Chapter 3: ไม้กันหมา[1]
รอจนแทบหลับกว่าที่พี่อินทร์จะซ้อมบ้าซ้อมบออะไรนั่นเสร็จ ผมมองเขาตาขวางเชียวล่ะตอนเขาเดินหน้าระรื่นเข้ามาหา
“ปะ เสร็จละ กลับได้”
ผมแสร้งเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่เข็มสั้นชี้เลขสิบสองแล้วก็ค้อนเขาขวับ
“คงต้องเปลี่ยนจากขอยืมยี่สิบบาทเป็นสองร้อยแล้วล่ะครับ”
พี่อินทร์แสร้งทำหน้าประหลาดใจ
“อ้าว ทำไมล่ะ”
ผมรู้นะว่าเขารู้อยู่แล้วว่าทำไม
ก็ตอนนี้มันจะไปมีรถเมล์ได้ยังไงเล่า! ไอ้บ้าเอ๊ย! หลอกให้นั่งรออยู่ได้ตั้งนาน ที่แท้จะให้ยืมเงินเพิ่มนี่เอง!
ผมอยากจะโวยใส่นัก แต่ก็ทำเพียงบอกเขาไปตามตรงเท่านั้น
“รถเมล์หมดเที่ยวแล้ว ผมจะขึ้นแท็กซี่กลับ ค่ารถมันร้อยกว่าบาท”
คนฟังแสร้งร้องอ๋อทันที ก่อนที่จะทำท่าเหมือนนึกอะไรหรอก
“แต่เอ... ถ้าจะขึ้นแท็กซี่ มันต้องเดินออกไปขึ้นที่หน้า ม.นะ ไม่มีรถเข้ามาแล้ว”
เรื่องนั้นผมก็รู้อยู่หรอก แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ มีทางเลือกอื่นเสียที่ไหน
“จะเดินเหรอเรา จากตรงนี้ไปหน้า ม.มันไกลน้า”
พี่อินทร์แสร้งว่ามาอีก ผมตอบกระฟัดกระเฟียดกลับไปทันที
“แล้วมันเพราะใครล่ะครับ รีบเอาตังค์มาเร็วๆ เข้า รอจนยุงกันเต็มตัวไปหมดแล้วเนี่ย” จากนั้นก็อดพึมพำไม่ได้ “ถ้ารู้ว่าต้องรอนานขนาดนี้นะ เดินกลับเอง ป่านนี้ถึงไปนานแล้ว”
ทำเป็นพูดประชดแดกดันไปอย่างนั้นแหละ เอาเข้าจริงผมก็ไม่เดินหรอก ถนนมันไม่เอื้อต่อการเดินกลับหอที่อยู่ไกลขนาดนั้นเสียหน่อย
แต่พี่อินทร์ก็ไม่ได้สนใจที่ผมประชดเลยแม้แต่น้อย คว้าแขนผมที่มีรอยยุงกัดแดงๆ ไปจับหน้าตาเฉย
“หูย โดนกัดเต็มตัวเลยจริงด้วย เอายาหม่องไหม เดี๋ยวพี่ไปเอาให้”
กูไม่อยากได้หรอกยามงยาหม่องเนี่ย! เอาตังค์มายืมเร็วเข้า!
ผมส่ายหัวพรืด อยากจะบอกเหลือเกินว่าอยากกลับหอเต็มแก่แล้ว ทว่าพี่อินทร์ก็ดันแทรกขึ้นมาก่อน
“แต่ยาหม่องอยู่ที่รถพี่นะ จอดอยู่ตรงโน้น”
ผมมองตามปากยื่นๆ ของพี่อินทร์แล้วก็ได้แต่ย่นคิ้ว รู้สึกเหมือนคนตรงหน้าวางแผนอะไรบางอย่าง แต่กว่าจะคิดออก พี่อินทร์ก็ยิ้มร่าแล้วเรียบร้อย
“พอไปเอายาหม่องแล้ว พี่ก็ขับรถไปส่งที่หอเลยแล้วกันเนอะ ดึกแล้ว กลับคนเดียวมันอันตราย”
นั่นปะไร กูว่าแล้ววว! มิน่าล่ะ ทำไมถึงได้หลอกให้ผมนั่งรอ ที่แท้ก็ล่อให้ติดกับนี่เอง ไอ้อิเหนา! ไอ้จอมเจ้าเล่ห์!
ไม่รู้หรอกว่าอยากจะไปส่งผมที่หอทำไม แต่จิตใต้สำนึกของผมบอกเลยว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ผมเลยรีบปฏิเสธทันควัน
“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ เอาตังค์มาแล้วกลับเองดีกว่า”
แบมือออกไปขอเงินเลย ทว่าพี่อินทร์กลับปฏิเสธ
“บอกแล้วว่าเดี๋ยวไปส่ง”
“แต่ผม...”
“ไม่ไปก็ตามใจนะ คืนนี้ก็นอนที่นี่แล้วกันเนอะ”
“ก็ผมจะขอยืมตังค์...”
“ไม่ให้”
พูดจบก็ลอยหน้าลอยตาให้ผมได้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มึงมันกวนตีนไอ้อิเหนา!
ผมหมดคำพูดทันที จะมีก็แต่พี่อินทร์นี่แหละที่ยังคงพล่ามไม่เลิก
“ตกลงจะกลับไม่กลับ ง่วงแล้วเนี่ย ฮ้าว~” แสร้งทำเป็นหาวด้วย
ไม่มีทางเลือกแล้วสินะพับผ่า ให้ไปส่งก็ได้วะ
“โอเคครับ ไปส่งก็ไปส่ง”...แต่หน้าปากซอยพอนะ
ประโยคหลังไม่บอกหรอก ขืนบอกไป มีหวังคงได้ยืนเถียงกันยาวอยู่ตรงนี้แน่ๆ ผมรู้สึกว่าถ้าผมมีข้อต่อรอง เขาคงจะไม่ยอมขยับเขยื้อนจากตรงนี้ ตอนนี้รีบๆ ไปจากที่นี่จะดีกว่า พรุ่งนี้มีเรียนเช้าด้วย เดี๋ยวตื่นไม่ไหวกันพอดี
“งั้นก็กลับกันเลย”
พอตกลงง่ายๆ อย่างนี้ ความง่วงงุนของพี่อินทร์ก็อันตรธานหายไป เหลือแต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าหล่อนั่น ก่อนที่ผมจะเดินตามเขาซึ่งเดินไปยังลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกล
ยืมตังค์อิเหนาไม่พอ ยังให้อิเหนาขับรถไปส่งที่หออีก เอน็จอนาถอะไรแบบนี้นะ...
ตอนแรกที่กะว่าจะให้ไปส่งแค่ที่หน้าปากซอยพอ แต่พอผมขอลงทั้งที่ยังไม่ถึงหน้าหอ พี่อินทร์ก็ไม่ยอมให้ลง จากนั้นก็เกิดสงครามน้ำลายกันเพราะผมดึงดันจะลงให้ได้ เสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็พบว่าผมพ่ายแพ้ให้แก่อิเหนาอย่างราบคาบ เพราะความง่วงและความเหนื่อย ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นว่าถูกอิเหนามาส่งถึงหน้าห้องอีกด้วย
เดี๋ยวกูจะย้ายหอ!
ถูกอิเหนารู้ที่อยู่แล้ว ต้องรีบย้ายหอหนี รอมีเงินก่อนเถอะ ย้ายแน่ๆ เพราะถ้าเกิดมีเรื่องอะไรขึ้นมา หรือผมได้ครองรักกับบุษบาในชาตินี้ มีหวังพี่อินทร์ได้ตามมาเผาห้องเหมือนกับที่เผาโรมโหรสพในวันแต่งงานของผมแล้วลักพาตัวพี่บุศย์ไปแน่ๆ
เรื่องนั้นผมยอมไม่ได้!
เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วไม่ทนคือจารกาคนนี้ ชาตินี้ผมจะไม่มีวันให้ใครมาแย่งพี่บุศย์ไปจากอ้อมอกผมอีกเป็นอันขาด!
หมายมั่นปั้นมือไว้เป็นอย่างดี แต่พอเช้าวันใหม่ก็เกิดสำนึกในบุญคุณอิเหนาที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งที่หอเสียอย่างนั้น ถึงจะไม่ชอบหน้าอะไรสักเท่าไร ทว่าผมก็ไม่ใช่คนที่จะลืมบุญคุณใครง่ายๆ
อย่างน้อยก็ไปขอบคุณหน่อยก็แล้วกัน...
คิดได้ดังนั้น พอพักเที่ยง ผมก็รีบส่งข้อความหาพี่บุศย์ทันที โดยมีเนื้อความว่า...ขอเบอร์โทรของพี่อินทร์
พี่บุศย์ค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ก็ไปขอเบอร์ของรูมเมตเขา พอผมเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน เขาก็เข้าใจ ยอมให้เบอร์มาแต่โดยดี และที่ผมขอเบอร์ไปก็ไม่ใช่อะไร จะเลี้ยงข้าวนั่นแหละ
ส่วนกระเป๋าตังค์ผมที่หายไปเมื่อวานน่ะเหรอ? เออ ไม่ได้หายหรอก ไปค้นเจอเมื่อเช้าจากในแฟ้มชีทเรียน ดันลืมไปว่าไม่ได้พกใส่กระเป๋ากางเกงเพราะกางเกงที่สวมมาเมื่อวานนั้นมันกระเป๋าตื้น
ไอ้บ้าจิระเอ๊ย ไม่ดูให้ดีๆ จนต้องบากหน้าไปขอยืมเงิน เสียหน้าเลยเห็นไหมเนี่ย!
แต่ในเมื่อพี่อินทร์อุตส่าห์ไปส่งผม และผมก็ไม่ใช่คนเนรคุณใครได้ง่ายๆ มีแค้นก็ต้องชำระ มีบุญคุณก็ต้องตอบแทน ดังนั้นพอได้เบอร์โทรของพี่อินทร์มา ผมก็โทรหาเขาทันที รออยู่อึดใจหนึ่ง ปลายสายก็มีเสียงตอบรับ ผมกรอกเสียงลงไปทันที
“พี่อินทร์ครับ นี่ผมเองนะ...จิระ”
[จิระ?]
“จิ น้องรหัสพี่บุศย์น่ะครับ”
อีกฝ่ายส่งเสียงร้องอ๋อมาให้ได้ยินเล็กน้อยก่อนตามมาด้วยคำถาม
[มีอะไรเหรอ โทรหาพี่แบบนี้...คิดถึง?]
แหม... น่าคิดถึงตายล่ะมึง ทำไมหลงตัวเองได้ขนาดนี้วะ
“เปล่าครับ ผมแค่จะโทรมาขอบคุณเรื่องเมื่อวานน่ะ”
ผมเลยรีบแก้คำพูดไป ฝ่ายนั้นร้องอ๋อมาให้ได้ยินอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องย่นคิ้วยู่
[ถ้าอยากจะขอบคุณพี่จริงๆ นะ มาบอกกันต่อหน้าดีกว่า]
แม่ง...ได้คืบจะเอาศอก โทรมาขอบคุณก็ดีนักหนาแล้วเว้ย!
ทว่า...
“แล้วพี่อินทร์อยู่ไหนเหรอครับ”
...กลับตอบไปแบบนี้
เอาวะ ไปขอบคุณต่อหน้าก็ได้ จะได้จบๆ ไป ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก
[พี่อยู่ที่โรงอาหารคณะวิทยาฯ มาหาหน่อยสิ]
“อ้าว พี่อินทร์ไม่ได้เรียนสินกำเหรอครับ”
[เรียนสินกำนั่นแหละ]
“แล้วทำไม...”
[วันนี้ย้ายที่กินข้าวเที่ยง]
ผมถามยังไม่ทันจะจบประโยคดีเลย พี่อินทร์ก็ตอบกลับมาแล้ว ผมออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนะว่าทำไมถึงต้องถ่อไปกินข้าวที่นั่น เพราะคณะวิทยาศาสตร์กับคณะศิลปกรรมศาสตร์นี่ ตึกมันห่างกันคนละฟากฝั่งของมหาวิทยาลัยเลยนะ แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรให้มันยุ่งยากหรอก ได้แต่รับปากไป เรื่องจะได้จบๆ สักที
“ได้ครับ ไว้เจอกันนะ”
วางสายได้ ผมก็มุ่งหน้าไปยังที่หมายทันที โรงอาหารของคณะวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ต่างหรือพิเศษกว่าโรงอาหารของคณะอื่นสักเท่าไรหรอก ร้านอาหารก็หน้าตาเหมือนๆ กัน จะแปลกตาไปบ้างก็แค่นักศึกษาที่ผมไม่คุ้นหน้าเท่านั้น
ผมเดินดุ่ยๆ ฝ่านักศึกษาของคณะนี้ที่พากันมองผมเป็นตาเดียว บางคนก็ชี้ชวนเพื่อนให้มองมาที่ผมด้วย จริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติแหละ เพราะผมก็มักจะถูกจ้องมองด้วยความสนใจแบบนี้บ่อยๆ แต่มันจะดีมากกว่าถ้าคนที่มองน่ะ...เป็นผู้หญิง และใช่...ไอ้ที่มองมาเป็นผู้ชายหมดเลยเว้ย!
ผมแสร้งทำเป็นไม่มองใคร รีบปรี่เข้ามาหาพี่อินทร์ทันทีเมื่อเห็นเขาโบกมือเรียก ก่อนจะรีบทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเขา
“ว่าไง อยากเจอพี่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอหืม?”
เห็นหน้าผมได้ก็กวนประสาททันที ผมย่นคิ้วน้อยๆ ตอบกลับเสียงขุ่นระคนรำคาญ
“ใช่ที่ไหนล่ะครับ ผมแค่จะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวานต่างหาก ก่อนหน้านี้ก็บอกไปแล้วไง”
“ว้า~ เสียใจจัง นึกว่าคิดถึง”
“เอาเป็นว่าขอบคุณนะครับที่ไปส่งที่หอ”
แต่ไม่ขอบคุณเรื่องที่หลอกให้นั่งรอจนยุงกัดเต็มตัวหรอกนะ
