บทที่ 8
ชายหนุ่มลอบมองคนข้างตัวเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้เธอจับได้ ในขณะที่เขาต้องแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งไปใช้ในการขับรถ ทว่าการกระทำของเขาก็ยังไม่รอดพ้นสายตาของเธออยู่ดี
“จะมองทำไมนักหนาหะ อยากตายก่อนวัยอันควรหรือไง”
“โอ๊ย! บ่นมากเดี๋ยวหน้าแก่ไวไม่รู้ด้วยนะ”
คนถูกกล่าวหาว่าหน้าแก่ไวหันมาถลึงตาใส่เขาอย่างเอาเรื่อง หากแต่คนถูกคาดโทษกลับหัวเราะรวนอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ถ้ายังไม่เลิกหัวเราะก็จอดรถซะ ฉันจะได้ไปเรียกแท็กซี่ น่ารำคาญ!”
ไอริแหวขึ้นยกใหญ่ และเขาก็ดันบ้าจี้เลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงฟุตบาทข้างทางเสียด้วยสิ
“นี่ผมจะบอกอะไรให้นะ…”
“หยุด! ไม่ต้องพูด” คนตัวเล็กพูดขึ้นอย่างหัวเสีย แล้วตั้งท่าจะเปิดประตูลงไป
แก๊ก!
เขารีบกดปุ้มล็อกรถอัตโนมัติ ก่อนจะใช้ลำแขนแข็งแกร่งโอบรอบเอวบางเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว จนคนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเอนเข้ามาซบกับอกของเขา
“จะทำบ้าอะไรหะ!?” หญิงสาวโวยวายเสียงเขียว พลางรัวกำปั้นใส่หน้าอกของเขาไม่ยั้ง
“ผมว่าเรามาสร้างความคุ้นเคยกันดีกว่า เพราะเห็นคุณแล้วผมมันเขี้ยว อยากจับมาฟัดให้หายโมโห”
คนพูดบอกด้วยสีหน้าที่แสดงอาการหื่นกามออกมาอย่างชัดเจน ก่อนที่เขาจะใช้ฟันบนขบริมฝีปากล่างของตัวเองด้วยท่าทางที่เรียกได้ว่าโคตรอ่อย ทว่าคนฟังกลับยิ่งรัวหมัดใส่เขาแรงกว่าเดิมด้วยความโมโห
“อี๋! นายนี่มันทุเรศจริงๆ เลย ปล่อยฉันนะโว้ย ไอ้บ้าเอ๊ย!”
ลูกแกะตัวน้อยที่เดินเข้ามาตกหลุมพรางของเสือร้ายโวยวายลั่นรถ ทว่าคนตัวโตกลับหัวเราะชอบใจ แล้วใช้มือหนาเชยคางมนขึ้นมามองใกล้ๆ
“ก็คุณรังแกผมก่อนนี่” เขาบอกหน้าตาย ก่อนจะยักคิ้วข้างเดียวเพื่อแกล้งยั่วโทสะคนฟัง
“รังแกบ้าอะไรหะ นายอยากตายหรือไง!?”
“นี่ไงๆ เอะอ่ะอะไรก็เอาแต่พูดเรื่องเป็นๆ ตายๆ ตลอดเวลา อย่าลืมนะไอริว่าผมไม่ใช่ลูกน้องของคุณ และที่สำคัญ… ผมไม่ยอมปล่อยให้คุณรังแกผมอยู่ฝ่ายเดียวแน่”
“ฉันไม่น่าช่วยนายเลย โถ่เอ๊ย!”
คนตัวเล็กโวยวายเสียงดังอีกครั้ง พลางคลำมือไปรอบๆ เอวของตัวเองเพื่อหามีดพก ทว่าคนที่โอบกอดเธออยู่กลับหัวเราะรวน แล้วชูวัตถุบางอย่างขึ้นมาให้เธอดู
“หาอันนี้อยู่หรอ ?”
หญิงสาวเมมริมฝีปากแน่นเพื่อระงับอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเองให้สงบลง เพราะตอนนี้อาวุธที่เธอใช้ข่มขู่เขาถูกเจ้าตัวยึดไปได้เรียบร้อยแล้ว แถมคนตรงหน้ายังถือวิสาสะปรับเบาะของเธอลง แล้วเอี่ยวตัวเข้ามาใกล้ จนปลายจมูกของเขาแทบจะชนกับปลายจมูกของเธออยู่รอมร่อ
“จะทำบ้าอะไร ?”
เธอถามขึ้นด้วยอาการเกร็งไปทั้งร่าง แต่คนถูกถามกลับยิ้ม ยิ้ม และยิ้มได้น่าทุบเป็นที่สุด!
ตุบ! ตุบ!
ร่างบางดิ้นขลุกขลักไปมาและรัวหมัดหนักๆ ใส่แผ่นอกแกร่งไม่ยั้งมือ ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีเจ็บปวดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ลุกออกไปเดี๋ยวนี้นะ”
“…”
“นี่! ฉันบอกให้ลุกออกไปไงเล่า อยากตายหรอหะ !?” คนชอบขู่ยังคงแยกเขี้ยวขู่เขาฟ่อๆ แม้เธอจะตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง จนคนฟังหัวเราะในลำคอ แล้วเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของทั้งคู่ชนกัน
“ลุกไปเดี๋ยวนี้!”
“ไม่” เขาตอบกลับสั้นๆ และกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างมีเลศนัย
มือเล็กทั้งสองข้างถูกเขารวบเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว ก่อนที่ร่างสูงจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเธอต่อสู้กับเขาจนเรือนผมยาวสลวยที่ถูกดัดเป็นลอนใหญ่ๆ กระจายไปทั่วเบาะที่อยู่ด้านหลัง และมันยิ่งเพิ่มความเซ็กซี่ให้เธอมากขึ้นไปอีกเป็นกอง
“ปล่อยนะ”
“พูดเพราะๆ ก่อน แล้วจะปล่อย”
“เหอะ! ไม่มีทาง” ไอริประกาศพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรีบเม้มปากแน่น เมื่อเห็นว่าริมฝีปากของเขาและเธออยู่ห่างกันไม่ถึงห้าเซนติเมตร
“งั้นก็ไม่ปล่อย”
“อย่าคิดจะทำอะไรบ้าๆ นะ ไม่อย่างนั้นฉันฆ่านายทิ้งแน่” ร่างบางขู่เสียงเย็น และไม่วายใช้สายตาข่มขู่เขาด้วย
“โอ้โห… น่ากลัวแหะ” เวกัสแกล้งพูด แล้วทำหน้าล้อเลียน เพราะเขารู้สึกชอบใจทุกครั้งเวลาที่เห็นเธอชักสีหน้าใส่ ยิ่งเห็นก็ยิ่งมันเขี้ยว อยากจับมาฟัดให้สิ้นฤทธิ์ซะเดี๋ยวนี้เลย
“ถอยไป!”
“จุ๊ๆ ผมว่าเรามาสงบศึกกันดีกว่านะที่รัก เกิดผมแสดงละครไม่เนียนขึ้นมาจะทำยังไง ?” เขาว่าพลางใช้สายตามองตรงไปยังริมฝีปากบางเพื่อสื่อความหมาย จนคนถูกมองต้องเมมปากแน่นขึ้นกว่าเดิม
“…”
“เอ๋ ? เอาแบบนี้ดีไหมไอริ ผมว่าเรามาเริ่มสร้างความคุ้นเคยกันดีกว่า นี่เรามีเวลาทำความรู้จักกันแค่สองอาทิตย์ก่อนไปญี่ปุ่นเองนะ” คนเจ้าเล่ห์พูดขึ้นอย่างมีแผน แล้วกระตุกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางที่แสดงออกถึงความเป็นแบดบอยตัวพ่อเหมือนกับพี่ชายคนละแม่ไม่ผิด
แน่สิ! ก็พวกเขาเป็นพี่น้องกันนี่หว่า
“ยกเลิก!”
“ยกเลิกอะไรหรอ ?” คนตัวโตแกล้งถามหน้าซื่อ
“ยกเลิกเรื่องแต่งงานหลอกๆ นั่นไง”
“แปลว่าเราจะแต่งงานกันจริงๆ ใช่ไหม ?”
“ไม่โว้ย!!” คนตัวเล็กแหวเสียงดังลั่น จนเขากลั้นขำไว้ไม่ไหว
“นี่จะปฏิเสธกันแบบไร้เยื่อใยเกินไปแล้วนะ ผมอุตส่าห์ชวนแต่งงานจริงๆ ดันไม่อยากซะงั้น คำขอแต่งงานจากปากเวกัส หลี่ ไม่ได้หาฟังกันได้ง่ายๆ นะคุณ”
“เหอะ! นายก็ไปพูดให้คนที่อยากได้ยินฟังสิ มาพูดให้ฉันฟังทำไม” ไอริบอกอย่างหัวเสีย เพราะเธอรู้สึกหมั่นไส้ใบหน้าระรื่นกับรอยยิ้มทะเล้นของเขา จนอยากจะควักลูกตาของอีกฝ่ายออกมาต้มให้เป็ดกินซะเหลือเกิน
“ไม่เอา ผมอยากพูดให้คุณฟัง”
ตึกตัก~ ตึกตัก~
จู่ๆ หัวใจไม่รักดีก็ดันเต้นโครมครามจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เมื่อได้ยินคำพูดที่ฟังดูคล้ายการสารภาพรักจากเขา
“อุ๊ยๆ หน้าแดงแบบนี้แปลว่าเขินล่ะสิ” ร่างสูงแกล้งล้อเลียน เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ประสาท!”
“แหมๆ เขินก็ยอมรับมาเถอะคุณ ผมรู้ตัวอยู่หรอกว่าผมน่ะหล่อขนาดไหน” เวกัสบอกกลั้วหัวเราะ แล้วขยิบตารัวๆ ใส่เธอเหมือนนักร้องเกาหลี
“หลงตัวเอง!”
“งั้นต่อไปนี้ผมไม่หลงตัวเองแล้วก็ได้ เพราะผมจะเปลี่ยนไปหลงคุณแทน… แบบนี้ดีป่ะ ?” เขาแกล้งถามขึ้นอีกครั้ง โดยไม่วายใช้คำพูดหวานๆ โจมตีเข้ากลางหัวใจของเธออีกตามเคย
“ไม่ต้อง!”
“ทำไมใจแข็งจังหะ อ่อยขนาดนี้เป็นผู้หญิงคนอื่นเขาจับผมแก้ผ้าแล้วเนี่ย!” คนตัวโตแกล้งโวยวาย ก่อนจะไล่สายตาลงมาหยุดอยู่บริเวณซอกคอขาว
“มองทำบ้าอะไรหะ !?” ไอริถามเสียงดัง และพยายามจะเอี่ยวตัวมาเตะเขา ทว่าพื้นที่ในรถมันคับแคบเกินไป ทำให้เธอไม่สามารถขัดขืนเขาได้เท่าที่ควร
“ก็มองคอคุณไง”
“แล้วจะมองทำไมไม่ทราบ!”
“ก็เลือกเอาแล้วกัน ว่าจะให้มองหรือว่าจะให้ ‘ดูด’ น่ะ”
“กรี๊ดด!”
“เฮ้ย! เงียบสิคุณ หูผมจะแตกแล้วเนี่ย โอ๊ย!”
คนตัวโตบ่นหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะตัดสินใจประกบริมฝีปากของตัวเองลงไปทันควัน เพื่อดูดกลืนเสียงกรีดร้องของคนใต้ร่าง
หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจทันทีที่เขาใช้ริมฝีปากอุ่นๆ ทาบทับลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และขบเม้มริมฝีปากของเธอทีละน้อยคล้ายกับกำลังแทะเล็มขนมหวานชิ้นโปรด จนดวงตาคู่สวยเริ่มพล่าเลือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทว่าก่อนที่สติทั้งหมดทั้งมวลจะถูกเขาครอบงำ ความรู้สึกบางอย่างก็ปะทุขึ้นมาในหัว
จูบ!
เขาจูบเธออย่างนั้นหรอ !?
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากัน เมื่อเธอเริ่มคิดได้ว่ากำลังถูกผู้ชายที่พึ่งรู้จักกันได้แค่สองวันขโมยจูบแรกไปแล้ว แถมเขายัง…
จุ๊บๆ
เลื่อนริมฝีปากลงไปขบเม้มที่บริเวณซอกคอระหงของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้บ้า! อย่าทำแบบนั้น!” ไอริออกคำสั่งเสียงดังลั่นรถอีกครั้ง พลางดิ้นขลุกขลักไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
กรี๊ดด! นี่เขากล้าดียังไงมาทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้กับเธอกัน
“นายตายแน่ ไอ้บ้าเวกัส!”
