บทที่ 2
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งปี ว่านหนิงมีอายุครบสิบห้าปีแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งปีเท่านั้นที่นางจะต้องแต่งเข้าวังขององค์ชายสิบ ส่วนว่านลู่หรงก็ยังไม่ได้ตอบตกลงปลงใจที่จะแต่งเข้าจวนใคร
แม้ตามธรรมเนียมแล้วพี่สาวควรจะแต่งก่อนน้องสาว แต่ฉู่ฟางหรงขอร้องให้บุตรสาวได้เลือกบุรุษที่ตนเองพึงใจ ว่านเฉินผู้เป็นบิดาถึงแม้รู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง แต่เพราะอย่างไรแล้วก็ยังสงสารบุตรสาวคนโต ทั้งยังรู้สึกว่าฉู่ฟางหรงเป็นสตรีที่ยอมตนเองมาตลอดจึงได้ยอมให้บุตรสาวเลือกจนกว่าจะพึงพอใจ
“พี่รอง ท่านจะเตรียมตัวไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
ว่านหนิงเอ่ยถามว่านลู่หรง เมื่อเห็นผู้เป็นพี่สาวกำลังตระเตรียมสิ่งของเพื่อเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง
“พี่จะไปไหว้พระขอพรที่วัดหู่ซานน่ะ อยากจะขอพรเรื่องความรัก เผื่อจะได้พบเจอบุรุษที่พึงใจบ้าง”
“เช่นนั้นข้าไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ แต่เจ้าต้องไปขออนุญาตท่านพ่อ กับแม่ใหญ่ก่อน พี่ไม่อาจพาเจ้าไปเองได้” ว่านลู่หรงกล่าวกับน้องสาว
เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา จิตใจของว่านลู่หรงได้เปลี่ยนไปอย่างมากด้วยความกดดันมากมายที่บิดาบีบบังคับให้นางเลือกบุรุษที่นางไม่ได้รัก ทั้งยังพยายามหว่านล้อมนางเสียหลายครั้ง แต่นางไม่มีทางยินยอมและนางก็ไม่ยอมที่จะเป็นรองน้องสาวอีกแล้ว นางต้องชนะเท่านั้น อะไรที่ควรเป็นของนางก็ต้องเป็นของนาง
/////
“พี่รองไม่สบายหรือเจ้าคะ” การเดินทางมาเขาหู่ซาน วัดนอกเมืองหลวง ระยะการเดินทางใช้เวลานานถึงสองวันสองคืน ตลอดทางมา ว่านลู่หรงแสร้งทำทีว่าตนเองนั้นป่วยไข้ วิงเวียนศีรษะไม่ค่อยสบายนัก พอมาถึงตีนเขาทางขึ้นวัด ก็แสร้งทำทีว่าไม่อาจเดินขึ้นไปได้ไหว
“ข้าไม่สบายเวียนศีรษะนัก เจ้าขึ้นเขาไปก่อนเถอะ พี่จะรออยู่ด้านล่าง โอ๊ย!”
ว่านลู่หรงแสร้งวิงเวียนทำท่าจะเป็นลม ว่านหนิงเห็นว่าพี่รองคงจะไม่สามารถขึ้นเขาไปพร้อมกันได้จึงพยักหน้าตกลง และกลับไปตระเตรียมข้าวของที่รถม้าก่อนจะเดินขึ้นไปบนเขาพร้อมกับข้ารับใช้ที่ติดตามกันมาอีกหลายคน
เมื่อเห็นว่าว่านหนิงออกเดินทางขึ้นเขาไปแล้ว ว่านลู่หรงก็กลับขึ้นมายังรถม้าของตนเอง พร้อมกับดื่มยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้ป่วย
“เจ้าส่งสัญญาณได้” ทุกอย่างพร้อม นางก็หันไปบอกกับสาวใช้คนสนิทข้างกาย แล้วพลุสัญญาณพิเศษก็ถูกจุดขึ้นบนท้องฟ้า เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าให้เริ่มงานได้
เขาหู่ซานเป็นเขาพิเศษที่รอบด้านเป็นหน้าผาทุกด้าน จะมีเพียงด้านเดียวที่เป็นทางขึ้น ว่ากันว่าหุบเขาหู่ซานเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่แท้จริงเป็นที่พักของพวกโจรในคราบนักบวช
พวกมันใช้สถานที่นี้เป็นที่เก็บทรัพย์สิน หรืออำพรางตัวเองเท่านั้น และพวกมันก็ไม่ใช่โจรธรรมดา หากแต่เป็นกลุ่มของคนที่ถูกจ้างมาอย่างมีแบบแผน
เพียงพลุสัญญาณไฟกำเนิดขึ้นบนท้องฟ้าก็เป็นอันรู้กันว่ามันเป็นสัญญาณพิเศษอย่างหนึ่ง โจรมากมายหลายคนบุกปล้นขบวนของคุณหนูว่านหนิง เสียงกรีดร้องตกใจของข้ารับใช้ดังระงมจนเกิดความวุ่นวาย ข้ารับใช้ชายที่ติดตามเข้าต่อสู้โรมรันกับเจ้าโจรโฉด แต่ไม่อาจต้านทานได้
ทว่า...ท่ามกลางความวุ่นวาย เฉิงเซวี่ยได้เข้ามาจับข้อมือของคุณหนูว่านหนิง ก่อนจะพาหนีพวกโจรออกมาตรงบริเวณทางขึ้น พวกกลุ่มโจรตามติดกันลงมาจากหุบเขา บางส่วนแยกไปทำลายข้าวของหวังจะปล้นชิงข้าวของ แต่บางส่วนกลับมุ่งเป้าหวังจะติดตามคุณหนูว่านหนิง
“คุณหนูขอรับ พร้อมจะโดดหรือไม่ขอรับ” เฉิงเซวี่ยหันมาถามคุณหนูว่านหนิง ตลอดเวลาเกือบปีเขาได้พบเหยื่ออันแสนโอชะนี้เพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
“ข้ากลัว เหตุใดไม่รอผู้อื่นก่อนล่ะ”
“พวกมันมาแล้วขอรับคุณหนู”
“กรี๊ด!!” ว่านหนิงกรีดร้องเมื่อจู่ ๆ เฉิงเซวี่ยก็ดึงแขนนางกระโดดลงจากหน้าผา ก่อนร่างของทั้งคู่จะหล่นลงไปในน้ำ และไหลตามกระแสน้ำอันเย็นเยือกท่ามกลางวสันตฤดู
ว่านหนิงหายใจไม่ได้จนหมดสติ แตกต่างจากเฉิงเซวี่ยที่ปล่อยให้ตนเองไหลไปตามลำน้ำก่อนจะขึ้นตามท่าที่ตระเตรียมไว้ เขาหันกลับมาอุ้มคุณหนูว่านหนิงเข้าไปในถ้ำที่มีฟืนและหินไฟเตรียมไว้แต่แรก
เฉิงเซวี่ยถอดเสื้อผ้าของคุณหนูว่านหนิงจนเห็นเอี๊ยมสีเขียวอ่อน ทรวงอกของเด็กสาววัยแรกแย้มกำลังเริ่มผลิบาน ความกลมกลึงถูกผ้าลายดอกโบตั๋นปิดบังไม่มิด ร่างกายของสตรีวัยแรกแย้ม อย่างไรก็เย้ายวนชวนให้บุรุษดิบเถื่อนเช่นเขาได้ลิ้มลอง
ทว่า… คุณหนูว่านหนิงนั้นเป็นสตรีที่ดี ทั้งยังมีเมตตาต่อผู้อื่น เขาหรือจะกล้าทำได้ลง
แม้จะมีสันดานโจร มีความชั่วร้ายตั้งแต่เกิด แต่เฉิงเซวี่ยก็ไม่ได้เหี้ยมโหดขนาดนั้น แต่หากไม่ทำ เฉิงอีอี บุตรสาวของเขาก็ต้องตาย เป็นปีมาแล้วที่เขาไม่ได้พบบุตรสาวของตนเอง ตอนนี้ เขาจึงทำเพียง ตากชุดของคุณหนูไว้ผิงไฟก่อนจะเดินออกไปหาอาหารมากิน
ว่านหนิงตื่นขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนักที่เห็นร่างกายขาวผ่องของตนเองเหลือเพียงเอี๊ยมตัวบางเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อสำรวจร่างกายทุกส่วนดูแล้ว ทุกอย่างก็ยังดูปกติดี
ร่างกายของนางมีบาดแผลอยู่บ้าง แต่นับว่าไม่ใช่แผลใหญ่จนน่ากลัว มันทั้งเจ็บทั้งแสบยิ่งนักสำหรับคนที่ไม่เคยมีบาดแผลมาก่อน ว่านหนิงมองชุดตนเองที่ถูกตากผิงไฟก็พอเข้าใจว่าอาจจะเป็นข้ารับใช้ชายคนนั้น
แต่ทว่า… เขากล้าที่จะถอดชุดเสื้อผ้าของนาง เช่นนั้นแล้วเขาจะถือว่าเป็นคนที่ปลอดภัยสำหรับนางหรือไม่ ว่านหนิงเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจ จึงได้แต่รีบสวมชุดของตนเองก่อนจะเดินหนีออกมาจากถ้ำแห่งนั้น
เฉิงเซวี่ยที่กลับมาไม่เจอว่านหนิงและเสื้อผ้าที่ตากไว้ก็พอทราบความเป็นไปของนางอยู่ คุณหนูผู้นั้นคงตกใจกลัวเลยรีบสวมเสื้อผ้าแล้วหนีไป
แต่ไม่เพียงเขาจะไม่ออกไปตามหาเท่านั้น เฉิงเซวี่ยกลับนั่งย่างปลาอยู่ภายในถ้ำอย่างสบายใจ จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดก็ไม่เห็นคุณหนูว่านหนิงกลับมา เขาจึงได้ถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนที่จะถอดเสื้อตัวเองแล้วฉีกให้ขาด จากนั้นเอาผ้าไปผูกกับไม้ ทำเป็นคบเพลิงเข้าไปในป่า
ว่านหนิงที่เดินอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง ยามท้องฟ้ายังอัสดงก็พอที่จะเดินไหวและไร้ซึ่งความหวาดกลัว แต่ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดกลายเป็นสีดำสนิท เสียงร้องเรไรของสัตว์น้อยใหญ่ภายในป่าทำให้นางนั่งลงคุดคู้กับพื้นด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
บริเวณรอบ ๆ มืดสนิท มองอะไรไม่เห็นราวกับว่าโลกใบนี้มันไร้ซึ่งแสงไฟอีกแล้ว ว่านหนิงทำได้เพียงร้องไห้ด้วยความกลัวสุดขีด ในหัวเอาแต่คิดถึงที่นอนอุ่น ๆ ที่อยู่ในเรือนของตน
กรอบ แกรบ..
เสียงเหมือนมีอะไรสักอย่างเหยียบใบไม้แห้งดังขึ้น ก็ยิ่งทำให้เกิดหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น ไม่แน่อาจจะเป็นสัตว์ป่าดุร้าย หรือพวกโจรที่ปล้นนาง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบเฉิงเซวี่ย ข้ารับใช้ที่เดินมาพร้อมกับคบเพลิง เขามองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“จะ เจ้า เจ้ามาแล้ว” ว่านหนิงผุดลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหาเฉิงเซวี่ยด้วยความดีใจ ทว่า… เพราะความมืด และความไม่ระวังทำให้นางสะดุดกิ่งไม้จนล้มลงกับพื้น
“โอ๊ย!” ว่านหนิงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เฉิงเซวี่ยจึงรีบเดินเข้ามาหาทันที
“คุณหนูช่วยถือคบเพลิงหน่อยเถิดขอรับ” เฉิงเซวี่ยเอ่ยบอกก่อนจะจับเท้าของว่านหนิง เขาพยายามจะถอดรองเท้า แต่ด้วยธรรมเนียมแล้วนั้น สตรีมีข้อห้ามมิให้ผู้ใดเห็นเท้าของตน
“อย่านะ ทำเช่นนั้นไม่ได้”
“คุณหนูขอรับ ท่านบาดเจ็บ และข้าไม่ได้คิดที่จะล่วงเกินท่านเลย ให้ข้าดูหน่อยเถิดขอรับ” เฉิงเซวี่ยกล่าว และในแววตาของเขาไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นซ่อนอยุ่ ว่านหนิงพยักหน้ายอมแพ้ ท้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่หากเฉิงเซวี่ยต้องการล่วงเกินนางก็คงทำไปแล้ว
เฉิงเซวี่ยถอดรองเท้าของว่านหนิงออก เรียวเท้าเปลือยเปล่าขาวสะอาดเนียนนุ่ม ทั้งยังเรียวเล็กชวนน่าหลงใหล เขาพยายามควบคุมสติก่อนจะสำรวจบาดแผลและข้อเท้า แล้วจึงบิดกลับให้เข้ารูป
“ขะ ข้าเจ็บนัก ข้าเจ็บ” ว่านหนิงร้องบอกพร้อมกับนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“คุณหนูขึ้นหลังข้าเถอะขอรับ ต้องเดินกลับถ้ำอีกไกลนัก” เฉิงเซวี่ยกล่าวหลังจากใส่รองเท้ากลับคืนให้นาง
ว่านหนิงยอมขึ้นไปบนหลังของเฉิงเซวี่ย แน่นอนว่านางเองก็เลือกไม่ได้ จึงจำต้องถูกเนื้อต้องตัวของบุรุษผู้นี้
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อ มันแข็งแน่นไปเสียหมด ว่านหนิงรู้สึกใบหน้าเห่อร้อนอย่างแปลกประหลาด เนื้อตัวของเขามันดูแข็งแรงไปทุกส่วน ทั้งยังอบอุ่นเหลือเกิน นางรู้ว่าเป็นสตรีไม่ควรทำเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อนางห้ามความคิดของตนเองได้เสียที่ไหน
ชั่วระยะเวลาหนึ่งว่านหนิงและเฉิงเซวี่ยก็เดินกลับมาถึงถ้ำที่นางเพิ่งหนีออกไป ภายในถ้ำมีเนื้อปลาย่างหอมกับกองไฟที่เฉิงเซวี่ยจุดไว้ตั้งแต่ทีแรก ว่านหนิงมองปลาย่างตรงหน้า แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัว ตอนนี้นางหิวจนแทบจะเป็นลม
“คุณหนูทานได้เลยขอรับ วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ขอนอนพักสักหน่อย ส่วนสมุนไพรที่อยู่ข้างปลานั้นช่วยรักษาบาดแผลของท่านได้” เฉิงเซวี่ยกล่าวก่อนจะหลบไปนอนไม่ไกลนัก ว่านหนิงพยักหน้า
นางยังไม่รู้จักข้ารับใช้ชายคนนี้เลย แต่ก็เคยเห็นหน้าเห็นตาอยู่บ้าง เพราะเสี่ยวลู่เคยพาไปแอบดูตอนเฉิงเซวี่ยทำงาน ดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอันตรายหรือคิดร้ายอันใด เขานั้นน่าจะปลอดภัยสำหรับนาง
ว่านหนิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ว่านี่เป็นหนึ่งในแผนการที่ฮูหยินรองฉู่ฟางหรงเตรียมการเอาไว้ ก็หยิบสมุนไพรมากินไปพร้อมกับปลาย่าง ด้วยความหิวที่ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน ทำให้นางจัดการของกินตรงหน้าหมดภายในชั่วพริบตาเดียว
เฉิงเซวี่ยไม่ได้หลับ เขาแอบมองว่านหนิงกลืนกินสมุนไพรนั่นแล้วได้แต่ร้องขอโทษอยู่ภายในใจ แต่เขาไม่มีทางเลือก ชีวิตของบุตรสาวเขาก็สำคัญไม่ต่างกัน เขาพยายามแล้วที่จะไม่ทำชั่วช้าอีกเพื่อบุตรสาวของเขา แต่ทว่า… คนพวกนี้กลับจับตัวบุตรสาวของเขาไป และบีบบังคับให้เขาทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ เขาไม่ได้อยากทำร้ายคนดีเช่นคุณหนูว่านหนิงเลย เขาได้แต่ขอโทษอยู่ในใจซ้ำ ๆ ก่อนจะหลับตาลง
ว่านหนิงกินปลาและสมุนไพรเข้าไปด้วยความไม่รู้จนหมด ตอนนี้นางเกิดความง่วงเป็นอย่างมาก แต่ทว่า… ไม่นานหลังกินเสร็จไฟจากคบเพลิงและแสงจากกองไฟก็ดับลง
ว่านหนิงไม่กล้านอนบนที่นอนที่เฉิงเซวี่ยปูให้ นางแอบคลานไปนอนข้างกับเขา และด้วยความที่นางนอนไม่หลับก็ได้ยินเสียงสัตว์ป่า เสียงลมดังอยู่ตลอดเวลา มันช่างน่ากลัวนัก
ว่านหนิงเริ่มเกาะแขนของเฉิงเซวี่ยก่อนจะกระถดกายให้ชิดใกล้กับเขาเพื่อให้รู้ว่าเขานั้นยังอยู่ข้างนาง และก็พยายามข่มตานอน ไม่นานว่านหนิงก็หลับลงไปพร้อมกับความกลัว
///////////////////////////////////////////////////////
