บทที่ 3 เสียดายก็บอกมาเถอะ
“คืนนี้ลิสาจะขึ้นไปเปิดบนเวทีอีกเปล่าวะ” มาร์ชยืนเต้นคลอเคลียกับหญิงสาวสวยกำลังเต้นยั่วยวน
“กูว่าขึ้น” ภานุแทรกขึ้นกอดเอวสาวกระดกวิสกี้ดื่มสนุกสนาน ขุนพลส่ายหน้าเอือมการกระทำของคู่หมั้น
“ว่าไม่ได้นะโว้ย ลิสาเต้นเก่งสวยด้วย กูว่านี่เป็นพรสวรรค์ของนางเลยล่ะ”
เพื่อน ๆ ยังคุยกันสนุกปากจนขุนพลหมดความอดทน
“พวกมึงเลิกพูดถึงยัยบ้านั่นสักทีได้มั้ย รำคาญ” ขุนพลแผดเสียงแข่งกับเสียงเพลงอึกทึก เพื่อน ๆ รีบหุบปากแล้วอมยิ้มชอบรวมหัวกันแกล้งแซวเพื่อนที่ไม่ชอบคู่หมั้นตัวเอง
“ขึ้นไปแล้ว ขึ้นไปแล้ว วู้” เพื่อน ๆ ส่งเสียงเฮลั่น มองคู่หมั้นของขุนพลขึ้นเวทีโชว์ลีลาเต้นเซ็กซี่อยู่บนเวทีการแสดงร่วมกับสาวแดนเซอร์ แสงไฟสาดไปยังลูกค้าสาวสวยผิวขาวแผ่นหลังเนียนเปล่งปลั่งเล่นแสงไฟรูปร่างสูงระหงทรวดทรงอกเอวโค้งเว้าเซ็กซี่เย้ายวนทำหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ด้านล่างอ้าปากค้างน้ำลายสอเผลอมองเคลิ้มไปตาม ๆ กันไม่เว้นแม่แต่ขุนพล
“ยัยบ้า ขายขี้หน้าชะมัด” ปากก็บ่นเอามือกุมขมับกดหน้าลงต่ำซ่อนสายตาที่เหลือบมองคู่หมั้นตัวแสบเต้นพลิ้วอยู่บนเวที
“เห็นนะว่าแอบมองลิสา”
“ใครจะไปแอบมอง บ้าบอ...” เขาแค่นหัวเราะท่าทางหลุกหลิกรำคาญเพื่อนชอบจับผิดอยู่ได้
มาลิสาสวยโดดเด่นเต้นสะบัดตามแรงเชียร์ยุยงของเพื่อน ๆ ขุนพลกระดกแก้วดื่มวิสกี้เหล่มองคู่หมั้นตัวแสบเต้นเปลืองตัวอยู่บนเวทีอยู่หลายเพลงกว่าจะลงมาเต้นกับเพื่อน ๆ สนุกสนานเมามันกับเอกดนัยและเจตไม่สนใจรอบข้างทั้งที่รู้ว่าขุนพลมาเที่ยวอยู่ในวีไอพีเหมือนกัน
“เข้าห้องน้ำแป๊บ” เอกดนัยโน้มลงพูดข้างหูมาลิสาแล้วจับมือกับเจตจะเดินไปเข้าห้องน้ำ
“ต้องไปด้วยกันเหรอ?”
“อืมไปช่วยกันขัดของหนัก อิอิ” เจตยิ้มกริ่มเขิน ๆ เอกดนัยก็เช่นกัน
“เฮ้อ เบาได้เบานะย่ะ” มาลิสาส่ายหน้าหมั่นไส้เพื่อนแอบกินกันเองแต่ก็ต้องปล่อยให้ไป เมื่อเพื่อนสนิททั้งสองเดินไปเข้าห้องน้ำมาลิสาก็แยกตัวจากเพื่อนสาวคนอื่นมาชงเหล้าดื่มสักพักมีชายคนหนึ่งเดินมาใกล้แล้วผ่านไป มาลิสารู้สึกเย็นวาบบนแผ่นหลังรีบหันไปมองก็ไม่มีอะไรหลังจากนั้นไม่นานหูเริ่มอื้อตาลายพะอืดพะอมคล้ายเมาเหล้าดวงตาสวยกะพริบถี่มองหาโต๊ะของขุนพลแล้วรีบคว้ากระเป๋าเดินโซซัดโซเซไปหา เท้าเรียวบนรองเท้าส้นสูงเกือบพลิกหลายครั้งชนกับนักเที่ยวคนอื่นหน้าสวยซีดเผือดเหงื่อไหลโซมกายรู้สึกแน่นหน้าอกหายใจหืดหอบพยายามสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหน้ามืดทรุดตัวลงกลางทางเดินเข่าเกือบกระแทกพื้นทว่าสองแขนของขุนพลสอดรับเข้าใต้วงแขนพยุงตัวเธอไว้ได้ทัน
“ดื่มจนไม่ไหวมันน่าช่วยมั้ยเนี่ย” เขานิ่วหน้าบ่นหญิงสาวดื่มหนักไม่บันยะบันยังทำให้เมาหนัก
“พี่ขุน หายใจไม่ออก” น้ำเสียงแหบแห้งเงยหน้าซีดมองเขาสายตาเหลือกลอย ขุนพลหน้าเสียสร่างเมารีบช้อนตัวคู่หมั้นอุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินเร็วออกจากร้านพาไปส่งโรงพยาบาลทันที ส่วนคนที่ป้ายยามาลิสาได้แต่มองตามด้วยความเสียดาย
มาลิสาเข้าไปรักษาตัวในห้องฉุกเฉินอยู่กระทั่งแพทย์เรียกให้เข้าไปเยี่ยมที่เตียงคนไข้และแจ้งว่าคาดว่าโดนยาเสียสาวชนิดป้ายผิวหนังเพราะมีอาการแสบร้อนบริเวณหลังเมื่อนำไปตรวจสอบพบสารบางชนิด ขุนพลหน้าบึ้งตึงไม่เชื่อหมอยังคิดว่าเธอเมาหนักไม่ได้โดนป้ายยา
“ต้องแอดมิดไหมครับ ผมจะได้โทรหาญาติให้มาเฝ้า”
“จะกลับบ้าน” มาลิสาพูดแทรกพยายามดันตัวนั่งทั้งที่ยังมึนตัวโอนเอนไม่มีเรี่ยวแรง
“ยังไม่ดีขึ้นจะกลับทำไม?”
“ถ้าที่บ้านรู้โดนบ่นยาวแน่ อาจถูกงดเที่ยวถาวร” หน้าสวยอ่อนเพลียสะบัดหน้าเรียกสติ
“โดนแบบนี้ก็ไม่น่าเที่ยวแล้วมั้ย” เสียงเข้มดุดันโมโหตัวแสบเป็นขนาดนี้ยังจะห่วงเที่ยว
“อย่าบ่นน่ะ” มาลิสาเหวี่ยงกลับหงุดหงิดไม่ถูกที่บ้านบ่นก็ต้องมาถูกคู่หมั้นบ่นไม่น่าเดินไปหาให้เขาช่วยเลยจริง ๆ แพทย์มองทั้งสองคนเถียงกันรบกวนคนไข้คนอื่นเลยตรวจชีพจรและความดันให้มาลิสาก่อนจะอนุญาตให้กลับบ้านได้
ขุนพลนั่งรออยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะเสร็จมาเที่ยวแท้ ๆ ต้องมาเจอตัวภาระก่อเรื่องให้เบื่อหน่าย มาลิสาพยายามเดินทรงตัวบนรองเท้าส้นสูงออกมาจากห้องฉุกเฉินเหล่มองคู่หมั้นที่นั่งกอดอกรอเหล่มองเคืองก่อนจะลุกพรวดเดินหน้ามุ่ยนำหน้าไม่สนใจเธอ
“ทำตัวเป็นสาวโสดทั้งที่มีคู่หมั้นขึ้นไปเต้นอวดอ่อยผู้ชายไม่อายบ้างเหรอถามจริง”
“อ่อยไว้เผื่อเราถอนหมั้นกัน เลิกปุ๊บมีผู้ใหม่ปั๊บ” หน้าสวยซีดเผือดฝืนเถียงไม่ยอมลงให้
“สงสารผู้ชายคนนั้นนะ”
“เสียดายก็บอกมาเถอะ”
“เหอะ มีอะไรน่าเสียดายมีแต่สาธุให้ใครก็ได้เอาไปสักที” ขุนพลหันขวับพนมมือท่วมหัวแทบจะสาปส่งให้ไปไกล ๆ
