึ้น”

ยังไม่ทันที่ผู้หญิงคนนั้นจะได้วีนอะไรต่อ เสียงนิ่งเรียบที่ดังขึ้นก็ทำให้ทั้งสามคนชะงัก

“พี่ภาม ช่วยเชอร์รีด้วยค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นหันไปมองคนมาใหม่แล้วท่าทีของเธอก็เปลี่ยนไปทันที จากที่กำลังเกรี้ยวกราดเหมือนจะกินหัวอัญญารินทร์กับมีนา กลายเป็นอ่อนแอแล้วเดินไปกอดแขนผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทีออดอ้อนออเซาะ หมดคราบผู้หญิงขี้วีนเมื่อครู่นี้ไปโดยสิ้นเชิง

ภามทำหน้าเซ็งขึ้นมาด้วยความอ่อนใจ ผู้หญิงที่กำลังกอดแขนเขาอยู่ตอนนี้คือคนที่คุณย่าส่งมา เธอมาหาเขาตั้งแต่บ่าย แม้ว่าเขาจะอ้างว่ามีงานแต่เธอก็ยังรอ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องจำใจพาเธอมาซื้อของตามมารยาท

เมื่อครู่นี้เขาอ้างว่าไปคุยโทรศัพท์ กะว่าจะมาบอกเธอว่ามีธุระต้องไปต่อ แต่กลับมาเห็นเหตุการณ์นี้ขึ้นเสียก่อน

“เอ๋ พี่ภามเหรอคะ” อัญญารินทร์มองไปที่ภามแล้วเอียงคอเรียกชื่อเขาด้วยความสงสัยว่านี่ใช่พี่ภามที่อยู่ข้างบ้านของเธอหรือไม่ แต่ดูจากชุดที่เหมือนกับเมื่อเช้าแล้ว ไม่น่าจะเป็นฝาแฝดหรือคนหน้าเหมือนได้

เสียงหวานใสทำให้ภามชะงักและหันไปมอง เมื่อเห็นเด็กสาวที่อยู่ข้างบ้านตัวเองก็ขมวดคิ้วทันที

“อัญชันมาทำอะไรที่นี่” เขาถามขึ้นพลางมองหน้าอัญญารินทร์นิ่ง

“อัญมาซื้อของค่ะ”

“แกรู้จักเหรอ” มีนาที่ยืนอยู่ข้างอัญญารินทร์ถามขึ้นเบา ๆ

“พี่ภามรู้จักเด็กนี่ด้วยเหรอคะ” ส่วนเชอร์รีหรือเชอริลินที่กำลังเกาะแขนภามอยู่ก็สงสัยเช่นเดียวกัน

“อื้ม นี่คือเพื่อนบ้านใหม่เราเอง” อัญญารินทร์จึงตอบคำถามเพื่อนสนิทและชี้มือไปที่ภาม

“เพื่อนบ้าน หมายถึงบ้านหลังข้าง ๆ แกมีคนมาอยู่แล้วเหรอ” มีนาพยายามทำความเข้าใจ ตอนไปรับเพื่อนเธอไม่ได้มองบ้านหลังนั้นเลย

“ใช่ ก็พี่ภามนี่ไง” อัญญารินทร์พยักหน้าหงึกหงักแล้วยืนยัน

“สวัสดีค่ะ” มีนาหันไปยกมือไหว้เพื่อนใหม่ของอัญญารินทร์อย่างนอบน้อม

“สวัสดีครับ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น” ภามรับไหว้แล้วหันไปมองหน้าอัญญารินทร์นิ่งเหมือนเดิม

“น้องเขาเดินไม่ระวังจนมาชนกับเชอร์รี พี่ภามคะ ดูสภาพเชอร์รีตอนนี้สิคะ” แต่คนที่ตอบคือเชอริลิน เธอรีบฟ้องแล้วถลึงตามองเด็กสาวตัวต้นเหตุด้วยความไม่พอใจ

“อัญไม่ได้ตั้งใจนะคะ ก็พี่สาวเดินออกมาชนพอดี” อัญญารินทร์มุ่ยหน้าอย่างไม่พอใจ ตอนนี้เธอหายกลัวแล้ว จึงปฏิเสธและอธิบายให้ทุกคนฟัง

“จะบอกว่าเป็นความผิดของฉันเหรอ!” เชอริลินตะคอกใส่อัญญารินทร์อีกครั้ง

นั่นทำให้ภามหันขวับไปมองทันทีด้วยสายตาไม่พอใจ

“เอ่อ” พอเจอสายตาคมกริบของภาม เชอริลินก็ทำตัวไม่ถูก

“ขอโทษหรือยัง” ภามจึงหันไปถามอัญญารินทร์

“ยัยอัญขอโทษไปแล้วค่ะ แต่เขาไม่ฟัง เอาแต่ด่ากับด่า” เป็นมีนาที่ตอบแทนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เพราะเธอเริ่มจะไม่ไหวกับยายป้านี่แล้ว

“ไม่ใช่นะคะพี่ภาม” เชอริลินถลึงตามองทั้งสองสาวแล้วรีบปฏิเสธทันที

“น้องเขาก็ขอโทษเธอแล้วนี่” แต่ภามไม่สนใจ เขาเอ่ยขึ้นเสียงนิ่ง สีหน้าที่มองเชอริลินก็ไม่แสดงอารมณ์อะไร

“ค่ะ” นั่นทำให้เชอริลินทำตัวไม่ถูก และเดาอารมณ์ของภามไม่ได้จริง ๆ ในตอนนี้

“มีอะไรอีกหรือเปล่า”

“เดี๋ยวเชอร์รีไปซื้อชุดใหม่มาเปลี่ยน แล้วเราค่อยไปทานข้าวกันนะคะ” เชอริลินรีบพูดเอาใจเขา และดึงดันจะไปเดตกับเขาให้ได้ในวันนี้

“ขอโทษที วันนี้ฉันไม่ว่าง ต้องรีบกลับแล้ว” แต่ภามกลับปฏิเสธเสียอย่างนั้น

“ตะ แต่”

เชอริลินพยายามจะยื้อแต่ภามไม่สนใจ เขาแกะแขนของเธอออก จากนั้นจึงหันไปมองหน้าอัญญารินทร์พร้อมกับถามขึ้น

“กลับด้วยไหม”

“คะ” อัญญารินทร์ทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจที่เขาพูด

ไหนว่าไม่ว่าง แล้วเขาจะไปส่งเธอที่บ้านเหรอ

“กลับบ้านด้วยกันหรือเปล่า” ภามจึงเอ่ยย้ำอีกครั้ง

อัญญารินทร์ตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์จะอยู่ต่อแล้ว จึงหันไปมองหน้ามีนาอย่างขอความเห็น

“กลับเลยก็ได้แก หมดอารมณ์แล้วเหมือนกัน” มีนาเองก็รู้สึกเซ็ง ๆ คิดว่ารีบกลับน่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องอารมณ์เสียไปมากกว่านี้

“ตามมา” ภามที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่จึงเอ่ยขึ้นและเดินนำเด็กสาวทั้งสองไป

“พี่ภาม พี่ภามคะ! ฮึ่ย” เชอริลินพยายามเรียกเขาไว้ แต่เขากลับไม่สนใจเลยสักนิด จนเธอแทบอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยความขัดใจที่ทุกคนทิ้งให้เธอยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel