2 รอยร้าวในใจเมษาและทางออกที่เลือนลาง
2
รอยร้าวในใจเมษาและทางออกที่เลือนลาง
แม้ว่ารินลดาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเติมเต็มความรักและอบอุ่นให้กับ เมษา หลานสาวตัวน้อย ทว่าบาดแผลจากการสูญเสียที่ฝังลึกอยู่ในใจของเด็กวัย 5 ขวบนั้น ไม่ได้จางหายไปง่ายๆ ดอกไม้เล็กๆ ที่เคยสดใสและร่าเริง บัดนี้กลับมีบางกลีบที่โรยราลงไปอย่างช้าๆ ทำให้ รินลดา รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้เห็น
เมษาเริ่มแสดงออกถึงความเหงาและความคิดถึงพ่อแม่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ด้วยเสียงร้องไห้โวยวาย แต่เป็นความเงียบที่น่ากลัวกว่านั้น หลายครั้งที่รินลดาเห็นเมษานั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตากลมโตคู่เดิมกลับฉายแววว่างเปล่า ราวกับว่าจิตใจของเด็กน้อยไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่ออกเดินทางตามหาใครบางคนที่จากไปแล้ว
เมื่อถามว่า “เมษาเป็นอะไรลูก” เด็กน้อยมักจะส่ายหน้าเบาๆ ไม่ยอมพูดอะไร หรือบางทีก็แค่ตอบสั้นๆ ว่า
“เมษาคิดถึงแม่รดา คิดถึงพ่อ” คำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำนั้นกลับกรีดแทงใจรินลดาเสียยิ่งกว่าคมมีด เพราะเธอรู้ดีว่านั่นคือความรู้สึกที่ เมษาไม่สามารถระบายออกมาได้อย่างเต็มที่
ในบางสถานการณ์ที่เคยทำให้เมษาหัวเราะอย่างสดใสเมื่อก่อน ตอนนี้กลับทำให้เด็กน้อยนิ่งเงียบ เช่น เมื่อเห็นครอบครัวอื่นเดินจับมือกันในสวนสาธารณะหรือได้ยินเพลงที่พ่อแม่เคยเปิดให้ฟัง
เมษามักจะเงียบไปเองอย่างกะทันหัน ปล่อยให้ของเล่นที่กำลังถืออยู่ในมือร่วงหล่นลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
บางครั้งรินลดาเห็นเมษากอดตุ๊กตาหมีตัวเก่าแน่นราวกับว่ากำลังกอดพ่อแม่ที่จากไปแล้ว รินลดาได้แต่กอดปลอบเมษาลูบผมเบาๆ พยายามจะส่งผ่านความรักทั้งหมดที่มีไปให้ แต่ก็ทำได้เพียงปลอบประโลมความรู้สึกที่อยู่เหนือการควบคุมของเธอ
รินลดาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้เมษากลับมาสดใสเหมือนเดิมเธอพยายามชวนเมษาทำกิจกรรมต่างๆ มากมายเพื่อดึงความสนใจของเด็กน้อยให้ออกมาจากห้วงแห่งความเศร้าโศก
ในห้องนั่งเล่นของบ้านที่เคยเงียบสงบ บัดนี้เต็มไปด้วยเสียงเพลงสำหรับเด็ก เสียงหัวเราะ (บางครั้งก็เป็นเสียงหัวเราะเจื่อนๆ ของ รินลดา เอง) และเสียงของเล่นที่กระทบกัน
“เมษามาเล่นตัวต่ออันใหม่กันดีกว่าค่ะ แม่รินซื้อมาใหม่เลยนะ สนุกมากๆ เลย” รินลดาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงที่สุดเท่าที่จะทำได้ พลางหยิบกล่องตัวต่อเลโก้ชุดใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานขึ้นมา
เมษามองตัวต่อในมือของรินลดาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปนั่งเงียบๆ ที่มุมห้อง เล่นกับตุ๊กตาหมีตัวเก่าตัวเดิมที่เธอแทบจะไม่ปล่อยมือเลย
“เมษาไม่อยากเล่นค่ะ” เสียงเล็กๆ ตอบเบาๆ แทบไม่ได้ยิน
รินลดาถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้
“งั้นเรามาอ่านนิทานกันดีกว่าค่ะ วันนี้แม่รินมีนิทานเรื่องเจ้าหญิงแสนสวยมาเล่าให้ฟังนะ” รินลดาหยิบนิทานภาพเล่มหนาที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสขึ้นมาเปิดให้เมษาดู
เมษายอมขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ รินลดา แต่ดวงตาของเธอยังคงไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ภาพในนิทาน รินลดาอ่านนิทานไปเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเธอก็เห็นเมษานั่งเหม่อลอยไปที่อื่นแล้ว
รินลดารู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นหลานสาวเป็นแบบนั้น เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ เธอรู้ดีว่าเธอไม่สามารถเข้าไปแทนที่พ่อแม่ของเมษาได้และความพยายามทั้งหมดของเธอก็ดูเหมือนจะไม่เพียงพอที่จะเยียวยารอยร้าวในใจของเด็กน้อยได้เลย
นอกจากการพยายามดูแลเมษาอย่างเต็มที่แล้วรินลดายังต้องรับมือกับแรงกดดันจากงานฟรีแลนซ์ที่เธอแบกรับอยู่ เธอต้องการหารายได้ให้มากที่สุดเพื่ออนาคตของเมษาแต่การที่ต้องแบ่งเวลาและสมาธิไปให้กับการดูแลเด็กตลอดเวลา ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเธอลดลงอย่างน่าใจหาย
งานออกแบบกราฟิกที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และสมาธิสูง มักจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกของเมษาที่ต้องการความสนใจหรือเสียงของเล่นที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ในบางครั้งที่เธอกำลังจดจ่ออยู่กับการเขียนบทความยาวๆ เมษา ก็อาจจะวิ่งเข้ามาถามคำถามไร้เดียงสาหรือชวนเล่นทำให้รินลดาต้องหยุดมือกลางคันและเมื่อกลับมาทำงานอีกครั้ง เธอก็ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับมาและมีสมาธิจดจ่อกับงานได้อีกครั้ง สิ่งนี้ทำให้งานของเธอเริ่มติดขัด ส่งงานล่าช้ากว่ากำหนด และคุณภาพของงานก็ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้ลูกค้าบางรายเริ่มแสดงความไม่พอใจ
“ขอโทษนะคะ พอดีน้องที่บ้านไม่สบายค่ะ เลยไม่ค่อยมีสมาธิทำงานเท่าไหร่” รินลดาพูดแก้ตัวกับลูกค้าทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่เธอก็รู้ดีว่าคำแก้ตัวเหล่านั้นเริ่มฟังไม่ขึ้นแล้ว
เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำอะไรไม่ถูกทางชีวิตของเธอกลายเป็นวงจรของการพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่กลับไม่มีอะไรดีพอสักอย่างเดียว
วันหนึ่งหลังจากที่ส่งงานที่ล่าช้าไปหนึ่งชิ้น รินลดารู้สึกหมดแรง เธอเอนกายพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาจับจ้องไปที่ภาพถ่ายของรดาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ใบหน้ายิ้มแย้มของพี่สาวทำให้เธอน้ำตาคลอ
รินลดาเริ่มคิดถึงคำแนะนำของเพื่อนที่เคยบอกให้ลองหาคนมาช่วยดูแลเมษาเธอเคยลังเลใจมาตลอดเพราะไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้ามาในชีวิตของเธอและเมษาอีกทั้งยังกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายแต่ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
รินลดาตัดสินใจโทรหาอาร์ต (อธิป โชคไพศาล) เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เล็กๆ ที่ประสบความสำเร็จ อธิปเป็นคนเดียวที่รินลดากล้าปรึกษาเรื่องส่วนตัวได้ทุกเรื่อง เพราะเขามักจะเป็นผู้รับฟังที่ดีและให้คำแนะนำที่จริงใจเสมอมา
“อาร์ตแกว่างคุยหน่อยไหม” รินลดากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ น้ำเสียงของเธอแหบแห้งจนอาร์ตสัมผัสได้ถึงความอ่อนล้า
“ริน! เป็นอะไรไปเสียงแหบเชียวโอเคๆ แกว่ามาเลย” อธิปตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
รินลดาเล่าถึงปัญหาที่เธอเผชิญอยู่ทั้งเรื่องของเมษาที่ดูซึมลงทุกวันและเรื่องงานที่เริ่มติดขัดเพราะเธอต้องแบ่งเวลาและสมาธิให้กับการดูแลเมษาจนแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง
“ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วอาร์ต ฉันพยายามทำให้เมษามีความสุขที่สุด แต่บางทีฉันก็รู้สึกว่ามันไม่พอแล้วงานฉันก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ลูกค้าเริ่มบ่น” รินลดาระบายออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน
อธิปฟังอย่างเงียบๆ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่น
“รินแกก็ต้องหาคนมาช่วยสิ ฉันเคยแนะนำแกแล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องพี่เลี้ยงเด็กน่ะ”
“ก็รู้แต่ฉันไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน แล้วก็ไม่รู้จะไว้ใจใครได้บ้าง” รินลดายังคงลังเลใจ
“แต่แกก็แบกทุกอย่างไว้คนเดียวไม่ไหวหรอกนะริน ลองคิดดูดีๆ ถ้าเมษามีคนเล่นด้วยตลอดเวลาในขณะที่แกทำงาน แกก็จะมีสมาธิทำงานมากขึ้น งานก็ดีขึ้น มีรายได้มากขึ้น แล้วเมษาก็จะไม่เหงาด้วย” อธิปพูดด้วยเหตุผล
“ถ้ากลัวเรื่องคนแปลกหน้า ก็ลองหาบริษัทจัดหาพี่เลี้ยงเด็กที่น่าเชื่อถือสิ หรือไม่ก็ประกาศหาจากคนที่ไว้ใจได้ คนรู้จักแนะนำมา”
คำพูดของอธิปทำให้รินลดาเริ่มคิดตาม เธอรู้ดีว่าคำแนะนำของเขามีเหตุผล แม้ว่าเธอจะยังคงลังเลใจเรื่องการให้คนนอกเข้ามาในชีวิตของเธอและเมษามากแค่ไหนก็ตาม แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็บีบให้เธอต้องพิจารณาทางเลือกนี้อย่างจริงจัง
หลังวางสายจากอธิป รินลดายังคงนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ดับไปแล้ว ความคิดมากมายตีกันอยู่ในหัวของเธอ ภาพรอยยิ้มที่จางหายไปของเมษาผสมกับความเครียดจากงานที่ถาโถมเข้ามา
ทำให้รินลดารู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่มืดมิดสองสาย ทางหนึ่งคือการพยายามแบกรับทุกอย่างต่อไปจนกว่าเธอจะหมดแรงและอีกทางหนึ่งคือการเปิดประตูให้คนแปลกหน้าก้าวเข้ามาในชีวิตที่บอบช้ำนี้ เธอไม่รู้ว่าทางไหนจะนำไปสู่แสงสว่าง แต่ที่แน่ๆ คือเธอไม่สามารถปล่อยให้ เมษาจมอยู่กับความเศร้าต่อไปได้อีกแล้วและเธอก็ไม่สามารถทนแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้คนเดียวได้อีกแล้วเช่นกัน
