ตอนที่ 3 พระจันทร์ยิ้ม
หลินเส้าเหม่ย ผู้ดูแลศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าหนานจิง หญิงวัยห้าสิบต้นๆ ที่โอบอ้อมและมีเมตตา เธอกำลังนั่งอยู่หน้ากองเอกสารใบเสร็จต่างๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“แม่หลินคะ” เสียงของหลินเยว่ดังขึ้น
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่อิดโรยด้วยความเหนื่อยล้า
“อาเยว่ มีอะไรหรือไม่”
หลินเยว่ไม่เคยโกหกหรือปิดบังหลินเส้าเหม่ยเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้สำคัญมาก เธอไม่อยากให้มีอะไรผิดแผน
“ฉันอายุครบสิบแปดแล้ว ตามกฎของศูนย์รับเลี้ยงจะต้องออกไปหาเลี้ยงตนเอง จึงอยากจะขออนุญาตแม่หลินออกไปหางานทำค่ะ” เธอพูดจุดประสงค์ของตนเองออกมา
“เธอสามารถทำงานช่วยแม่ที่นี่ได้นะอาเยว่” หลินเส้าเหม่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เธอเองก็ดูลูกๆ ในศูนย์นี้เติบใหญ่และออกไปจากศูนย์หลายคนแล้ว แต่กับหลินเยว่นั้นเธอห่วงเป็นพิเศษ เพราะอีกฝ่ายนั้นมักจะใจอ่อนกับคนรอบข้างเสมอ หากออกไปแล้วก็เกรงว่าจะเอาตัวรอดได้ยาก
“ฉันคิดดีแล้วค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มที่ดูมั่นใจ แววตาที่ดูเข้มแข็งขึ้นทำให้ผู้ดูแลศูนย์ต้องยอมจำนน
“เอาสิ” เธออนุญาตเสียงอ่อน
พอหญิงสาวจะหันหลังออกจากห้อง ประตูห้องก็ถูกเคาะ ก่อนที่จะเปิดออกพร้อมด้วยการมาถึงของกู้อี้เฉิน
เขามองหน้าเธอแล้วอมยิ้มให้ ก่อนจะเอาเอกสารยื่นให้แก่หลินเส้าเหม่ย
“เมื่อวานนี้ที่ผมพาเด็กๆ ไปทำความสะอาดที่ชุมชนมา วันนี้มีชาวบ้านนำข้าวสารมาบริจาค แล้วก็มีผู้ไม่ประสงค์ออกนามช่วยบริจาคธัญพืชและนมสำหรับเด็กๆ ครับ” เขารายงานด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ขอบในเธอมากเลยนะอี้เฉิน คนวัยหนุ่มที่ทำงานอาสาอย่างเธอนี้หายากจริงๆ เธอช่วยศูนย์นี้เอาไว้เยอะเลย” หลินเส้าเหม่ยกล่าวอย่างชื่นชม ก่อนจะหันไปยังหลินเยว่ที่ยืนอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ ก็รู้ว่าเด็กทั้งสองนี้ชอบพอกันอยู่
“จริงสิ อาเยว่จะออกทำข้างนอก ถ้าเธอไม่มีธุระที่ไหนฉันรบกวนให้เธอไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“ได้ครับ” เขารับปากแล้วยิ้มสบตากับหลินเยว่
หญิงสาวใจเต้นแรง ชาตินี้เธอจะไม่ยอมให้ใครขโมยสถานะ รวมไปถึงกู้อี้เฉินคนนี้เช่นกัน
ทั้งสองเดินออกมาที่หน้าอาคารพร้อมกัน หลิวชิงอวี้ที่อยู่แถวนั้นก็รีบเดินเข้ามาหา
“พี่อี้เฉินมาอีกแล้ว เมื่อวานก็มา วันนี้ก็มา พี่ไม่เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบบ้างหรือคะ” เธอพูดหยอกเย้า ในใจคิดเพียงว่าหลินเยว่เหมาะกับผู้ชายแบบนี้ คนที่ไม่มีอนาคต นักศึกษายากจนที่ต้องมาทำงานอาสาเพื่อแลกข้าวแต่ละมือ
“มาบ่อยแค่ช่วงนี้แหละ เดือนหน้าก็ต้องอ่านหนังสือสอบแล้ว” เขาตอบตามพลางยิ้มแย้มให้
หญิงสาวนึกได้ในตอนนี้ กู้อี้เฉินมาช่วยเหลือที่ศูนย์ตลอดหลายปีนี้ ทำเหมือนเป็นนักศึกษายากจนที่ต้องมาอาศัยทำงานช่วยศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อแลกอาหาร แต่เพราะช่วงที่เขาต้องอ่านหนังสือสอบในปีสุดท้ายตรงกับช่วงที่เธอและหลินชิงอวี้ถูกพาตัวออกไป เขากับเธอก็ไม่ได้เจอกันอีกนับจากนั้น
“เราต้องรีบไปกันแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันเที่ยวรถออก” เขาหันมาบอกเธอเพื่อที่จะรีบเดินทาง
“จะไปไหนกันหรือคะ ฉันไปด้วยสิ”
“ไปสมัครงานน่ะ เธอเตรียมเอกสารหรือยัง” หลินเยว่ถามคนที่ร่ำร้องอยากออกไปเที่ยว
“ไม่ล่ะ งั้นพวกเธอไปกันเถอะ” หญิงสาวตอบแล้วคิดในใจ เธอจะหางานทำไปทำไม ในเมื่ออีกไม่นานนี้ก็จะมีคนจากตระกูลเจียงมารับเธอออกไป
“แต่เธอเตรียมตัวไว้ก็ดีนะ อายุเราครบสิบแปดแล้ว มีเวลาในการที่จะย้ายออกไปภายในสามเดือน” หลินเยว่ถามอีกครั้ง เธอเตือนอีกฝ่ายถึงเรื่องนี้มาตลอด แต่อีกฝ่ายก็ไม่กระตือรือร้นที่จะเตรียมตัวออกไปอยู่ข้างนอกเลย คงเพราะมั่นใจมากว่าจะไปอยู่ในตระกูลใหญ่
“ไม่เอาด้วยหรอก วุฒิแค่มัธยมปลายงานที่ทำก็มีแค่คนทำความสะอาดหรือไม่ก็คนงานในโรงงานเย็บผ้าเท่านั้นแหละ” เธอพูดแล้วทำหน้ารังเกียจอาชีพที่กำลังพูดถึง
“ชิงอวี้ ทุกอาชีพก็มีเกียรติของตัวเองนะ” หลินเยว่รีบเตือน แต่ก็รู้ว่าการเตือนของเธอยิ่งเป็นการยั่วยุให้อีกฝ่ายยิ่งเสียมารยาทออกมา
“อาเยว่ ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดีนะ เธอควรหาสามีรวยๆ เอาไว้ ดีกว่าไปสมัครงานเป็นคนใช้แรงงานชั้นต่ำแบบนั้น มีสามีช่วยหาเลี้ยงแล้วเธอก็อยู่เป็นแม่บ้าน แบบนั้นจะดีกว่า” หลินชิงอวี้แนะนำก่อนจะเดินหันหลังไปทางอื่นโดยไม่รอฟังอีกฝ่ายจะกล่าวโต้แย้งให้ต้องระคายหู
หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ แล้วหันไปยิ้มให้กับกู้อี้เฉิน
“เราไปกันเถอะค่ะ” เธอชวนเขาแล้วเดินไปด้วยกัน โดยที่อีกฝ่ายนั้นแอบมองเธอแล้วอมยิ้มตลอดทางที่เดิน
ระหว่างทางที่นั่งรถไปด้วยกัน ทั้งสองก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรมากนัก เพราะต่างคนก็ต่างอมยิ้มด้วยความเขินอาย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาด้วยกันตามลำพัง
“เธอจะไปสมัครงานที่ไหนหรือ” เขาถามเธอเมื่อใกล้ถึงป้ายรถด้านหน้า
“ฉันว่าจะไปที่เจียงหลิวเทคโนโลยีค่ะ” เธอตอบแล้วยิ้มมองใบหน้าเขาที่ดูจะสงบนิ่งไป เธอไม่ได้ถามอะไรกับท่าทีนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขามีสัญญาหมั้นกับคุณหนูสกุลเจียง
“ไม่ลองไปที่บริษัทอสังหาของตระกูลลู่ดูหรือ ที่นั่นเปิดรับสมัครงานหลายตำแหน่งนะ วุฒิมัธยมปลายก็ทำงานเอกสารได้ แล้วยังมีทุนให้เรียนต่อปริญญาตรีด้วย”
“ไม่ล่ะ พอดีฉันมีธุระกับบริษัทเจียงด้วยน่ะ” เธอตอบแล้วอมยิ้ม หากเขารู้ภายหลังว่าคู่หมั้นคือเธอจะทำสีหน้าอย่างไรนะ
กู้อี้เฉินเงียบไป พอรถจอดเขาก็พาเธอเดินไปตามเส้นทางสายหลัก พูดคุยกันบ้างถึงเรื่องทั่วไป ก่อนที่จะหยุดยืนที่หน้าบริษัทเจียงกรุ๊ป
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองอาคารที่เพิ่งถูกสร้างใหม่ ขนาดสามชั้น ในรูปแบบชาติตะวันตก
“เจียงหลิวเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในเครือของบริษัทเจียงกรุ๊ป ที่นี่เป็นบริษัทที่นำเข้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เจ้าแรกในเมืองหนานจิง อนาคตจะต้องก้าวหน้าขึ้นไปอีกแน่ เพราะคอมพิวเตอร์กำลังเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในการทำงานเป็นหลัก” กู้อี้เฉินอธิบาย เหมือนจะให้กำลังใจเธอกลายๆ ว่าเลือกงานได้ถูกที่แล้ว
“ขอบคุณพี่อี้เฉินมากที่มาส่งฉันนะคะ ฉันมีธุระที่นี่และคงใช้เวลาค่อนข้างนาน พี่กลับไปได้เลยไม่ต้องรอฉัน” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพแล้วมีรอยยิ้มแต่งแต้ม
กู้อี้เฉินเองก็ไม่อยากเปิดเผยสถานะของตน เขาจึงพยักหน้าทำตามที่เธอบอก ยืนส่งเธอเดินเข้าไปด้วยสายตาที่ห่วงใย
หลินเยว่เดินถือเอกสารสมัครงานที่เธอพกมาเดินเข้าไปด้วยความมั่นใจ ตรงไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฉันมาขอพบคุณหลิวเฟยค่ะ”
“มีนัดไว้หรือเปล่าคะ” อีกฝ่ายถามอย่างสุภาพ แต่สายตาที่มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้านั้นมีแววดูถูกเล็กน้อย
“ไม่มีค่ะ แต่ช่วยบอกคุณหลิวเฟยว่าฉันมีข้อมูลเรื่อง ‘พระจันทร์ยิ้ม’ จึงมาขอพบ” เธอพูดแล้วมองด้วยสายตาที่เป็นการเป็นงาน
พนักงานสาวจึงต่อสายไปยังห้องทำงานผู้บริหารชั้นสาม สักพักก็วางสายแล้วเดินนำเธอไปยังชั้นสามด้วยตนเอง
เมื่อไปถึง หลินเยว่ก็ถูกเชิญให้เข้าไปยังห้องหนึ่ง หลังโต๊ะทำงานมีหญิงวัยกลางคนรูปร่างสง่าในชุดสีครีมนั่งอยู่ เธอมีใบหน้าอ่อนโยนแต่แววตาเฉียบคม หลิวเฟยมารดาที่แท้จริงของเธอ
“นั่งลงก่อนสิ” เจ้าของใบหน้าที่ดูสวยสง่าพูดขึ้นมา
หลินเยว่นั่งลงแล้วรู้สึกใจเต้นแรงกับการเผชิญหน้ากับมารดาของเธอ ความทรงจำตอนเด็กค่อยๆ ผุดขึ้นมาทีละน้อย ราวกับว่าใบหน้าของมารดาทำให้ความจำที่เกือบจะหายไปถูกกระตุ้นให้กลับมา
“เธอชื่ออะไร” หลิวเฟยถามเสียงสั่น
“หลินเยว่ค่ะ เยว่ที่มาจากพระจันทร์” คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องเงียบ หญิงสาวต่างวัยสบตากันนิ่งราวกับว่าการรอคอยนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว
********************