ตอนที่ 3
“ฮัดเช้ย...”
เสียงจามไม่มีปี่มีขลุ่ยของคนตัวสูงทำเอาคนที่นั่งตัวเกร็งตัวลีบตรงหน้าถึงกับสะดุ้งโหยง
“คุณพงศ์!”
“คะ…คร้าบ...ครับ” คุณพงศ์ หรือ สุรพงศ์ สะดุ้งลุกพรวด ขานรับดังลั่น ระพีวิชญ์เลิกคิ้วนิดๆ ก่อนปรายตาคมกริบมอง ผู้จัดการฝ่ายผลิต ที่ตอนนี้ชักร้อนที่ใบหน้าลามไปถึงใบหู ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งก้มหน้าดังเดิม รู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศรอบๆ ตัวพิกล
“คุณสะดวกไหม ถ้าผมจะขอดูรายงานการผลิตย้อนหลังของบริษัท 5 ปี ก่อนบ่ายสองโมงวันนี้” คุณสุรพงศ์รับคำเบาๆ ถึงจะไม่สะดวก แต่ใครจะกล้าบอกล่ะว่า ‘ไม่’ อีกไม่กี่นาทีก็จะบ่ายโมงอยู่แล้ว คอยดูเถอะ อีกเดี๋ยวในออฟฟิศฝ่ายผลิตได้เกิด ‘เฮอริเคน’ ลูกมโหฬารเป็นแน่ เอกสารย้อนหลังตั้ง 5 ปี มันคงต้องใช้เวลาในการรวบรวมนานอยู่ แต่เมื่อเป็นความต้องการของ ท่านประธานกรรมการผู้บริหาร คนนี้ถึงไม่ได้ยังไง ‘ก็ต้อง’ ทำให้ได้ ไม่อย่างนั้น ไม่ใครก็ใคร ต้องกลับไปนั่ง ‘ตบยุง’ ที่บ้านกันบ้างล่ะ
แม้ระพีวิชญ์จะเพิ่งมารับช่วงต่อจาก คุณอัศวิน ผู้เป็นพ่อที่ขอปลดเกษียนตัวเอง ได้เพียง 2 เดือน แต่เรื่องการทำงานนั้น เขา เด็ดขาด เที่ยงตรง มั่นคง กระชับและฉับไว กว่าคนเป็นพ่อเยอะ คุณอัศวินมักใช้หลัก ประนีประนอมศาสตร์ กับลูกน้องเสมอ จึงเป็นที่รักใคร่ของหมู่พนักงานทั่วไป แต่คนเป็นลูกนั้นมักใช้หลัก ตรรกศาสตร์ เข้าว่า เหตุ เป็นไง ผล ก็ควรเป็นยังงั้น ได้หรือไม่ได้ต้องเอาให้ชัวร์ จะมัวมานั่งประนีประนอม ก็พอดีเสียระบบหมด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นที่รักของพวกพนักงานอยู่ดี แม้ในรักนั้นจะแฝงด้วยความเกรงและกลัวไม่น้อยก็เถอะ และนี่ก็คงเป็นที่มาของสารพัดฉายาแปลกๆ ที่ถูกพวกลูกน้องแอบเรียก
‘ท่านลอร์ด (โวลเดอร์มอร์)’ ‘เจ้าชายอสูร’ หรือแม้กระทั่ง ‘ปีศาจ’ ก็ด้วย
เมื่อหมดธุระกับผู้จัดการฝ่ายผลิตที่เกือบจะตะโกนด้วยความดีใจ โล่งอกที่กลับออกจากห้องของท่านบอสใหญ่ได้โดยไม่ต้องถูกหามออกมา
ระพีวิชญ์ เอนกายพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลงอย่างเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้าเต็มทน ถ้าไม่เป็นเพราะเห็นแก่สุขภาพของคนเป็นพ่อ เขาคงไม่ต้องมานั่งตรากตรำคร่ำเคร่งกับงานอย่างนี้หรอก ทุกคราวที่ต้องมานั่งแบกรับและช่วยแก้ปัญหาที่ทั้งหนักทั้งยุ่งเหยิงของบริษัท ได้เห็นสีหน้าของลูกน้องที่ตัวเขาเองก็พอรู้ดีว่าทั้งกลัวและเกรง เกร็งเจ้านายอย่างเขามากมาย หรือเมื่อต้องตัดสินใจให้พนักงานคนใดคนหนึ่งต้องออกจากงาน มันก็ทำให้เขาเองรู้สึกผิดและอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เมื่อเป็นหน้าที่ก็ต้องทำ
เสียงเคาะประตูทำให้ชายหนุ่มยืดตัวตรงเตรียมพร้อมที่จะสวมบทบาทของท่านประธานใหญ่อีกครั้ง
“เชิญครับ ...อ้าว...คุณทับทิม” คุณทับทิมก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับแก้วกาแฟหอมกรุ่นในมือ หญิงสูงวัยกว่ามองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องมีเรื่องกังวลใจอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่เมื่อเขาไม่ต้องการบอก ก็แปลว่าไม่ใช่เรื่องที่ตัวหล่อนเองสมควรรับรู้
“รับกาแฟซักแก้วไหมคะ”
“ขอบคุณมากนะครับ กำลังง่วงพอดี คุณทับทิมนี่รู้ใจผมเสมอเลยนะครับ” คำกล่าวเรียบหากแต่ทำให้หัวใจคนฟังเต็มตื้นยิ่งนัก คุณทับทิมทำงานที่นี่มานาน ทั้งที่ใจจริงอยากจะปลดเกษียนตัวเองไปพร้อมๆกับท่านประธานคนก่อนด้วยซ้ำ แต่เพราะความเป็นห่วงไม่ใช่บริษัท แต่เป็น คนบริหารบริษัท ต่างหาก เขายังไม่มีใครที่พอจะวางใจได้อยู่เคียงข้างคอยให้คำปรึกษา ดังนั้นตัวหล่อนก็ยังวางมือไม่ได้
คุณทับทิมมองใบหน้าที่มีเค้าโครงละม้ายท่านประธานคนก่อนทว่าคมสันกว่ามาก คิ้วเข้มกับจมูกโด่งได้รูปคงได้มาจากคนเป็นพ่อแน่นอน หากริมฝีปากหยักบางที่กำลังส่งยิ้มละมุนมาให้หล่อนเวลานี้ หรือแม้แต่ดวงตาคมกริบเหมือนกับจะแทงทะลุใจคนได้ ทว่ามีประกายหวานระยิบระยับคู่นั้นเขาคงได้รับมรดกมาจากคนเป็นแม่เป็นแน่แท้ สรุปว่าระพีวิชญ์นั้นได้รวบรวมส่วนที่ดีที่สุดของคนทั้งคู่มาไว้บนใบหน้าได้อย่างลงตัวที่สุด
“หน้าผมมีอะไรแปลกไปหรือครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ คุณระพียังหล่อเหมือนเดิมแต่...”
“ไม่ค่อยยิ้ม” เขารีบต่อบทให้อย่างรู้ใจ คุณทับทิมได้แต่พยักหน้ารับ เวลาที่ระพีวิชญ์อยู่กับหญิงสูงวัยกว่าคนนี้ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“นี่ถ้าผมได้เลขาที่รู้ใจผมอย่างคุณทับทิมก็คงจะดี ตกลงคุณจะไม่เปลี่ยนใจมาเป็นเลขาผมจริงๆหรือครับ”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ดิฉันเป็นโรคหัวใจ ไม่อยากเสี่ยง” ระพีวิชญ์หัวเราะหึๆ
“แต่อย่าห่วงเลยค่ะ อีกไม่นานหรอกค่ะ ดิฉันคงหาคนที่ไม่เป็นโรคหัวใจมาเสี่ยงรับมือคุณระพีได้แน่”
“คร้าบ...ครับ แล้วผมจะคอยดู อ้อ... แต่ถ้าเกิดหัวใจวายขึ้นมา ผมไม่หามส่งโรงพยาบาลให้หรอกนะ ” ชายหนุ่มอมยิ้มกระเซ้าให้หญิงวัยกลางคนได้ค้อนขวับๆ
