2 ยาฟื้นวิญญาณ
ใต้เท้าหยวนพยักหน้า “ดีแล้ว เรื่องนี้ไม่สมควรเอ่ยออกไป บางทีคนของฮ่องเต้อาจจะคอยจับตาขุนนางบางคนอยู่ องครักษ์ลับพวกนั้น ไม่มีทางบาดเจ็บหรือล้มตายให้คนได้เห็นเพราะต้องมีคนมานำตัวพวกเขาไป”
“ท่านพ่อ ข้าได้ยินว่าหมอเยียนเจาเป็นหมอที่เคยรักษาองครักษ์ลับใช่หรือไม่ขอรับ”
“ทำไมหรือ” หยวนเหิงเลิกคิ้วมองบุตรชาย
“หากว่าจริง ข้าอยากจะเชิญเขามาช่วยตรวจดูอาการของน้องรองเสียหน่อย นางป่วยไม่ทราบสาเหตุมานานแล้ว ข้าคิดว่าหมอเยียนน่าจะช่วยได้”
“ข่าวลือนั่น ไม่อาจพิสูจน์ได้ ส่วนหมอเยียนเองก็ไม่เคยยอมรับข้อนี้ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวัง เจ้าไปเชิญเขามาเถอะ” ใต้เท้าหยวนปรายตามองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์ของบุตรสาวคนรองที่นอนหน้าซีดขาวอยู่บนเตียง
“ขอรับท่านพ่อ”
หมอเยียนเจาเปิดโรงหมอเล็กๆ อยู่ชานเมือง ห่างออกไปจากเมืองหลวงแคว้นเหลียนราวยี่สิบลี้ หยวนจื่อจิง ส่งคนไปเชิญหมอเยียนขึ้นรถมาดูอาการของน้องสาว ไม่นานนักชายวัยชราหนวดเคราขาวก็มาเยือนจวนสกุลหยวน
“อาการของนางทรงๆ ทรุดๆ เช่นนี้มาหลายเดือนแล้วใช่หรือไม่คุณชาย”
“เป็นเช่นนั้น ข้ากับท่านพ่อตามหมอมาจนทั่วเมืองหลวงแล้ว ก็ทำได้เพียงต้มยาให้นางดื่มประคับประคองอาการไปวันๆ” หยวนจื่อจิงถอนหายใจยาว
ท่านหมอชรารู้ว่าอาการของนางอยู่ในวาระสุดท้ายแล้วจึงได้แต่บอกหยวนจื่อจิงไปตามตรง “ร่างกายของนางยามนี้คล้ายตะเกียงใกล้จะหมดน้ำมันแล้ว คุณชายท่านทำใจเอาไว้สักหน่อยเถิด”
หยวนจื่อจิงถึงกับตกตะลึง “ท่านหมอ เอ่ยเช่นนี้”
“นางมีเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือน พวกท่านทำใจเสียแต่ตอนนี้เถิด”
ดวงตาของชายหนุ่มสลดลง “ท่านหมอเยียน ไม่มีหนทางช่วยน้องสาวข้าเลยจริงๆ หรือ”
“ท่านยินดีเสี่ยงหรือไม่”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ท่านหมายถึงเรื่องใด”
“ข้ามีผงยาที่ได้รับจากอาจารย์อยู่ห่อหนึ่ง มันมีชื่อว่ายาฟื้นวิญญาณ ท่านอาจารย์ของข้าสั่งเอาไว้ว่ามันมีไว้ใช้สำหรับคนเป็นโรคประหลาดที่ไม่อาจตรวจหาสาเหตุได้พบเหมือนอย่างคุณหนูรองหยวน เพียงแต่....”
“เพียงแต่อันใดหรือ”
“หากดื่มเข้าไปแล้วคนผู้นั้นจะหลับใหลไปถึงสามวันสามคืน ถ้ายาเข้ากันกับร่างกายของเขาได้ก็จะฟื้นคืนเป็นปกติ แต่ถ้ายาเข้ากับร่างกายไม่ได้คนผู้นั้นนางก็จะไม่ฟื้นอีกเลย”
สีหน้าของหยวนจื่อจิงราวกับเห็นผี “หนึ่งเดือนเองหรือ”
“ก็แค่ช้าหรือเร็ว ขึ้นกับพวกท่านว่าต้องการเสี่ยงหรือไม่” ท่านหมอดวงตาสลดลง หันไปมองหญิงสาววัยสะพรั่งที่นอนป่วยอยู่บนเตียง นางเพิ่งอายุสิบแปดเองแท้ๆ กลับต้องมานอนรอความตายด้วยโรคประหลาด
คนสกุลหยวนปรึกษาหารือกันอย่างคร่ำเคร่ง หยวน ฮูหยินยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาแทบจะตลอดเวลา ใต้เท้าหยวนหดหู่ใจ ดวงตาของเขาแดงก่ำ บุตรสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจกำลังจะจากไป หยวนจื่อจิงเองก็น้ำตาไหล ขบกรามแน่น
สุดท้าย...คนทั้งสามก็ตัดสินใจใช้ผงยาฟื้นวิญญาณของหมอเยียน การเสี่ยงครั้งนี้ อย่างน้อยก็ยังยืดอายุนางได้มากกว่าที่หมอเยียนบอกไว้ หากไม่รักษานางก็อยู่ได้เพียงหนึ่งเดือน แต่ถ้ายอมรักษา นางอาจจะหาย หรือขั้นเลวร้ายก็คือเสียชีวิตไปในเวลาสามวัน
หลังจากนำผงยาไปต้มเคี่ยวกับโสมคนร้อยปีแล้วนำมาให้หยวนชิงหลินดื่ม นางหลับไปถึงสามวันสามคืน
“ฮูหยิน ท่านช่วยสวมประคำนี้ให้กับคุณหนูรองด้วยเถิด” หมอเยียนถอดประคำข้อมือที่มีเม็ดสีน้ำตาลแกะสลักตัวอักษรยื่นให้
“สิ่งนี้คือ....”
“ประคำนี้ข้าได้มาจากนักพรตผู้หนึ่ง เห็นบอกว่ามันคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากอารามบนเขา ข้าเห็นฮูหยินนั่งสวดภาวนาให้กับคุณหนูอย่างตั้งใจทั้งวันทั้งคืนแล้วก็รู้สึกอยากจะช่วยเหลือ เผื่อว่าของสิ่งนี้จะช่วยนางได้”
หยวนฮูหยินรีบกล่าวขอบคุณหมอเยียน ในยามที่ความหวังริบหรี่ แม้เพียงฟางเส้นเดียวลอยผ่านมา นางก็ต้องรีบคว้า
นางหวังเหลือเกินว่าหยวนชิงหลินจะเป็นผู้โชคดีที่ใช้ผงยารักษานั่นแล้วหายจากโรคประหลาดได้
“ขอบคุณท่านหมอมาก ข้าเองก็หวังเหลือเกินว่าหลินเอ๋อร์ของข้าจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง” กล่าวจบนางก็สวมประคำข้อมือให้กับบุตรสาว
ผ่านไปถึงเช้าวันที่สี่ หยวนชิงหลินก็ฟื้นมาด้วยอาการมึนงง จดจำคนรอบข้างไม่ได้ นางเอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา
หมอเยียนกลับมาตรวจอาการนางอีกครั้ง และยืนยันว่านางหายเป็นปกติแล้ว “เพียงแต่นี่อาจจะเป็นอาการที่เกิดจากการดื่มยาเข้าไป ยาฟื้นวิญญาณช่วยปลุกร่างกายได้ก็จริงแต่อาจจะมีผลกับจิตใจและความทรงจำของนาง”
ใต้เท้าหยวนขมวดคิ้ว “ท่านหมายถึง นางจะจำพวกข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นขอรับใต้เท้า พวกท่านก็ค่อยๆ บอกนางไปทีละเรื่องก็แล้วกัน”
หยวนฮูหยินกอดบุตรสาวไว้แน่น “ไม่เป็นไร ขอเพียงนางยังมีชีวิตก็ดีแล้ว”
คนในสกุลหยวนช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตของหยวนชิงหลินทุกวัน จนนางค่อยๆ จดจำสิ่งต่างๆ ได้
“นี่ก็คือสิ่งที่ท่านหมอยกให้เจ้า แม่เชื่อว่ามันคือของมงคลที่ช่วยนำเจ้ากลับมาสู่ครอบครัว จงรักษาให้ดีเล่า”
หยวนชิงหลินก้มหน้ามองดูประคำข้อมือที่มารดากับพี่ชายบังคับให้สวมติดมือ ตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมา คนในจวนก็คอยย้ำเสมอว่า...นี่คือสิ่งที่ทำให้นางกลับมาจากความตาย ต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต
อาการป่วยของนางดีขึ้น รับรู้ถึงทุกสิ่งรอบกาย แต่นางกลับรู้สึกตนเองไม่คุ้นเคยและสนิทใจกับคนในจวนนี้
หากว่านางคือคนในสกุลหยวนจริง เหตุใดจึงรู้สึกราวคนทั้งหมดเป็นคนแปลกหน้า
หลังจากร่างกายแข็งแรง หยวนชิงหลินก็รบเร้าให้มารดาพานางไปนั่งรถม้าเล่นทุกบ่าย
“ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรงดี เหตุใดจึงอยากจะออกไปเที่ยวเล่นนัก”
“ท่านแม่เจ้าค่ะ เพราะข้านอนบนเตียงนานนับปีแล้ว จึงรู้สึกอยากจะออกไปดูบ้านดูเมืองบ้าง จิตใจจะได้แจ่มใส หากท่านแม่พาข้าไปภัตตาคาร ข้าจะกินให้เยอะๆ เลยเจ้าค่ะ”
ได้ยินบุตรสาวคนเล็กพูดเช่นนั้น หยวนฮูหยินก็ไม่รอช้า รีบพาหยวนชิงหลินไปตระเวนชิมอาหารในภัตตาคารเลิศรสแต่ละแห่งแทบทุกวัน
ร่างกายที่เคยซูบเซียวราวกับผีตายซากก็กลับคืนมาเต่งตึงอวบอิ่ม หญิงสาววัยสิบแปดผู้นี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
คราหนึ่งระหว่างนั่งรถม้าผ่านถนนไป๋เติ้งโหลงในตอนกลางวัน หยวนชิงหลินรู้สึกว่านางคุ้นเคยกับถนนสายนี้ยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นภัตตาคาร เหลาสุรา หอคณิกา บ่อนการพนัน ราวกับนางเคยเดินเข้าออกมานับครั้งไม่ถ้วน
“ถนนสายนี้ ตอนกลางวันเงียบเหมือนป่าช้า ตกค่ำมาราวกับมีเทศกาลสำคัญ” หยวนฮูหยินบ่นพึมพำ
หยวนชิงหลินรู้สึกว่าตนเองอยากจะมาเดินเตร็ดเตร่บนถนนสายนี้ในยามค่ำคืน แต่เกรงว่ามารดาจะไม่เห็นด้วย เพราะสตรีดีๆ ไม่มีทางจะมาสถานที่เหล่านี้ และตัวนางเองก็ไม่อาจจะมาได้โดยเปิดเผย
ตกดึกคืนนั้น หยวนชิงหลินจึงขอให้ไป๋หมินกับไป๋เหมยพานางแอบออกจากจวนเพื่อไปยังถนนโลกีย์
“จะออกไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ เวรยามในจวนเราแน่นหนามาก”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “เล่ห์เหลี่ยมพวกเจ้าไม่มีบ้างหรือไร ข้าไม่เชื่อว่าการติดสินบนจะช่วยข้าไม่ได้”
**************************
