ตอนที่ 5 เจ้ายังเด็กควรเรียนรู้ที่จะเก็บอารมณ์
“เกิดอะไรขึ้นใครเป็นอะไรแล้วเหตุใดเจ้าถึงได้อุ้มข้ามาเช่นนี้ไม่รอให้ข้าได้ขอโทษพวกเขาก่อน”
“ขอโทษ ? คุณหนูจะไปขอโทษคนพวกนั้นทำไม!”
น้ำเสียงชิงชังรังเกียจของเขาทำหัวคิ้วงามขมวดเข้าหากัน
ไม่ให้ขอโทษ ?
เจ้าของร่างเดิมวางยาพิษคนอื่นจนเกือบตายเลยนะ ถึงสุดท้ายจะไม่ตายก็เถอะ แต่ความจริงเรื่องวางยาก็ใช่ว่าจะทำเป็นลืมได้
“เหตุใดน้ำเสียงเจ้าถึงดูโกรธแค้นตระกูลหลานถึงเพียงนี้ พวกเขาทำอะไรเหรอ”
“คุณหนูไปถึงก็จะรู้เองขอรับ ถึงตอนนั้นคุณหนูอาจจะนึกขอบใจข้าน้อยก็ได้ที่มาห้ามคุณหนูได้ทัน”
“...”เจียงรั่วอี้
ไม่ทันแล้วล่ะ ข้าคุกเข่าสร้างภาพต่อหน้าคนมากมายและตระกูลหลานไปแล้ว…
เจียงรั่วอี้คิดแต่ไม่ได้พูดออกมา หญิงสาวเงียบปากปล่อยให้เขาพากลับจวน ที่เธอไม่ขัดขืนไม่ใช่ว่าไม่ระวังตัว แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนคนเดียวกับที่มารับกลับจวนครั้งแรกจึงปล่อยเลยตามเลยให้เขาพาตัวกลับ
คนถูกอุ้มพากลับบ้านไม่ได้สนใจเลยว่าตนเองไม่ได้ใช้เส้นทางปกติในการเดินทาง แต่เดินทางผ่านหลังคาบ้าน เพราะมัวแต่จมจ่ออยู่กับความคิดของตนเองกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เขากระโดดลงจากหลังคาปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ
“ถึงแล้ว ? ว่าแต่เมื่อสักครู่เจ้าพาข้าเดินทางมาอย่างไรนะ”
คนพามานิ่งไปชั่วขณะหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ
“ข้าพาคุณมาทางหลังคาขอรับ เดินทางบนถนนชักช้าเกินไป”
ดวงตาดอกท้อค่อย ๆ เบิกกว้างจนแทบถลนออกมา
“เจ้าว่าอย่างไรนะ! เจ้าพาข้ากระโดดข้ามหลังคามา?!”
“เหตุใดคุณหนูถึงได้ตกใจขนาดนี้ขอรับใช่ว่าท่านพึ่งจะเคยเดินทางผ่านหลังคาครั้งแรก”คนไปรับกลับมามองนางอย่างแปลกใจ
เหตุใดวันนี้คุณหนูถึงทำตัวประหลาดนัก ตั้งแต่ยอมเจ็บเพื่อให้ได้หนีออกจากบ้าน เดินทางไปตระกูลหลานเพื่อไปขอโทษ
นี่ยังใช่คุณหนูผู้ร้ายกาจที่ตนรู้จักอยู่ใช่ไหม ?
เจียงรั่วอี้มองท่าทางสงสัยของเขา หยิงสาวกระแอมไอไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก พยายามทำตัวให้เป็นปกติ
ดูท่าเธอจะเล่นใหญ่เล่นโตจนอีกฝ่ายสงสัยเข้าให้แล้วสินะ
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ เจ้าบอกว่าเกิดเรื่องกับคุณชายใหญ่ไม่ใช่หรือ”
“...”เขามองพิจารณาเจียงรั่วอี้เงียบ ๆ มองตามแผ่นหลังบอบบางก้าวเดินเข้าไปในจวน
ทันทีที่ขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ความวุ่นวายด้านในก็ทำให้เจียงรั่วอี้ขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม ในหัวเกิดคำถามร้อยแปดพันเก้า
“ไปตามหมอที่เก่งที่สุดมา ไม่ว่าต้องใช้เงินมากขนาดไหนก็ไปตามมาให้จงได้!”
“น้ำ! ไปเอาน้ำ เอาผ้ามาเปลี่ยนด้วยเร็ว ๆ!”
“โอสถอยู่ไหน ไปนำโอสถมา!”
“พืชวิญญาณละ พืชวิญญาณมีพอหรือไม่?!”
บ้านหลังนี้กำลังจะล่มสลายเหรอ? ทำไมคนในบ้านถึงได้พากันแตกตื่นขนาดนี้!
คนสงสัยหันขวับมองหลัง
“เกิดอะไรขึ้น ยามข้าออกไปในบ้านไม่ได้วุ่นวายขนาดนี้นี่ เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่าความวุ่นวายนี้เกิดจากข้าใช่ไหม?”
“คุณหนูเชิญทางนี้ขอรับแล้วท่านจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด”
เจียงรั่วอี้เดินตามหลังอีกฝ่ายเงียบ ๆ สายตามองซ้ายขวาอย่างพิจารณา
ก่อนหน้านี้ชายคนนี้บอกว่าเกิดเรื่องกับคุณชายใหญ่ ถ้าพูดถึงคุณชายใหญ่ของจวนตระกูลเจียงก็คงจะหมายถึงเจียงเฟยหยาบุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันซึ่งเป็นบิดาของเจียงรั่วอี้
บิดาของเจียงรั่วอี้มีบุตรด้วยกันสามคน
คนแรกคือเจียงเฟยหยา อายุยี่สิบสี่ปี มีนิสัยสุขุม ใจเย็น ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน และที่สำคัญเป็นพี่ชายแสนดีของน้อง ๆ ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจียงรั่วอี้จะไม่ถือว่าดีมากอะไรนัก(เจียงรั่วอี้เป็นคนทำให้มันกลายเป็นกระอักกระอ่วนเพราะนิสัยของเธอเอง) แต่ก็ถือว่าไม่เลว
ส่วนคนที่สองคือเจียงตงหยาง อายุยี่สิบปี นิสัยขี้กังวล ไม่กล้าตัดสินใจ พูดง่าย ๆ คือขี้ขลาด จะทำอะไรก็ต้องมีคนคอยสนับสนุนอยู่ข้าง ๆ เป็นถึงคุณชายรองแต่กลับมีนิสัยเหมือนคนขี้แพ้ ถึงอย่างนั้นก็เป็นคนจิตใจดีรักครอบครัวคนหนึ่ง
และคนสุดท้ายเจียงรั่วอี้ อายุสิบหกปี ตัวร้ายของนิยายเรื่อง หยกคู่ครองนิรันดร์ เจ้าของร่างที่เธอมาสิงสู่
ชื่อเจียงรั่วอี้เหมือนเธอแท้ ๆ แต่นิสัยกลับแตกต่างกันคนละขั้ว
“คุณหนูถึงแล้วขอรับ”เจียงรั่วอี้หลุดจากภวังค์มองคนตรงหน้า หันสายตามองบานประตูที่เปิดอ้าออกทำให้มองเห็นบรรยากาศด้านใน
บนเตียงมีร่างหนึ่งกำลังนอนอยู่ เพราะมีคนยืนอยู่ข้างเตียงทำให้มองเห็นสีหน้าคนป่วยไม่ชัดเจน แต่คาดว่าคงจะเป็นคุณชายใหญ่เจียงเฟยหยา นอกจากคนเกือบสิบชีวิตแล้ว ภายในห้องยังมีอ่างน้ำ ผ้าขาว ผ้าเปื้อนสีแดง และเสื้อผ้าเปื้อนเลือด
“คุณชายใหญ่เป็นอะไรหรือ ?”เจียงรั่วอี้จับมือบ่าวหญิงคนหนึ่งที่ถืออ่างน้ำออกมา พออีกฝ่ายเงยหน้ามองว่าใคร ใบหน้าถึงกับซีดเผือดมือไม้อ่อนแรง
เพล้ง!
อ่างในมือหล่นลงพื้น น้ำสาดกระเซ็น
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู บ่าว บ่าวไม่ได้ตั้งใจ”บ่าวหญิงคุกเข่าตัวสั่นงันงก โขกศีรษะกับพื้นราวกับหวาดกลัวว่านางจะลงดาบสังหาร
เจียงรั่วอี้ที่ไม่เข้าใจแค่เอ่ยถามทำไมถึงได้แสดงอาการหวาดกลัวขนาดนี้ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า เจ้าของร่างร้ายกับทุกคน ยิ่งบ่าวหญิงในเรื่องยิ่งใจร้ายเป็นพิเศษ
ใครก็ตามที่ทำให้นางหงุดหงิดแม้เพียงนิดมักถูกสั่งโบยหลาย ๆ ครั้ง บางครั้งรุนแรงถึงขั้นต้องเรียกหมอมาดูว่าตายหรือไม่
"คุณหนูสามพึ่งกลับมาถึงบ้าน ไม่รีบมาดูอาการคุณชายใหญ่ไม่พอยังมายืนรังแกบ่าวต่อหน้าคนมากมายอีก"
เจียงรั่วอี้ขมวดคิ้วไม่พอใจเล็กน้อย
เปิดปากมาก็ด่าเลยนะ ถึงเจ้าของร่างจะนิสัยเสียยังไงก็เถอะ ก่อนจะว่าช่วยแหกตาดูก่อนไหมว่าอะไรเป็นอะไร ตนยังไม่ได้ทำอะไรอีกฝ่ายเลยแท้ ๆ แค่ถามว่าเจียงเฟยหยาเป็นอะไรเท่านั้น
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเจียงรั่วอี้มองมาด้วยท่าทางไม่พอใจเล็กน้อยจึงก้าวขามาใกล้ เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี ใช้น้ำเสียงประดุจผู้อาวุโสสั่งสอนผู้น้อยกับนาง
“เจ้ายังเด็กควรรู้จักเรียนรู้ที่จะเก็บอารมณ์ ใจดีต่อผู้อื่นบ้างไม่ใช่มัวเมาไปกับอำนาจที่มีในมือ ใช้อำนาจรังแกคนอ่อนแอ คนเช่นนี้ไม่มีใครเขาอยากอยู่ใกล้”
“แล้วท่านเป็นใครถึงได้คิดมาพูดสั่งสอนข้า”สองมือกอดอก เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“เจ้า! ว่าอะไรนะ!”
“หูตึง ? คงเพราะอายุมากแล้วถึงหูไม่ดีสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดให้ฟังอีกรอบ”ก้าวขึ้นหน้า เงยหน้าขึ้นประชันสายตากับอีกฝ่ายไร้ซึ่งท่าทางเกรงกลัว“ข้าพูดว่า ท่านเป็นใครถึงกล้ามาสอนข้า!”
“เจ้า!”
“พอได้แล้ว!”สุรเสียงทรงพลังดังขึ้นในห้อง เจียงรั่วอี้หันมองพบว่าเป็นชายท่าทางมีอายุคนหนึ่ง อีกฝ่ายมองมาที่นางขยับปากพูด“รั่วอี้รีบมาดูอาการพี่ใหญ่เจ้า แล้วที่บ่าวคนนั้นจู่ ๆ ก็ลงไปคุกเข่าเจ้าได้ทำอะไรนางหรือไม่ ?”
“ท่านผู้นำตระกูล!”
เจียงรั่วอี้ไม่สนใจเสียงร้องไม่พอใจข้างหู สบสายตาอีกฝ่ายนิ่ง ชายคนนี้คงจะเป็นบิดาของเจ้าของร่างสินะ
สองขาเพรียวก้าวเข้าใกล้ ทิ้งแขนลงข้างตัว
“ข้าไม่ได้ทำอะไรนางเจ้าค่ะ”
“โกหก คนนิสัยใจคอโหดเหี้ยมชอบทำร้ายบ่าวอยู่เป็นประจำอย่างเจ้านะหรือจะไม่ได้ทำอะไรนาง”
หญิงสาวกลอกตา คนแก่พูดไม่รู้เรื่องกันทุกคนเลยหรือยังไง ถึงเจ้าของร่างจะชั่วร้ายอย่างไรก็ควรถามต้นสายปลายเหตุก่อนสิ พยานในเหตุการณ์ก็มี ไม่มีพยานก็ว่าไปอย่าง
สายตาเหนื่อยหน่ายใจหันมองชายชราขยับปากเรียกออกมาว่า“ตาเฒ่า”
“เจ้าเรียกใครว่าตาเฒ่า!”
“ไม่ใช่ท่านแล้วจะให้ข้าเรียกใคร คนที่แหกปากเสียงดังต่อว่าข้าตอนนี้ก็มีแค่ท่าน”
“เจ้า! เจ้า!”ยกมือชี้หน้าเจียงรั่วอี้ เมื่อเห็นว่านางยังคงไม่มีท่าทางเกรงกลัวต่อท่าทีของตนจึงหันมองเจียงเค่อหนิง“ท่านผู้นำดูเอาเถิด นางถึงขั้นกล้าทำกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสแล้ว วันหน้านางคงไม่เห็นหัวพวกข้าแล้ว!”
“ถ้าอยากให้เคารพก็ทำตัวให้เด็กน่าเคารพหน่อยสิ ผู้ใหญ่ใจร้อนอ้างแต่คำว่าอาวุโสกว่า นิสัยไร้เหตุผล คนเช่นนี้นะหรืออยากให้เด็กเคารพ เหอะ!”กลอกตามองบน หันสายตามองอีกฝ่าย“ขอเถอะ ทำอย่างนี้มันน่าอายนะ”
“รั่วอี้พ่อบอกให้พอแล้ว! แล้วก็ผู้อาวุโสหยวนท่านเองก็ใจเย็น ๆ ลองฟังรั่วอี้ก่อน ครั้งนี้นางอาจจะไม่ได้ทำอะไรบ่าวหญิงคนนั้นก็ได้”
“ไม่ได้ทำ? ไม่ได้ทำแล้วบ่าวคนนั้นจะลงไปคุกเข่ากับพื้นแสดงท่าทางหวาดกลัวขนาดนั้นได้ยังไง”
“ขออภัยขอรับ แต่ครั้งนี้คุณหนูสามไม่ได้ทำอะไรบ่าวหญิงคนนี้จริง ๆ ขอรับ”
เจียงรั่วอี้หันขวับมองคนพูด
ไม่คิดว่าบ่าวชายคนนี้จะออกปากช่วยเหลือ เธอคงต้องจดความช่วยเหลือสิ่งนี้ไว้ในใจแล้วตอบแทนน้ำใจเขาในสักวัน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“คุณหนูสามไม่ได้ทำอะไรนางขอรับ คุณหนูเพียงสอบถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายใหญ่ พอบ่าวหญิงคนนั้นเห็นหน้าคุณหนูก็...”หันมองเจียงรั่วอี้แล้วก้มหน้าลงพูดต่อ“พอเห็นหน้าคุณหนูนางก็ลงไปคุกเข่าบนพื้น เอ่ยปากขอการอภัยขอรับ”
“....”
เป็นไงละอึ้งรับประทานไปเลยไหม
เจียงรั่วอี้หันมาเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสหยวน ยามมองหน้าอีกฝ่ายดวงตาดอกท้อมีประกายบางอย่างวาบผ่าน
“ท่านได้ยินชัดแล้วใช่ไหม ? ในเมื่อได้ยินชัดแล้วก็ขยับถอยห่างออกไปหน่อย ข้าจะเข้าไปดูพี่ใหญ่ข้า”
คนถูกหักหน้ามองตามแผ่นหลังบอบบาง สองมือทิ้งลงข้างตัว อยากเดินเข้าไปกระชากนางมาสั่งสอนอีกสักครั้ง แต่ติดที่ไม่สามารถทำได้จึงต้องข่มกลั้นอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในอกเอาไว้
รอคอยวันที่จะได้ตอบแทนความอัปยศที่ตนได้รับในวันนี้
