ตอนที่ 5 ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง
“ณิสาช่วยค่ะ” ณิสาเซ็ง ๆ เข้าประคองทัชชกรให้ไปห้องคู่หมั้น เผื่อว่าอาจจะเป็นเซ็กส์สามคนก็ได้
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
“เฮีย” เอมิกาเปิดประตูมาหน้าบูดเบี้ยวมือเกาคันยุกยิกไม่หยุด
“ไหนดูสิ โห ไปหาหมอเลยเผลอกินแมงกะพรุนแน่ ๆ” ทัชชกรมองเครียดผิวขาวขึ้นผื่นแดงรอยเล็บเต็มตัว เอมิกาแพ้แมงกะพรุนเขากำชับเรื่องอาหารแล้วแต่ยังพลาด ณิสาชะเง้อดูรอยผื่นเบะปากไอ้ที่บอกว่าคันนึกว่าอยากให้ผู้เอาซะอีก ทัชชกรโทรศัพท์สั่งพนักงานต้อนรับให้เตรียมคนขับรถตู้พาไปโรงพยาบาลทันที
ระหว่างทางไปโรงพยาบาลหญิงสาวนั่งเกาผิวกายหนักขึ้นตัวเป็นรอยแดง ทัชชกรดึงมือเธอออกไม่ให้เกา
“ก็มันคันนี่” หญิงสาวหงุดหงิดหน้ามุ่ย ชายหนุ่มเทน้ำใส่ผ้าค่อย ๆ เช็ดผิวกายให้แผ่วเบา หญิงสาวมองการกระทำของเขาแล้วร้องไห้ ชายหนุ่มเงยมองงง ๆ
“เจ็บเหรอ”
“เฮีย ฮือ ฮือ” ร่างบางโผเข้ากอดโอบรัดซุกหน้าร้องไห้โฮ เขาเป็นคนที่เฉยชาไม่สนใจเธอ แต่เวลามีเรื่องอะไรเขาจะอยู่ข้าง ๆ คอยดูแลให้เธออุ่นใจเสมอ มือหนากอดปลอบลูบหลังบางที่สะอื้นไม่หยุด
“อดทนหน่อย เดี่ยวถึงโรงพยาบาลแล้ว” เสียงเข้มปลอบโยนเขาคิดว่าเธอร้องไห้อ้อนเพราะคันตัว
เมื่อถึงโรงพยาบาลคุณหมอให้แอดมิทเพื่อรอผล ทัชชกรนอนเฝ้าในห้องพิเศษจนเช้าผลออกมาว่าแพ้แมงกะพรุน
ทัชชกรโทรไปบ่นกับณวัฒน์เรื่องอาหารกำชับไว้แล้วว่าห้ามมีปนแมงกะพรุนเด็ดขาด ณวัฒน์บอกว่าเช็ครายการอาหารกับเชฟก็ไม่มีรายการที่เป็นแมงกะพรุน จะมีก็แค่รายการอาหารที่สั่งเพิ่มมาแค่จานเดียวและไม่น่าปนอยู่ในบุฟเฟต์
“ช่างเถอะเฮีย คงบังเอิญวางไว้แล้วเหมยไปตักกินแหละ” หญิงสาวนอนหน้าซีดมึนยาแก้แพ้
“อืม ดีนะที่ไม่แพ้มาก คราวหลังระวังหน่อยแล้วกัน” เขาลูบปอยผมสายตาห่วงใย หญิงสาวมองหน้าเขาแล้วเคลิ้มหลับไป หน้าคมก้มลงมาจูบหน้าผากมนแผ่วเบาลูบไล้หน้าสวยอย่างทะนุถนอม
ผ่านไปหนึ่งเดือน
ณ โครงการวัตถุโบราณ ที่ต่างจังหวัด
เอมิกาทำงานวิจัยขุดศึกษาของโบราณกับทีม เธอมาทำงานครั้งละสามเดือนถึงจะกลับบ้านหนึ่งอาทิตย์ หญิงสาวพักอาศัยอยู่ในบ้านพักโฮมสเตย์ของชาวบ้านละแวกใกล้เคียง
กลางวันแดดเปรี้ยงร้อนระอุ
ทีมวิจัยทำงานอยู่กลางแดดมีเพียงผ้าใบขึงไว้กันร้อน ทุกคนกำลังม่วนอยู่กับการขุดเจาะเหงื่อไหลโทรมกายเศษดินกระเด็นติดเสื้อผ้า รองเท้าที่เหยียบพื้นดินมีดินติดเกาะเต็มรองเท้าและขากางเกง ชาวบ้านนำอาหารใส่กล่องมาส่งให้ตามที่ได้ถูกว่าจ้าง ชาวบ้านสาวพูดคุยกับเพื่อนถึงเรื่องที่รู้มาวันนี้
“ข้างบ้านโอมสเตย์ป้าจันทร์มีใครมาเช่าที่ก็ไม่รู้ เอาบ้านน็อคดาวน์สวยหลังใหญ่ด้วยมาลงตรงท่าน้ำ” สายคุยกับมาลัยระหว่างเอาอาหารกล่องวางเรียงให้ทีมวิจัยที่กำลังทยอยเดินเข้ามาพักในเต็นท์ผ้าใบ เอมิกากับนันทิดาได้ยินสองสาวชาวบ้านคุยกัน
“ของลูกหลานแกมั้ง” มาลัยพูดแล้วหันไปเตรียมน้ำดื่ม
“หรือว่าจะเป็นของคู่หมั้นเหมย” นันทิดาหันไปพูดกับเอมิกา
“ไม่ใช่หรอกพี่ คู่หมั้นเหมยเขาไม่ชอบอากาศร้อน ๆ ยิ่งมาต่างจังหวัดไกลสิ่งอำนวยความสะดวก ยิ่งเป็นไปไม่ได้” เอมิกายิ้ม ๆส่ายหน้าเขาติดความสะดวกสบายไม่ชอบความลำบาก
“แต่พี่ว่าใช่นะ” นันหรี่ตามองออกไปข้างนอก
“อะไรใช่พี่”
“ก็นั่นเจ้าของเงินทุนวิจัยคู่หมั้นเหมยไม่ใช่เหรอ” นันมองไปทางอาจารย์ที่กำลังเดินคุยมากับชายร่างสูงใหญ่ผิวขาวมีออร่ามาแต่ไกล ทั้งสองเดินเข้ามา คนในไซต์งานหันมองเป็นตาเดียวกัน คนที่รู้ว่าเขาเป็นใครรีบยกมือไหว้แต่คนที่ไม่รู้ก็มองคนหล่อกันตาเป็นมัน
“เฮ้ย เฮีย” เอมิกาอึ้งไปด้วยอีกคน ไม่คิดว่าเขาจะมาที่นี่ ทัชชกรเดินยิ้มทักทายทุกคนจนมาถึงเธอ
“เฮียมาทำอะไร?”
“ก็มาดูความคืบหน้าไง จะได้รู้ว่าคุ้มกับเงินที่จ่ายไปไหม” เขาพูดหน้าลอยตา
“เมื่อก่อนไม่เคยเห็นอยากดู” หญิงสาวขมวดคิ้วหรี่ตาลงสงสัย
“ก็เหมย ขอเงินบ่อยเลยอยากรู้ว่าเอาไปใช้คุ้มค่าหรือเปล่า”
“จ้า อยากดูอะไรก็เชิญเลย จ้า” หน้าสวยลอยหน้าทำเสียงประชด มือหนายกขึ้นไปบีบจมูกเป็นสันของเธอหัวเราะหยอกล้อกันเล่น ท่ามกลางสายตาของทุกคนและภาคภูมิที่หน้าบึ้งไม่ค่อยพอใจ
ตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้า ท้องฟ้าสลัวอากาศร้อนคลายเป็นเย็นขึ้น
ทีมงานวิจัยและคนงานเตรียมตัวกลับบ้านพัก ร่างกายเหนื่อยล้า อิดโรยเดินทยอยกันขึ้นรถกระบะ
“เฮียต้องไปขึ้นเครื่องกี่โมง อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนไหม” เอมมิกาเดินไปถามเขาที่เดินคุยมากับอาจารย์
“ไม่ได้กลับ” เขายกคิ้ว สอดสองมือเข้ากระเป๋ากางเกง
“ฮะ แล้วไปนอนที่ไหน จองโรงแรมหรือยัง ในเมืองไกลจากที่นี่มากนะ เหมยไม่อยากให้ขับรถมืด ๆ คนเดียว”
“พักโฮมสเตย์ป้าจันทร์ไง”
“อย่าบอกนะว่าบ้านน็อคดาวน์เป็นของเฮีย แล้วเฮียจะอยู่ได้เหรอ” เธอถามห่วงใยรู้ว่าเขาไม่ชอบอยู่ต่างจังหวัด
“ไม่รู้สิลองดู” เขายกไหล่ขึ้น ทำชิวทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะชอบบรรยากาศแบบนี้ ทัชชกรให้เอมิกานั่งรถกับเขาเพื่อบอกทางไปบ้านพักโฮมสเตย์ป้าจันทร์
เมื่อถึงโฮมสเตย์ทุกคนแยกย้ายทำธุระส่วนตัวพอหัวค่ำก็มาล้อมวงกินข้าวกันกลางบ้าน ทัชชกรนั่งวงข้าวของอาจารย์ผู้ใหญ่ทานอาหารไปคุยกันไปจนค่ำก็แยกย้ายกันเข้านอน ทัชชกรเดินมาดึงแขนคู่หมั้น
“ไปนอนกับเฮีย”
“หืม มันน่าเกลียดนะเฮีย” หญิงสาวหน้าเหวอ ค่อย ๆ พูดมองซ้ายมองขวากลัวใครได้ยิน
“ทำอย่างกับไม่เคยนอนด้วยกัน” เขาเซ็งหงุดหงิดนอนด้วยกันตั้งแต่เด็กยันโตจะมาน่าเกลียดอะไรตอนนี้
“แต่ที่ต่างจังหวัดคนเขาถือ”
“ใช่ค่ะ ถึงจะเป็นคู่หมั้นแต่ยังไม่แต่งงานกันก็ยังไม่ควรนอนด้วยกันสองต่อสอง” ป้าจันทร์ได้ยินเลยพูดเสริม
“อ่อ ไม่เป็นไรครับผมไม่ถือ” ชายหนุ่มพูดหน้าตาย ไม่สนใจคำพูดของป้าจันทร์ดึงตัวเอมิกาให้เดินตามเขาไปบ้านน็อคดาวน์ตรงท่าน้ำ เพื่อนร่วมงานมองตามไป บางคนก้มหน้าซุบซิบนินทาทันที ภาคภูมิมองภาพคู่หมั้นเดินไปด้วยกันแล้วถอนหายใจแรงเดินเลี่ยงไปทางอื่นอย่างหงุดหงิด เสียงหรีดหริ่งเรไรดังขึ้นตลอดทางเดินย่ำพื้นหญ้ากันสองคนเหล่าแมลงออกหาอาหาร อากาศเริ่มชื้นเย็นทำให้ทัชชกรคันตัว ที่เขาไม่ชอบอยู่ต่างจังหวัดเพราะเขามักจะคันผิวในช่วงกลางคืนอากาศชื้นขึ้น มือหนายิกเกาแขนและลำคอขาแกร่งรีบจ้ำเดินอยากเข้าไปอาบน้ำอีกครั้ง หญิงสาวรีบจ้ำเดินตามไป
“คันแล้วเหรอเฮีย”
“อืม อยากอาบน้ำทายา” เขาพูดหงุดหงิดมือยังปัดป่ายไม่ให้แมลงเกาะร่างกาย
ภายในบ้านน็อคดาวน์
หลังจากทัชชกรอาบน้ำเสร็จ หญิงสาวก็ต้องมานั่งทายาให้ร่างแกร่งที่มีจ้ำและรอยแดงขึ้นแขนขาลำคอ นิ้วเรียวแตะทาอย่างเบามือ เขานั่งนิ่งแขม่วหน้าท้องเรื่อย ๆ พยายามกลั้นลมหายใจไม่ให้แรงผิดปกติเมื่อนิ้วเรียวสัมผัสร่างกายเขา
ดวงตาสวยมองผิวหนังที่รอยแดงเปลี่ยนเป็นชมพูอ่อน ก็เบาใจแล้วนอนหลับด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานออกแดดแผดเผาทั้งวัน ส่วนทัชชกรยังนอนไม่หลับแปลกที่แปลกทางและเขาไม่ชอบบรรยากาศวังเวงอยู่ไกลผู้คนแบบนี้
“ตุ๊บ” เสียงดังบนหลังคาบ้าน ชายหนุ่มสะดุ้งลุกนั่งมองหลังคาอย่างสงสัย เอมิการู้ถึงการเคลื่อนไหวหันขวับไปมองทัชชกร
“เสียงอะไรไม่รู้ดังตุบ” เขาโผเข้าสวมกอดกระซิบพูดกับหญิงสาว
“เสียงมะม่วงร่วงมั้ง” เธอสะลึมสะลือตอบงัวเงีย พลิกหันหลังดึงผ้าห่มคลุมไหล่ หน้าหล่อหวาดระแวงยังไม่สบายใจ
“ตุ๊บ” เสียงดังขึ้นอีก ร่างแกร่งสะดุ้งโหยง โผเข้ากอดหญิงสาวเบียดตัวซุกหน้ากับหลังบาง หญิงสาวลืมตายิ้มมองอ้อมแขนแกร่งโอบรัดตัวเธอไว้ ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาแบบนี้มันช่างอบอุ่นหัวใจมากเหลือเกิน
