
บทย่อ
ขุนพลมู่ช่าง (จากเรื่องพลิกชะตาแค้นสามี) บุตรชายเหอผิงอ๋องจำต้องไปพบว่าที่คู่หมั้น คุณหนูรองสกุลหยวน เขาปฏิเสธการคลุมถุงชนต่อหน้านาง และตกลงจะคบกันเพียงสองเดือน ทว่ากลับได้รู้ความลับที่นางเป็น "หน้ากากจิ้งจอกแดง" หัวหน้านักเลงคุมถนนโลกีย์ จากนั้นเขาก็เริ่มสนใจในตัวนาง และได้รู้เรื่องที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้น หยวนชิงหลินผู้นี้...ช่างมีความเป็นมาพิสดารเสียจริง!
1 นักเลงโต
ณ เมืองหลวงแคว้นเหลียน
ถนนไป๋เติ้งโหลงซึ่งเป็นหนึ่งในถนนสายสำคัญที่มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในยามค่ำคืนไม่ขาดสาย ชื่อของถนนหมายถึงโคมไฟสีขาวที่ส่องแสงสว่าง ช่างเป็นชื่อที่มีความเหมาะสมยิ่ง
ในเมื่อไฟบนถนนสายนี้ไม่เคยมอดดับ ผู้คนที่เดินอยู่ขวักไขว่ล้วนเป็นหมกมุ่นและมักมาก ชาวเมืองจึงมักเรียกถนนสายนี้ว่า ‘ถนนโลกีย์’
บุรุษเปล่าเปลี่ยวต่างหมายมาหาสตรีงามวัยกำดัดในหอคณิกา ผู้ชมชอบการร่ำสุราพากันตรงไปที่เหลาสุรา และผีพนันชอบแวะเวียนเข้าออกโรงพนันใหญ่โตที่ปลายถนน
ร่างค่อนข้างหนาที่สวมหน้ากากจิ้งจอกแดงปิดบังส่วนบนของใบหน้ายกสุราขึ้นกระดกขณะมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาบนท้องถนน
“เสี่ยวฉิน วันนี้มีเรื่องวุ่นวายหรือไม่” สายตาของบุรุษร่างสันทัดที่สวมหน้ากากแดงปรายมองฉินอี้
“มีขี้เมาสองคนไล่ทุบตีแย่งเงินพ่อค้าที่มาเที่ยวหอเจินจู แต่ข้ากับเหล่าเฉาทุบพวกเขาแล้วสั่งให้คืนเงินเรียบร้อยแล้วท่านไป๋” เด็กหนุ่มวัยสิบแปด ร่างสูงหนาค้อมศีรษะ
“ดี! เช่นนี้พวกมือปราบจะได้ไม่ต้องรับคดีเพิ่มไปอีก หากไม่มีเรื่องแล้ว ข้ากลับก่อนล่ะ”
“เชิญ พี่ใหญ่”
ร่างสันทัดที่ค่อนข้างหนากระโจนอย่างคล่องแคล่วขึ้นบนกำแพง มองซ้ายมองขวาไม่เห็นผู้ใดก็กระโดดลงพื้นแล้ววิ่งไปยังเรือนพักหลังงาม
“คุณหนูกลับมาเสียที เมื่อครู่หลี่มามาเข้ามาถามหาคุณหนู เกือบแย่แล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้หน้าตายุ่งยากใจ
หยวนชิงหลินดึงหน้ากากจิ้งจอกแดงออกวางบนโต๊ะ ยิ้มน้อยๆ “แต่ก็ไม่แย่ มิใช่หรือ”
“หากเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยๆ ไม่ดีแน่ คุณหนูอย่ากลับดึกอีกนะเจ้าคะ” ไป๋หมินเต็มไปด้วยความกังวล คุณหนูของนางแอบออกไปยามหัวค่ำและกลับตอนดึกแทบทุกวัน
“ไม่ได้หรอก ถนนโลกีย์ต้องมีข้าคอยดูแล ไม่เช่นนั้น พวกมือปราบก็ต้องทำงานหนัก”
ไป๋หมินถอนหายใจยาว คุณหนูของนางตั้งแต่ถูกท่านหมอเยียนดึงวิญญาณกลับมาจากปรโลกก็มีนิสัยประหลาดเพิ่มมาด้วย
ก่อนหน้านี้คุณหนูรองหยวนชิงหลินเป็นคนขี้กลัว ขี้อาย และไม่ชอบการพบปะพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่บัดนี้เพียงสวมหน้าจิ้งจอกแดงก็กลายเป็น ‘พี่ใหญ่ไป๋’ ของนักเลงร่วมสามสิบคนที่คอยดูแลถนนไป๋เติ้งโหลง
“คุณหนูเจ้าค่ะ ท่านทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สักวัน ความลับต้องแตก ถึงวันนั้น ข้าเกรงว่าคุณชายใหญ่....”
หยวนชิงหลินยักไหล่เล็กน้อย “เอาไว้ถึงวันนั้นก่อนเถิด ตอนนี้พี่ใหญ่ยังต้องพึ่งพาข้าในการดูแลถนนโลกีย์อยู่ นี่ถือว่าข้าเสียสละช่วยงานเขานะ”
พี่ใหญ่ที่หยวนชิงหลินพูดถึงก็คือหยวนจื่อจิง หัวหน้ามือปราบหน่วยที่เจ็ดแห่งสำนักมือปราบเมืองหลวง เป็นพี่ชายร่วมบิดามารดากับนาง เขตการดูแลของเขารวมเอาถนนไป๋เติ้งโหลงเข้าไว้ด้วย
ไป๋เหมยที่ยืนอยู่ข้างไป๋หมินร้องอืมขึ้นมา
ไป๋หมินหันไปค้อนญาติผู้น้อง “เจ้าก็เอาแต่เข้าข้างคุณหนู”
“ก็คุณหนูช่วยงานคุณชายใหญ่จริงๆ นี่ เจ้าก็เห็นว่าถนนสายนั้นมีแต่ปัญหา ก่อนหน้านี้คุณชายใหญ่ยังบ่นอยู่ทุกวี่ทุกวัน ตอนนี้ไม่มีเรื่องให้หนักใจอีกแล้ว”
“ล้วนแต่เป็นฝีมือข้า พวกเจ้าเห็นหรือยัง” หยวนชิงหลินยิ้ม
ไป๋เหมยขยับเข้าไปช่วยคุณหนูถอดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ออก ชุดที่นางใส่มีเพิ่มอีกชั้นอยู่ข้างในซึ่งบุผ้านวมทำให้ร่างกายดูหนากว่าปกติ หยวนชิงหลินให้เหตุผลว่านางจะต้องดูบึกบึนสักหน่อยเพื่อให้พวกนักเลงหวาดกลัว
“ชุดนี้เหมือนจะคับไปนิดแล้วนะเจ้าคะ ร่างกายของคุณหนูตอนนี้มีเนื้อมีหนังมากขึ้น คงต้องขยายออกอีกสักหน่อย” ไป๋เหมยพูดพลางพยายามดึงกางเกงบุผ้าออกจากขาของคุณหนู
“อืม ข้าใช้แรงมากก็ย่อมต้องกินมาก และเมื่อกินมากก็ต้องน้ำหนักขึ้นกันบ้าง” หยวนชิงหลินเองก็รู้สึกพอใจ นางพยายามกินเนื้อสัตว์เข้าไปมากๆ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเร็วๆ
“คุณหนูอ้วนขึ้นเช่นนี้ นายหญิงใหญ่จะได้เบาใจเจ้าค่ะ คุณหนูนอนป่วยเสียหลายปี ผอมจนหนังจะติดกระดูกอยู่แล้ว”
“ไป๋หมิน เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนเอาชุดนี้ไปขยายให้ข้าก็แล้วกัน”
หยวนชิงหลินสะบัดปลายเท้าเพื่อให้กางเกงหลุดออกไป เรือนร่างของคุณหนูคนงามเปลือยเปล่า นางดึงประคำข้อมือออกแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างอ่างอาบน้ำ
จากนั้นก็หย่อนร่างลงไปแช่ในน้ำอุ่น ไป๋หมินกับไป๋เหมยขยับเข้ามาช่วยถูหลังนวดแขน คุณหนูคนงามเงยหน้าขึ้นหลับตานิ่ง
‘ตั้งแต่หายป่วยก็เอาแต่ฝันว่าตนเองไปวนเวียนอยู่หน้าค่ายทหารแดนเหนือ เป็นเพราะเหตุใดกัน’
ณ จวนสกุลหยวนเมื่อหนึ่งปีก่อน
หยวนชิงหลินล้มป่วยลงด้วยอาการที่หมอทั้งเมืองหลวงไม่อาจจะหาสาเหตุได้ นางได้แต่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในเรือนเพราะไม่มีเรี่ยวแรง วันๆ ต้องดื่มยาต้มหลายถ้วย
หลังจากการก่อกบฏในเมืองหลวงผ่านไปหกเดือน เกิดเหตุร้ายบนถนนซุนจง มีการลอบสังหารกลุ่มขุนนางครั้งใหญ่ มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายราวสามสิบคน กลายเป็นข่าวที่สร้างความสะเทือนขวัญให้ชาวเมืองอย่างมาก
หยวนจื่อจิงบุตรชายคนโตของใต้เท้าหยวน เป็นหัวหน้ามือปราบหน่วยที่เจ็ด นำคนออกไปร่วมไล่ล่าคนร้าย ผ่านไปสองวันเขาจึงได้กลับจวน
ชายหนุ่มตรงไปยังเรือนของน้องสาว ขณะนั้นหยวนชิงหลินนอนหลับอยู่บนเตียงหลังจากดื่มยาถ้วยใหญ่ ใต้เท้าหยวนหรือหยวนเหิงกำลังยืนมองดูบุตรสาวด้วยความห่วงใย
“พวกที่ตาย สอบภูมิหลังแล้วเป็นคนของจวนสกุลอู๋ขอรับท่านพ่อ” เขาเล่าให้บิดาฟัง
“คุณชายใหญ่อู๋นำคนเข้าร่วมก่อกบฏแทนบิดา สุดท้ายถูกสั่งประหารทั้งตระกูล ไม่คิดเลยว่าจะมีคนหลุดรอดไปได้”
คุณชายใหญ่อู๋หรืออู๋เฟิงบุตรชายคนโตของอดีตเสนาบดีฝ่ายซ้ายอู๋เหลียนนำคนเข้าร่วมกับพระสนมหลิงเพื่อก่อการกบฏ ทว่าถูกแม่ทัพมู่เต๋อและบุตรชายทั้งสามร่วมกับผู้ตรวจการหงจิ่งอวี้ผนึกกำลังช่วยปราบกบฏได้สำเร็จ
“สำนักมือปราบใหญ่โตออกอย่างนี้ ไม่แน่ว่าอาจมีผู้รับสินบนยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งทำให้มีคนหลุดรอดไปได้” ใต้เท้าหยวนเป็นขุนนางกรมกลาโหม เขานึกดีใจที่ตนเข้ากับผู้ตรวจการหง ทำให้ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากขุนนางระดับหกกลายมาเป็นระดับสี่เพราะมีบทบาทสำคัญในการนำคนบุกเข้าไปช่วยฮ่องเต้ในวังหลวง
“ในกลุ่มขุนนางมีขุนพลมู่ด้วยขอรับ”
ใต้เท้าหยวนผงะ “ขุนพลมู่ มู่ใดหรือ”
“มู่ช่างขอรับ ท่านพ่อ” หยวนจื่อจิงสีหน้าเลื่อมใส
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้รับบาดเจ็บพอสมควรขอรับ แต่ไม่หนักหนา หากไม่ได้ขุนพลมู่ เห็นทีขุนนางจะต้องล้มตายอีกไม่รู้เท่าใด”
“มู่ช่างเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ หน่วยทหารราบแนวหน้าของค่ายแดนเหนือ หน่วยนี้ทั้งดุดันและเก่งกาจ หากว่าเขาได้รับบาดเจ็บก็แสดงว่าคนร้ายพวกนั้นวางแผนอย่างดี”
“ขอรับ” หยวนจื่อจิงค้อมศีรษะ “ช่วงที่ข้าตรวจสถานการณ์ที่เกิดเหตุ คิดว่าน่าจะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง มีพยานยืนยันแต่หาตัวพวกเขาไม่พบ”
“เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด”
“องครักษ์ลับของฮ่องเต้” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
ใต้เท้าหยวนจ้องบุตรชาย “เจ้าแน่ใจหรือ”
“แน่ใจขอรับ ข้าเห็นอาวุธลับที่พวกเขาใช้ ปักอยู่บนต้นไม้เลยออกไปไม่ไกลจึงได้แอบเก็บเอาไว้” หยวนจื่อจิงยื่นผ้าเช็ดหน้าที่เขาห่ออาวุธลับออกจากอกเสื้อส่งให้กับบิดา
*********************
