บทที่ 3 คำสัญญาที่ไป๋เล่อฉิงให้กับครอบครัว 1/1
จิ่งฟางเร่งฝีเท้าของตนรีบไปพบมารดาของไป๋เล่อฉิง เพื่อรายงานเรื่องที่เจ้านายฟื้นจากอาการไข้ขึ้นสูง
ก๊อก ๆ ๆ “ฮูหยินบ่าวจิ่งฟางเจ้าค่ะ”
หวังกุ้ยฉินมารดาของไป๋เล่อฉิงที่นั่งอยู่กับสามีของตนอย่างไป๋หมิงอัน พอได้ยินว่าคนที่เคาะประตูคือสาวใช้ข้างกายของบุตรสาวก็อนุญาตทันที
“เข้ามาเถิดจิ่งฟาง”
“นายท่าน ฮูหยิน บ่าวจะมารายงานว่าเมื่อหนึ่งเค่อที่ผ่านมาคุณหนูได้สติแล้วเจ้าค่ะ”
“จิ่งฟางเจ้าบอกว่าฉิงเอ๋อร์นางฟื้นแล้วงั้นรึ ท่านพี่ได้ยินหรือไม่ในที่สุดฉิงเอ๋อร์ของเราก็ปลอดภัยแล้วนะเจ้าคะ”
ใต้เท้าไป๋แม้จะดีใจที่บุตรสาวปลอดภัย แต่ยังคงรู้สึกแย่เกี่ยวกับเรื่องที่บุตรสาวทำเอาไว้ “เฮ้อ จิ่งฟางบุตรสาวของข้านางฟื้นขึ้นมา คงไม่ได้ถามถึงเส้าเหยี่ยนเสียงเป็นคนแรกหรอกนะ”
“เรียนนายท่านจะว่าไปก็แปลกมากนะเจ้าคะ ท่าทางยามที่คุณหนูตื่นขึ้นมาคล้ายกับว่าได้พบเจอเรื่องเลวร้าย นอกจากนี้ยังพูดขอโทษบ่าวและยังสมน้ำหน้าที่คุณชายใหญ่เส้าได้รับบาดเจ็บด้วยเจ้าค่ะ”
หวังฮูหยินมองหน้าสามีที่ทำสีหน้างุนงงสงสัยกับคำพูดที่จิ่งฟางได้บอกกับพวกตน ที่ผ่านมาบุตรสาวคนนี้เอาแต่พูดถึงคุณชายตระกูลเส้าอยู่ทุกเช้าค่ำ
“นี่...ฟังดูก็น่าแปลกอย่างที่จิ่งฟางว่ามานะเจ้าคะท่านพี่ ก่อนหน้านี้ไม่มีวันไหนที่ฉิงเอ๋อร์ไม่เอ่ยถึงคุณชายใหญ่ตระกูลเส้า”
“อืม น่าแปลกจริง ๆ ยังมีอย่างอื่นที่นางพูดอีกหรือไม่จิ่งฟาง”
จิ่งฟางไม่รอช้ารีบเล่าให้สองสามีภรรยาฟังถึงคำสั่งที่ไป๋เล่อฉิงสั่งกับนางเอาไว้
“อ้อ ใช่แล้วเจ้าค่ะมีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณหนูพูดด้วยตนเองว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณชายใหญ่เส้าอีก หากมีบ่าวไพร่จากตระกูลเส้ามาเชิญคุณหนูไปที่จวน ก็ให้ไล่กลับไปอย่าได้รับคำฝากฝังอันใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าไป๋ฟังมาถึงจุดนี้ก็แทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคำพูดของบุตรสาว “จริงรึ! นี่ใช่ความคิดของบุตรสาวข้าจริง ๆ งั้นหรือ”
“ท่านพี่หรือว่าการที่ฉิงเอ๋อร์ต้องเจ็บตัวครั้งนี้ ทำให้นางคิดได้ในที่สุดหรือไม่เจ้าคะว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนตระกูลเส้าอีก” หวังฮูหยินเอ่ยถึงความคิดของตนเกี่ยวกับคำพูดของบุตรสาวที่จิ่งฟางได้บอกเล่าออกมา
“นายท่าน ฮูหยิน พรุ่งนี้เช้าคุณหนูจะมารับมื้อเช้ากับพวกท่าน หากไม่เชื่อสิ่งที่บ่าวพูดละก็ค่อยถามกับคุณหนูอีกครั้งก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเจ้าหรอกนะจิ่งฟาง แต่เรื่องนี้มันเหลือจะเชื่อมากเกินไปก็เท่านั้นเอง เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” ใต้เท้าไป๋กล่าวอย่างคนปลงตก
“ไม่มีแล้วเจ้าค่ะนายท่าน เช่นนั้นบ่าวขอตัวไปดูสำรับมื้อเย็นให้คุณหนูก่อนนะเจ้าคะ”
“ไปเถิด ฝากเจ้าช่วยดูแลฉิงเอ๋อร์ให้ดีด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
หลังจากจิ่งฟางพ้นไปประตูโถงรับรองสองสามีภรรยาได้แต่มองหน้ากันไปมา พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับบุตรสาว นางถึงได้กล่าวคำที่ทุกคนอยากฟังมาเนิ่นนานในยามนี้ ถ้าหากอยากได้คำตอบที่แน่ชัดนั่นต้องรอถามกับบุตรสาวด้วยตนเองเท่านั้น
เมื่อร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และได้รับยารักษาได้ทันท่วงที ไป๋เล่อฉิงจึงตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยสีหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาดเล็กน้อย และนางก็ทำตามที่บอกกับจิ่งฟางไว้ว่าจะไปรับสำรับเช้าพร้อมทุกคนในครอบครัว
ภายในห้องอาหารของเรือนใหญ่นอกจากบิดามารดาของไป๋เล่อฉิงแล้ว ยังมีพี่ชายกับพี่สาวร่วมอุทรรวมถึงอนุของบิดาและพี่สาวอีกสองคน ในตระกูลอื่นอาจเกิดการแก่งแย่งเพราะความริษยา แต่ตระกูลไป๋นี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
เพราะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าเกิดเรื่องดีหรือร้ายย่อมได้รับสิ่งเหล่านั้นร่วมกันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ บุตรชายบุตรสาวของจวนไป๋จึงรักใคร่ห่วงใยคอยช่วยเหลือกันเสมอ เมื่อทุกคนเห็นไป๋เล่อฉิงเดินเข้ามาในห้องอาหาร ต่างส่งสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วง เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของนางที่เกิดจากบุรุษตระกูลเส้าผู้นั้น
ไป๋เจิ้งหยูผู้เป็นพี่ชายคนโตรีบลุกไปช่วยประคองน้องสาวจากจิ่งฟาง และพานางมานั่งประจำตำแหน่งอย่างเบามือ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องอาการป่วยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ฉิงเอ๋อร์เหตุใดไม่ให้จิ่งฟางไปบอกพี่ใหญ่หรือพี่รองของเจ้าล่ะ เจ้าเพิ่งจะฟื้นยังฝืนเดินจากเรือนมาที่นี่อีก ไม่ดีกว่าหรือถ้าพี่ใหญ่จะไปรับเจ้าที่เรือน”
“ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ แต่ฉิงเอ๋อร์อยากเดินมาเองให้ร่างกายได้ขยับมากสักหน่อย นอนเป็นผักมาหลายวันเมื่อยตัวจะแย่”
“ฉิงเอ๋อร์ของพี่รองเป็นคนเก่งอีกไม่กี่วันก็หายดีแล้ว ไว้พี่รองจะพาเจ้าไปกินขนมที่เจ้าชอบดีไหม” ไป๋เซียวหยาผู้ตามใจน้องสาวคนนี้มากกว่าใคร ได้ทีก็พูดเอาใจก่อนพี่น้องคนอื่น ๆ
ไป๋เล่อฉิงส่งยิ้มบางให้พี่ชายคนรองและเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของเขา “ย่อมดีอยู่แล้วเจ้าค่ะพี่รอง”
“เอาล่ะ ๆ อย่าเพิ่งชวนฉิงเอ๋อร์คุยเลยนะ มากินข้าวให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปนั่งพูดคุยกันทีหลัง ประเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน” หวังฮูหยินเห็นสีหน้าของบุตรสาวดูสดใสก็โล่งอก และกล่าวตัดบทสนทนาของพี่น้องเพื่อให้ทุกคนได้กินอาหารมื้อเช้า
“ขอรับท่านแม่ /เจ้าค่ะท่านแม่”