5 ขุนพลขี้แย
มู่ช่างเดินยังไปยังเรือนของมู่โจว ในใจคิดอยากจะชวนน้องชายเดินทางเข้าเมืองหลวงไปเป็นเพื่อน
ยามนั้นกู้เยว่ฉี น้องสะใภ้ของเขากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ สองสามีภรรยากำลังผลัดกันป้อนอาหารอย่างมีความสุข มู่โจวเงยหน้าขึ้นเห็นพี่ชายก็ยิ้ม
“พี่ช่าง เหตุใดหน้าท่านถึงได้มู่ทู่เยี่ยงนั้น”
“ข้าน่ะหรือ” มู่ช่างเอ่ยพร้อมทั้งนั่งกระแทกร่างลงข้างน้องชาย “ก็เพราะข้าต้องเข้าเมืองหลวงไปดูตัวน่ะสิ”
กู้เยว่ฉีได้ยินเข้าก็ยิ้ม “พี่ช่างก็สมควรแก่เวลาที่จะมีครอบครัวแล้วนี่เจ้าคะ คู่หมายของท่านเป็นผู้ใดกัน ข้าชักสนใจเสียแล้วสิ”
“บุตรีของใต้เท้าหยวน” ชายหนุ่มตอบเสียงห้วนๆ
“หยวนเหิงน่ะหรือ ข้าจำได้ว่าหยวนจื่อจิงบุตรชายคนโตของใต้เท้าหยวนรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เช่นนั้นแล้วบุตรสาวก็คงงดงามมิใช่น้อย” มู่โจวเอ่ยพลางใช้ตะเคียบคีบไก่ย่างชิ้นหนึ่งวางบนถ้วยข้าวของภรรยา
“เรื่องนี้ก็ไม่แน่ ได้ยินว่านางล้มป่วยนานนับปีเพิ่งจะลุกขึ้นเดินเหินได้ มิใช่ว่าข้าจะถูกสกุลหยวนย้อมแมวขายหรือ ซ้ำยังยากจะปฏิเสธด้วยเพราะเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้”
มู่โจวกับภรรยาถึงกับชะงัก สองสามีภรรยาสบตากัน
“พี่ช่าง เรื่องนี้อาจจะมีเบื้องหลัง”
“นี่ล่ะ ข้าจึงอยากจะขอให้เจ้าเข้าเมืองหลวงไปกับข้าหน่อย ข้าอยากจะไปดูนาง”
“ไม่เอา” มู่โจวส่ายหน้า “ท่านก็เห็นว่าเยว่เอ๋อร์ของข้ากำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ข้าต้องคอยดูแลนาง”
“ข้าเล่า ข้าเป็นพี่ชายของเจ้านะ เจ้าจะปล่อยให้ข้าเดินทางเพียงลำพังได้อย่างไร” มู่ช่างเม้มริมฝีปาก
“พี่โจว ท่านมีทหารคนสนิทอยู่ พวกเขาต้องติดตามท่านไปอยู่แล้ว เหตุใดต้องมีข้าไปด้วย”
“พวกนั้นไปด้วยก็จริงแต่ช่วยออกความคิดไม่ได้แล้ว ไม่เหมือนกับเจ้า หากว่าข้ามีเจ้าไปด้วย อย่างน้อยเจ้าก็จะได้ช่วยข้าตัดสินใจ”
เมื่อเห็นว่าน้องชายทำทีแข็งใจไม่ยอมตอบรับมู่ช่างก็เริ่มทำตาแดงๆ กอปรกับเขามีอาการคล้ายจะเป็นหวัดอยู่แล้วทำให้น้ำหูน้ำตาไหลไม่ยากนัก ท่าทางของเขาดูแล้วช่างน่าสงสารจนกู้เยว่ฉีใจอ่อน หันไปมองหน้าสามี
“พี่โจว ข้าว่าท่านไปกับพี่ช่างก็ดีนะ จริงอย่างพี่ช่างบอก ผู้อื่นไปด้วยแต่ช่วยคิดอ่านไม่ได้เท่ากับท่าน พวกท่านเป็นพี่น้องกัน ท่านไปดูแลพี่ช่างเสียหน่อยดีกว่า”
มู่โจวลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวจ้องหน้าพี่ชาย “พี่ช่าง ท่านอย่ามาใช้วิธีนี้กับเยว่เอ๋อร์นะ ข้ารู้ว่าความจริง ท่านไม่ได้น่าสงสารอย่างที่แสดงออกมา ท่านเป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ รบราฆ่าฟันกับศัตรูมานับไม่ถ้วน อย่ามาแสร้งอ่อนแอใส่ข้า”
มู่ช่างควักเอาผ้าเช็ดหน้าที่แม่นมหมิ่นเตรียมให้ทุกเช้าออกมาจากอกเสื้อแล้วซับน้ำตา “เจ้ามันคนใจร้าย ก่อนที่เจ้าจะแต่งงานเจ้ารับปากข้าว่า หากว่าข้ามีเรื่องทุกข์ร้อนจำเป็น เจ้าจะช่วยเหลือข้าทุกครั้ง”
มู่โจวส่ายหน้าด้วยความเหลืออด “ข้าเริ่มเห็นด้วยกับท่านพ่อท่านแม่แล้วว่าต้องรีบหาภรรยาให้ท่านโดยเร็ว”
“เจ้า” มู่ช่างเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย แต่พลันคิดได้ว่าสู้ไปแสร้งอ่อนแอต่อน้องสะใภ้จะได้ผลมากกว่า เขาจึงหันไปหากู้เยวฉี “เยว่เอ๋อร์ พี่ช่างรักและเอ็นดูสามีเจ้ามากกว่าผู้ใด เจ้าคิดดูสิ หากวันหน้ากู้เฉินเห็นผู้อื่นสำคัญกว่าเจ้า เจ้าจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือไม่”
ไม่เพียงแต่พร่ำรำพันและขยับไปใกล้กู้เยว่ฉี มู่ช่างยังทำน้ำตาไหลพรากๆ ได้อีกด้วย
“พี่ช่าง ท่านอย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ” กู้เยว่ฉีรีบยกสองมือขึ้นระดับอก โบกมือห้ามพี่ชายของสามีให้วุ่น “เจ้าค่ะๆ เป็นข้าก็คงไม่พอใจเช่นกันที่เขาจะเห็นคนอื่นสำคัญกว่า”
ปลายนิ้วของมู่ช่างชี้ไปยังมู่โจว น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “เจ้าก็บอกสามีเจ้าให้ไปกับข้าสิ ข้าถึงจะหยุดร้อง”
คราวนี้กู้เยว่ฉีไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี พี่ชายคนรองของสามีเป็นชายชาติทหารที่มักจะแสดงความอ่อนแอเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากคนในครอบครัว หากยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็จะร้องต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเขาทำให้น้ำตาไหลเช่นนี้ได้อย่างไร
กู้เฉินเป็นน้องชายของกู้เยว่ฉี ก่อนหน้านี้ในตอนที่ มู่โจวมาเกี้ยวพานนาง กู้เฉินเองก็ไม่ชอบมู่โจวนัก มู่โจวจึงให้มู่ช่างมาช่วยกันกู้เฉินให้ ผลก็คือกู้เฉินถูกมู่ช่างปั่นหัวจนต้องยอมล่าถอย
“เฮ้อ!” มู่โจวได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เขาเริ่มเห็นด้วยกับบิดามารดาว่าหากจับพี่ชายแต่งงานเสีย นิสัยเสียๆ เยี่ยงนี้น่าจะหมดไป
พลันกู้เยว่ฉีก็คิดขึ้นได้ “ถ้าเช่นนั้น พี่ช่างไปชวนเสี่ยวเฉินด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ เขาว่างๆ อยู่ให้ไปเป็นเพื่อนท่านก็น่าจะดี”
“อืม...ชวนกู้เฉินไปด้วยก็ดีจะได้มีคนร่วมขบวนมากขึ้น แต่ว่าข้าต้องมีเสี่ยวโจวไปด้วยนะ” มู่ช่างยังไม่วายวกกลับมาดึงเอาตัวน้องชาย
สองสามีภรรยาถอนหายใจพรืดออกมาพร้อมกัน มู่ช่างก็เป็นเช่นนี้ หากว่าหมายมั่นสิ่งใดแล้ว ยากจะเปลี่ยนใจ
“พี่โจว ท่านก็ไปเป็นเพื่อนพี่ช่างเถิด ให้เสี่ยวเฉินมาอยู่ดูแลข้าก็ได้เจ้าค่ะ” น้ำเสียงกู้เยว่ฉีเต็มไปด้วยความระอา เป็นนางเองที่ก่อนหน้านี้คิดว่าพี่ชายคนรองของสามีน่าจะเป็นคนเคร่งขรึมจริงจัง แต่...ก็อย่างที่เห็น ขี้แย เอาแต่ใจ
มู่โจวจำต้องเก็บข้าวของเดินทางเข้าเมืองหลวงไปกับพี่ชายคนรอง เขาฝากฝังให้กู้เฉินน้องชายของภรรยาเข้ามาดูแลนางทุกวัน
มู่ช่างยิ้มหัวอย่างยินดี ไม่ใช่ว่าเขาไม่ห่วงกู้เยว่ฉี แต่ที่บ้านมีทั้งท่านพ่อท่านแม่ และยังมีพี่ชายกับพี่สะใภ้อีก ไหนเลยจะต้องเป็นห่วงถึงขนาดนั้น
ใช้เวลาเดินทางอยู่หลายวันก็ถึงเมืองหลวง พวกเขาเดินทางเข้าไปพักที่จวนอ๋องที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้หลังจากปราบกบฏได้สำเร็จ
“ข้าจำได้ว่าจวนสกุลหยวนอยู่ห่างไปอีกสองถนน เอาไว้เราไปเที่ยวรอบเมืองสักวันก่อนค่อยไปพบนาง” มู่ช่างกล่าวอย่างไม่ร้อนใจ
“ก็ดีเหมือนกัน ตั้งแต่ปราบกบฏคราวนั้น ข้าก็ไม่ได้เหยียบย่างมาที่นี่อีก ไม่รู้ว่าเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด”
มู่โจวสนใจเพียงข่าวเกี่ยวกับขุนนางและการปกครอง หากเป็นเรื่องการค้า คงต้องสอบถามจากภรรยาเพราะ กู้เยว่ฉีกลายเป็นคหบดีหญิงผู้มั่งคั่ง นางกุมการค้าแทบจะทั่วแคว้นเหลียน ดังนั้นข่าวสารเรื่องสินค้าหรือกฎหมายการค้าและภาษี มู่โจวจึงต้องสอบถามจากนาง
“เดือนก่อน เหล่าฟางเข้ามาเมืองหลวง เห็นบอกว่าถนนไป๋เติ้งโหลงคึกคักมาก พวกเราลองไปเดินดูกันสักหน่อย” มู่ช่างอ้างถึงฟางจิ่นรองหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์
มู่โจวพยักหน้ารับ ในย่านที่มีทั้งหอคณิกา บ่อนการพนัน และโรงสุรา มักจะเต็มไปด้วยข่าวจริง ข่าวลวง และข่าวลับ ซึ่งอย่างสุดท้ายนี่คือสิ่งที่พวกเขาควรจะรู้ไว้
“ท่านส่งคนมาคอยสอดส่องใช่หรือไม่” มู่โจวเลิกคิ้ว
“อืม” หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์รับคำเบาๆ “ถึงท่านพ่อจะได้เป็นอ๋องแล้ว แต่เราก็ไม่อาจวางใจ เห็นว่าคนของเจ้าบาดเจ็บไปมาก ข้าจึงส่งคนของข้ามาแทน”
“ดีขอรับ”
“กบฏพระสนมหลิงทำให้ทุกฝ่ายสูญเสียไปมาก ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรประมาท แม้เหตุการณ์จะดูสงบ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีผู้มักใหญ่ใฝ่สูงกำลังพยายามทำเรื่องไม่ดีอยู่”
มู่ช่างได้รับคำสั่งจากบิดาให้วางกำลังคนเอาไว้ในเมืองหลวงเพื่อคอยติดตามความเปลี่ยนแปลง
สองพี่น้องออกเดินเตร็ดเตร่เที่ยวเล่นในเมืองหลวง แคว้นเหลียนมีชายแดนฝั่งตะวันออกติดทะเล มีท่าเรือขนาดใหญ่และเรือสำเภาค้าขายจำนวนมากล่องเข้าออก
ช่วงที่เกิดเหตุก่อกบฏ การค้าทางทะเลก็ซบเซาไปช่วงหนึ่ง บัดนี้กลับมาสู่ภาวะปกติ สินค้าจากเรือสำเภาแดนไกลถูกนำมาค้าขายกันอย่างคึกคัก
“ข้าว่าจะซื้อถ้วยชามตะวันตกไปฝากท่านแม่สักหน่อย” มู่ช่างเอ่ย ขณะมองดูลังไม้จำนวนมากที่มีถ้วยชามงดงามอยู่ข้างใน
มู่โจวเห็นด้วย สองพี่น้องซื้อชุดน้ำชาสำหรับบิดา และถ้วยชามน่าใช้สำหรับมารดา ออกจากท่าเรือพวกเขาก็ไปยังย่านการค้าสำคัญๆ ในเมืองหลวง และแวะไปรับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารเลื่องชื่อ
*************************
