ตอนที่ 2 สลับประวัติ
ศูนย์เด็กกำพร้าหนานจิง ในเช้าวันจันทร์ เด็กๆ วิ่งพล่านทั่วลาน ส่งเสียงจอแจกันอย่างเช่นทุกวัน
ชั้นบนสุดของอาคาร หลินเยว่นั่งเงียบอยู่ตรงมุมโต๊ะ ตรงหน้าคือแฟ้มข้อมูลเด็กในศูนย์ปี 1971 เมื่อสิบสามปีที่แล้ว
เธอมองชื่อบนป้ายแฟ้มสองแฟ้ม หลินเยว่ และ หลินชิงอวี้ สองชื่อที่เคยผูกพันกันตั้งแต่วันแรกที่ถูกรับเข้ามาที่นี่พร้อมกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นศัตรูในชาติที่แล้ว
เมื่อสิบสามปีก่อนตอนอายุห้าขวบ เธอและหลินชิงอวี้ถูกลักพาตัวอยู่กับพวกโจรลักพาตัวนานถึงสามเดือน ถูกตั้งชื่อใหม่และทำให้ลืมเลือนชื่อจริงของตน เมื่อถูกช่วยเหลือและพามายังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า จึงได้ใช้ชื่อใหม่ที่แม่หลินหรือหลินเส้าเหม่ย ผู้ดูแลศูนย์รับเลี้ยง ตั้งชื่อใหม่ให้พวกเธอ พร้อมให้ใช้แซ่หลินเหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ที่ไม่มีชื่อแซ่ในศูนย์รับเลี้ยงนี้
“ได้เวลารื้อความจริงแล้วสินะ” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนชะตาของตนในชาตินี้
มือเรียวค่อยๆ เปิดแฟ้มออก ในนั้นเต็มไปด้วยเอกสารเก่าที่ขอบเริ่มเหลือง ภาพถ่ายเก่าๆ ของเธอและหลินชิงอวี้ตอนเด็กถูกเย็บติดอยู่คู่กัน แผ่นถัดมาเป็นใบลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัว ซึ่งเป็นเอกสารใหม่กว่าแผ่นอื่นๆ เหมือนเพิ่งทำขึ้นมาใหม่
เธอไล่นิ้วตามตัวอักษรอย่างช้าๆ ข้อมูลทุกอย่างเหมือนกัน วันเกิดถูกสมมติขึ้นมาให้เป็นวันเดียวกัน เนื่องจากอายุที่ไล่เลี่ยกันและรับเข้ามาพร้อมกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ว่าสิ่งของที่ติดตัวมาและตำหนิพิเศษนั้น ของเธอมีตำหนิคือปานแดงรูปคล้ายจันทร์เสี้ยวที่ไหล่ด้านหลัง แต่ตำหนิของหลินชิงอวี้ไม่มี
“แต่ในเอกสารนี้ทำไม... หลิวชิงอวี้มีตำหนิ แต่ของฉันไม่มี” เธอมองเอกสารข้อมูลส่วนตัวที่ถูกทำขึ้นใหม่ และผู้ที่แก้ไขข้อมูลก็คือเจ้าหน้าที่ หลี่หนิง คนที่ดูแลห้องทะเบียน
มือของหญิงสาวสั่นเล็กน้อย ความทรงจำเริ่มไหลย้อนกลับ เมื่อเดือนก่อนมีคนมาที่ศูนย์รับเลี้ยง เห็นคนคนนั้นเรียกหลี่หนิงเข้าไปพูดคุย จากนั้นไม่นานหลี่หนิงก็เรียกให้หลินชิงอวี้ไปพูดคุยด้วย
“ที่แท้คนในตอนนั้นก็เป็นคนของตระกูลเจียง อารองที่ชิงอวี้พูดถึง ต้องการพาหลานสาวตัวปลอมกลับไปเพื่อที่จะหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง และทำร้ายพ่อแม่ของฉัน ชาตินี้ไม่มีวันให้สมหวังแน่” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้น เสียงเท้าเบาๆ ดังขึ้นข้างหลังพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก หลินเยว่รีบเก็บแฟ้มเอกสารของตนเองและหลินชิงอวี้ ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารของคนอื่นมาแทน แล้วหันไปเมื่อเสียงเดินนั้นหยุดที่ด้านหลัง
หญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อสีเทายืนอยู่ตรงหน้า ผมเธอรวบตึง ใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาแฝงความกังวล
“อาเยว่ นั่น เธอกำลังทำอะไรอยู่” หลี่หนิงถามขึ้นมาพร้อมมองแฟ้มในมือด้วยความตกใจแต่ก็เก็บอาการเอาไว้ไม่ให้แสดงออกไปมาก
“ฉันแค่หาข้อมูลของเสี่ยวอิงน่ะค่ะแม่หลี่ ฉันสัญญาเอาไว้ว่าวันเกิดจะทำของขวัญให้ แต่สับสนกับวันเกิดของเสี่ยวเปา ไม่มั่นใจว่าคือวันไหนกันแน่” หลินเยว่แสร้งยิ้ม พลางพลิกดูประวัติอย่างตั้งใจ
“เดี๋ยวฉันช่วยดูให้” หลี่หนิงกล่าวพลางหยิบแฟ้มในมือของเธอมาพลิกดู พบว่าเป็นแฟ้มของหลินเสี่ยวอิงจริงๆ ก็ยิ้มอย่างโล่งอก แล้วหยิบแฟ้มของหลินเสี่ยวเปาขึ้นมาเทียบกัน
หลินเยว่จ้องอีกฝ่ายนิ่ง รอยยิ้มของเธอไม่เปลี่ยน แต่ดวงตากลับเย็นชา
“เสี่ยวอิงเกิดวันที่สิบหก ส่วนเสี่ยวเปายี่สิบหก” หลี่หนิงบอกด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ
“ขอบคุณค่ะแม่หลี่” เธอกล่าวขอบคุณเสียงใส ก่อนจะยิ้มให้แล้วออกจากห้องนั้นมา ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึม
เอกสารข้อมูลส่วนตัวดุใหม่กว่าเอกสารอื่นๆ ดูก็รู้แล้วว่าถูกแก้ไข แต่ตำหนิที่ไหล่ด้านหลังนั้น...
“จริงสิ” หญิงสาวพึมพำออกก่อนจะนั่งลงที่ม้านั่งใต้ต้นไม้หน้าอาคาร มองเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
ชาติก่อนในช่วงนี้หลินชิงอวี้ขอร้องให้เธอพาไปที่ร้านสักแล้วสักรูปจันทร์เสี้ยวสีแดงคล้ายกับของเธอไว้ที่ตำแหน่งเดียวกัน และบอกว่ามีตำหนิแบบเดียวกันจะได้เป็นพี่น้องกัน ตอนนั้นเธอที่ไม่รู้เรื่องก็ยอมให้อีกฝ่ายทำ
หลังจากนั้นเธอก็ถูกรับเลี้ยง วันที่หลินชิงอวี้ถูกรับตัวไปเธอไม่มีโอกาสได้ร่ำลาด้วยซ้ำ เพราะหลี่หนิงออกอุบายให้เธอออกไปซื้อของ บอกแม่หลินว่าเธอกับหลินชิงอวี้สนิทกันมาก ไม่อยากให้เห็นตอนที่ต้องจากกัน เพราะเกรงจะทำให้สกุลเจียงลำบากใจ ตอนนั้นแม่หลินจึงให้เธอออกไปซื้อของด้านนอก พอกลับออกมาก็พบว่าหลินชิงอวี้ถูกครอบครัวมารับไปแล้ว
“ดักไว้ทุกทาง เพราะกลัวฉันจะเปิดเผยรอยปานสินะ” เธอพึมพำออกมา ก่อนจะหันไปเจอว่าหลินชิงอวี้กำลังเดินตรงเข้ามาหา ใบหน้าที่แสร้งยิ้มนั้นเธอขยะแขยงจนแทบอาเจียน
“อาเยว่” เสียงเรียกนั้นเต็มไปด้วยความสดใส
“ชิงอวี้” หลินเยว่โบกมือตอบ แล้วยิ้มกลับไปทำตัวปกติในแบบของคนเดิมที่เคยโง่งม
“ฉันดูโทรทัศน์ ละครเรื่องหนึ่งมีเพื่อนที่รักกันมาก ทั้งสองสักรอยสักคู่กัน เพื่อที่จะเป็นสัญลักษณ์ว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไป ฉันอยากทำแบบนั้นบ้าง เราไปสักกันเถอะนะ” หลินชิงอวี้พูดเหมือนชาติก่อนไม่มีผิด และเธอก็ต้องทำเหมือนชาติก่อนสินะ
“แต่ฉันกลัวนี้ เธอก็รู้ว่าฉันกลัวเข็มที่สุด” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล พลางเหลือบมองอีกฝ่ายที่แอบยิ้มมุมปากเหมือนว่าทุกอย่างกำลังเข้าทาง
“งั้นเอาแบบนี้ เธอไม่ต้องสัก ฉันจะสักรูปปานเหมือนกันเธอ ใช้รอยปานของเธอและรอยสักของฉันเป็นสัญลักษณ์ความเป็นพี่น้องของเรา ดีไหม”
“เอาแบบนั้นก็ได้ ขอบใจนะชิงอวี้ที่เธอเข้าใจฉัน” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ยินดี และยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน แต่ภายในใจนั้นแค้นจนอยากเอาคืนเสียแต่ตอนนี้
“งั้นเราไปกันวันนี้เลย”
“อย่าใจร้อนสิ วันนี้ฉันไม่สบายน่ะ ปวดท้องนิดหน่อย เอาไว้พรุ่งนี้ดีไหม” หลินเยว่เสนอ
“ได้สิ พรุ่งนี้ก็ได้” หลินชิงอวี้ตอบตกลง จะวันไหนก็เหมือนกัน เธอรอได้อยู่แล้ว สถานะคุณหนูใหญ่สกุลเจียงกำลังอยู่ใกล้แค่เอื้อม
หลินเยว่ลุกขึ้นยืน พลางแต่ไหล่ของเพื่อนรักที่เธอเคยรักเหมือนพี่น้อง “ไปช่วยงานแม่หลินกันเถอะ”
“อืม ไปสิ” อีกฝ่ายรับปากแล้วลุกเดินไปด้วยกัน
********************
วันต่อมา ทั้งสองนั่งรถประจำทางมาลงในตัวเมืองแล้วตรงไปยังร้านสักที่อยู่หลังตลาด เมื่อไปถึง หลินชิงอวี้จูงมือหลินเยว่เข้าไปในร้านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“เถ้าแก่ ที่นี่รับสักด้วยสีแดงหรือไม่” เธอเดินเข้าไปถามด้วยความกระตือรือร้น
“รับสิ ว่าแต่จะสักเองหรือ” เจ้าของร้านสักวัยสี่สิบต้นๆ ถามอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่มีใครสักลายบนผิวหนัง หากว่าไม่ใช่การประทับสัญลักษณ์ของพวกแก๊งอันธพาล
“ฉันสักเองค่ะ”หญิงสาววัยสิบแปดตอบอย่างกระตือรือร้นจนหลินเยว่ลอบยิ้มสมเพช
“เลือกลายมาหรือยัง”
“ฉันจะสักตามรอยปานแดงของเธอค่ะ” หลินชิงอวี้รีบดึงแขนหลินเยว่เข้ามา
“งั้นไปนั่งรอตรงนั้น” ช่างสักชี้ที่เก้าอี้ให้หญิงสาวไปนั่ง ในขณะที่หลินเยว่แกะกระดุมเสื้อแล้วดึงฝั่งซ้ายลงมาเผยให้เห็นรอยพระจันทร์เสี้ยวที่ไหล่ซ้าย
ช่างทำการเขียนลายลงบนกระดาษ ทั้งขนาดและรูปร่างไม่ให้มีผิดเพี้ยน หลินชิงอวี้มองแล้วก็ยิ้มพอใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่เจ้าของปานแดงรูปจันทร์เสี้ยวนั้นลอบยิ้มอย่างพอใจ
เธอรีบดึงเสื้อขึ้นแล้วติดกระดุมอย่างมิดชิด มองดูช่างสักที่เริ่มวาดลายลงบนไหล่ฝั่งซ้ายของคนที่เธอเคยรักอย่างพี่น้อง ที่ตอนนี้กำลังยิ้มร่าอย่างสบายใจ
เมื่อเข็มสักเริ่มถูกแทงลงบนผิวหนัง หลินชิงอวี้กัดฟันแน่น ยาชาไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายและใช้อย่างแพร่หลาย ร้านสักเล็กๆ แบบนี้ย่อมไม่มียาชาให้แก่เธอ แต่หลินชิงอวี้ก็อดทนมาก
‘ดูท่าแล้วเธอคงอยากจะเป็นคุณหนูใหญ่เจียงมากสินะ ถึงขั้นลงทุนเจ็บตัวเพื่อให้มีรอยสักเหมือนฉัน’ เธอได้แต่นั่งแสร้งยิ้มให้กำลังใจ แต่ในใจกำลังสะใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำอย่างเปล่าประโยชน์นี้
********************