บท
ตั้งค่า

1 มรสุมชีวิตคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว

1

มรสุมชีวิตคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว

บนเก้าอี้โยกไม้สีเข้มที่เคยตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นของรดา พี่สาวผู้ล่วงลับของเธอ รินลดา วงศ์วานิช วัย 34 ปี นั่งโยกตัวช้าๆ ด้วยจังหวะที่แผ่วเบาและไร้จุดหมาย สายตาของเธอจับจ้องไปยังร่างเล็กๆ ที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงข้างๆ นั่นคือ เมษา หลานสาววัย 5 ขวบ ผู้ที่ชีวิตพลิกผันไปตลอดกาลเฉกเช่นเดียวกับรินลดาในห้องนอนที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ทำงานเบาๆ และเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเด็กน้อยเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในความรู้สึกของรินลดาแต่ภายในใจของเธอ กลับเต็มไปด้วยพายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน ดุเดือดและเจ็บปวดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น

วันที่ได้รับโทรศัพท์ที่สั่นสะท้านจากโรงพยาบาล วันที่รถยนต์คันหรูของรดาและพี่เขยประสบอุบัติเหตุรุนแรงจนไม่มีใครรอดชีวิตยังคงฉายชัดในความทรงจำของรินราวกับภาพยนตร์ที่ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของเธอ

เสียงไซเรนรถพยาบาลที่หวีดหวิวในยามค่ำคืน เสียงกรีดร้องของญาติที่มาถึงที่เกิดเหตุ แสงไฟวูบวาบจากรถฉุกเฉินที่สาดส่องไปทั่วบริเวณ และที่เลวร้ายที่สุดคือใบหน้าซีดเผือดของเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ส่ายหน้าอย่างช้าๆ พร้อมกับคำพูดที่เย็นยะเยือกราวกับคมมีด

“เสียชีวิตทั้งคู่ครับ ไม่มีใครรอดเลย” คำพูดเหล่านั้นก้องอยู่ในหูของรินซ้ำๆ ราวกับเสียงก้องจากนรกที่หลอกหลอนไม่รู้จบ และในวินาทีเดียวกันนั้นเอง โลกทั้งใบของเธอก็พังทลายลง พร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่ถูกโยนมาใส่บ่าโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้มีโอกาสร่ำลา

ความรู้สึกผิดมันกัดกินหัวใจของรินลดามาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น รินลดาด่าทอตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจว่าทำไมเธอถึงไม่ไปร่วมเดินทางด้วยในวันนั้น ทำไมเธอถึงมัวแต่ปฏิเสธคำชวนของรดาเพราะติดงานบ้าๆ บอๆ ที่ไม่สำคัญเลยในตอนนี้ ทำไมเธอถึงไม่ได้ใช้เวลากับรดาให้มากกว่านี้ก่อนที่พี่สาวคนเดียวผู้เป็นที่พึ่งพิง เป็นทั้งเพื่อนและที่ปรึกษา ผู้ที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอดชีวิต จะจากไปตลอดกาลอย่างไม่มีวันกลับ

รดานั้นทั้งเป็นพี่สาวเป็นเพื่อนเป็นครูเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของรินลดาพวกเธอเติบโตมาด้วยกัน แบ่งปันทุกความสุขและความทุกข์ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแบ่งขนมไปจนถึงเรื่องใหญ่ในชีวิตอย่างการตัดสินใจเลือกเส้นทางอาชีพ

รินลดาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเธอจะต้องใช้ชีวิตโดยปราศจากรดา ความทรงจำดีๆ ที่เคยมีร่วมกันกลับกลายเป็นมีดที่กรีดแทงหัวใจของเธอซ้ำๆ ทุกครั้งที่นึกถึงเสียงหัวเราะของพี่สาว ใบหน้ายิ้มแย้มหรือแม้แต่แววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยที่รดามักจะมองมาที่เธอเสมอ

และไม่ใช่แค่ความผิดหวังในตัวเองเท่านั้นที่รินลดาต้องเผชิญ ภาระในการดูแลเมษา หลานสาวผู้ไร้เดียงสาในวัย 5 ขวบ ก็กลายเป็นอีกหนึ่งความรับผิดชอบที่ถาโถมเข้ามา การได้เมษามาดูแลนั้นเป็นเหมือนของขวัญและคำสาปในเวลาเดียวกัน รินลดารักเมษามากที่สุดเท่าที่จะรักได้ เมษาคือเศษเสี้ยวสุดท้ายของรดาที่หลงเหลืออยู่ เป็นตัวแทนของความรักที่ไม่มีวันตาย แต่การจะก้าวเข้ามาทำหน้าที่ ‘แม่’ อย่างกะทันหันในขณะที่ใจยังจมดิ่งอยู่กับความโศกเศร้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย

รินลดาต้องเรียนรู้ทุกอย่างตั้งแต่ศูนย์ อย่างเช่นการเตรียมอาหาร การดูแลกิจวัตรประจำวัน ไปจนถึงการรับมือกับอารมณ์ที่แปรปรวนของเด็กที่เพิ่งสูญเสียโลกทั้งใบไป มันคือการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการเยียวยาบาดแผลในใจของตัวเอง ซึ่งมันช่างยากลำบากและโดดเดี่ยวเหลือเกิน

ชีวิตประจำวันของรินลดา ณ ตอนนี้ คือการจัดตารางชีวิตที่รัดกุมกว่าตารางรถไฟเสียอีก เธอลาออกจากงานบรรณาธิการนิตยสารชื่อดังที่เคยรักและภาคภูมิใจ เธอเคยเป็นคนบ้างาน รักการได้สร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ๆ การได้เห็นนิตยสารที่เธอทุ่มเทออกมาสู่สายตาสาธารณะคือความสุข แต่ตอนนี้ ความสุขเหล่านั้นได้เลือนหายไปหมดแล้ว เพื่อมาดูแลเมษาอย่างเต็มตัว และเริ่มต้นรับงานฟรีแลนซ์จากที่บ้าน เธอใช้ทักษะเดิมที่มีมาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ นี่คือทางเดียวที่เธอจะสามารถหาเลี้ยงตัวเอง เมษา และประคองค่าใช้จ่ายในบ้านหลังเล็กๆ หลังนี้ไปได้ โดยไม่ต้องทิ้งเมษาไว้กับคนแปลกหน้าตลอดทั้งวัน

ทุกเช้าตารางชีวิตของรินลดาเริ่มต้นพร้อมกับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่สาดส่องเข้ามาในห้องครัว หลังจากปลุกเมษา อาบน้ำแต่งตัว และเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ เสร็จแล้ว รินลดาจะรีบพาเมษาไปส่งที่โรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน เธอต้องคำนวณเวลาให้พอดีกับรถติดในตอนเช้า และเผื่อเวลา

สำหรับเมษาที่มักจะงอแงไม่ยอมไปโรงเรียนในบางวัน เมื่อส่งเมษาถึงมือคุณครูแล้ว ช่วงเวลาทองของเธอก็เริ่มต้นขึ้นนั่นคือเวลาทำงานเธอจะรีบกลับมาที่โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกองเอกสารและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เสียงคลิกของเมาส์และเสียงแป้นพิมพ์ที่รัวเร็วคือเสียงประกอบชีวิตของเธอในช่วงกลางวัน สายตาของเธอมักจะจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างไม่ละสายตา พยายามเร่งมือทำงานให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ในแต่ละวัน เพราะเธอรู้ดีว่าเวลาที่เธอมีนั้นมีจำกัดนัก แต่ละงานที่เข้ามาคือปากท้องของเธอและเมษา เธอจะกินข้าวกลางวันง่ายๆ อย่างเร่งรีบ บางครั้งก็กินไปทำงานไป เพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่าแม้แต่นาทีเดียว

เมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อยราวบ่ายสามโมง รินลดาจะต้องทิ้งงานทั้งหมดลงชั่วคราว เธอจะทิ้งปากกา ทิ้งเมาส์ และออกไปรับเมษากลับจากโรงเรียนทันที เมื่อเมษากลับมาถึงบ้าน บทบาทของรินก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากนักออกแบบและนักเขียนผู้เคร่งขรึมและมีสมาธิจดจ่อกับงาน เธอจะกลายเป็นคุณน้าผู้แสนใจดี ผู้ที่คอยเล่น คอยสอน คอยอ่านนิทาน คอยตอบคำถามทุกอย่างที่เมษาสงสัย คำว่าเหนื่อยสำหรับเมษาไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของเธอ เธอจะยิ้มแย้ม พูดคุยอย่างสนุกสนานกับเมษา ราวกับว่าเธอไม่มีความเหน็ดเหนื่อยใดๆ ทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว รินแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลยด้วยซ้ำ ร่างกายและจิตใจของเธอถูกใช้งานอย่างหนักในทุกๆ วัน

การงีบหลับสั้นๆ เพียง 15-20 นาที กลายเป็นสิ่งมีค่าที่รินลดาโหยหา บางครั้งเธออาจจะเผลอหลับไปในขณะที่นั่งอยู่บนโซฟาตอนที่เมษากำลังดูการ์ตูนเรื่องโปรดอย่างเพลิดเพลิน หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ บนเตียงนอนตอนที่เมษาหลับไปแล้วในยามค่ำคืน การได้หลับตาพักเพียงชั่วครู่ก็เหมือนกับการได้ชาร์จพลังงานเล็กๆ น้อยๆ ให้กับร่างกายที่อ่อนล้าจนแทบจะหมดแรง ราวกับแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมด และต้องพึ่งพาพลังงานสำรองเพียงน้อยนิดเพื่อประคองตัวเองให้อยู่รอดไปอีกหนึ่งวัน

ความท้าทายที่รินลดาต้องเผชิญไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องการจัดสรรเวลาหรือภาระงานที่หนักหน่วงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายและซับซ้อนของเมษาด้วยเช่นกัน

เด็กน้อยวัย 5 ขวบที่สูญเสียพ่อแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับ ไม่ได้แสดงความเศร้าโศกเสียใจออกมาตรงๆ แต่เมษาเริ่มแสดงออกถึงความเหงา ความว้าเหว่ และความคิดถึงพ่อแม่มากขึ้นเรื่อยๆ

คืนนี้เมษาตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเสียงสะอื้นเบาๆ รินลดาที่หลับไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบ เธอรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมษาตื่นมาแบบนี้ รินลดาตรงไปนั่งลงข้างๆ เตียงของเมษา ใช้มือลูบผมสีน้ำตาลนุ่มของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน

“เมษาเป็นอะไรคะลูก ฝันร้ายเหรอคะ” รินลดากระซิบถามเสียงของเธอเต็มไปด้วยความห่วงใยและความอ่อนโยน

เมษาพลิกตัวหันมาซบเข้ากับอกของรินลดาดวงตากลมโตที่เคยเต็มไปด้วยความสดใส บัดนี้กลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ “เมษาคิดถึงแม่รดา คิดถึงพ่อ” เสียงเล็กๆ สั่นเครือ

ทำเอารินลดารู้สึกปวดหนึบในอกอีกครั้ง หัวใจของเธอเหมือนถูกบีบอัดจนหายใจลำบาก เธอรู้ดีว่าเมษากำลังคิดถึงคนที่จากไปและรินลดาเองก็คิดถึงพวกเขาไม่แพ้กัน ความเจ็บปวดจากการสูญเสียยังคงเป็นแผลที่ไม่เคยแห้งสนิท

รินลดากอดเมษาแน่นพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมา เธอไม่อยากให้เมษาเห็นเธออ่อนแอ เธอต้องเข้มแข็งเพื่อหลานสาว เธอรู้ดีว่าเมษากำลังเผชิญกับความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าเด็กวัย 5 ขวบจะรับไหว

“ไม่เป็นไรนะลูก เมษาไม่ได้อยู่คนเดียวนะคะ แม่รินอยู่ตรงนี้เสมอแม่รินจะอยู่กับเมษาตลอดไปเลย” คำว่า ‘แม่ริน’ ที่เมษาเรียกเธออยู่เสมอ มันคือทั้งความสุขและความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน มันคือความผูกพันที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเธอให้ยังคงเต้นต่อไป แต่ก็ตอกย้ำว่าเธอได้ทำหน้าที่แทนพี่สาวที่จากไปแล้ว มันคือบทบาทที่เธอไม่เคยร้องขอ แต่ต้องรับไว้ด้วยความเต็มใจและรับผิดชอบ

รินลดาพยายามทุกวิถีทางที่จะปลอบโยนเมษา เล่านิทานเรื่องโปรดให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร้องเพลงกล่อมเบาๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ลูบหลังเบาๆ จนเมษากลับไปหลับอีกครั้ง การได้เห็นรอยยิ้มของเมษาแม้เพียงชั่วครู่ก็เหมือนเป็นรางวัลใหญ่ที่ทำให้รินมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป เมษาคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอตื่นขึ้นมาในทุกๆ เช้าและก้าวผ่านความมืดมิดไปได้

เมื่อเมษาหลับไปแล้วรินลดากลับมานั่งที่เดิมบนเก้าอี้โยกเก่าๆ ของรดา เธอเงยหน้ามองเพดาน ความรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์แบบ มันไม่ใช่แค่ความเหนื่อยกายจากการทำงานหนักที่ล่วงเลยเข้ามาในยามวิกาล แต่เป็นความเหนื่อยล้าทางอารมณ์จากการแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้คนเดียว เธอรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ที่พร้อมจะขาดสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ ความเหงาและความโดดเดี่ยวเริ่มคืบคลานเข้ามากัดกินหัวใจอย่างช้าๆ รินต้องการใครสักคน ใครสักคนที่สามารถแบ่งปันภาระนี้ได้ ใครสักคนที่สามารถอยู่เคียงข้างเธอได้ ไม่ใช่แค่ในฐานะเพื่อน แต่เป็นใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกที่ซับซ้อนภายในใจของเธออย่างแท้จริง

“ฉันจะทำได้ไหมนะฉันจะเลี้ยงเมษาให้ดีที่สุดได้ไหม โดยที่ตัวเองไม่พังไปเสียก่อน” รินลดาพึมพำกับตัวเองเบาๆ เสียงของเธอแทบจะกลืนหายไปกับความเงียบในยามวิกาล

เธอเริ่มตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าการเป็นเสาหลักให้กับหลานสาววัย 5 ขวบเพียงลำพังนั้นหนักหนาสาหัสกว่าที่คิดไว้มากนัก ความเหงาและความโดดเดี่ยวเริ่มคืบคลานเข้ามากัดกินหัวใจ รินลดาต้องการใครสักคน ใครสักคนที่สามารถแบ่งปันภาระนี้ได้

ใครสักคนที่สามารถอยู่เคียงข้างเธอได้ ในห้วงความคิดที่เหนื่อยล้า รินลดาเริ่มมองหาทางออกอื่นที่เธอไม่เคยคิดถึงมาก่อน การมีใครสักคนเข้ามาช่วยดูแลเมษา อาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ทั้งเธอและเมษาก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ และรินลดาก็รู้ว่าเธอต้องหาคนคนนั้นให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel