ตอนที่ 4 ความจริงใจของตัวร้ายเป็นได้เพียงแผนการ
“ข้ามาพบคุณหนูหลานหมิงหมิงไม่ทราบว่านางอยู่หรือไม่”
คนเฝ้าหน้าประตูมองเจียงรั่วอี้ ท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน
“คุณหนูของพวกเราไม่อยู่ คุณหนูเจียงกลับไปเถิด”
แม้จะเรียกอย่างให้เกียรติว่าคุณหนูเจียงแต่น้ำเสียงและสายตากลับแสดงออกถึงความรังเกียจไม่ต้อนรับอย่างชัดเจน
เจียงรั่วอี้เข้าใจปฏิกิริยาของพวกเขา เจ้าของร่างทำกับอีกฝ่ายไว้มากคนของหลานหมิงหมิงจะรังเกียจเธอก็ไม่แปลก
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับนางจริง ๆ รบกวนพวกเจ้าช่วยไปแจ้งแก่นางได้หรือไม่ว่าข้ามาขอพบ”
“คุณหนูท่านฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือขอรับ ข้าบอกว่าคุณหนูของพวกข้าไม่อยู่ให้ท่านกลับไป”น้ำเสียงกดต่ำท่าทีคุกคาม
เจียงรั่วอี้ยังคงทำใจเย็นพูดกับพวกเขาจะใช้อารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด!
ท่องไว้
เจ้าของร่างคือคนผิด
เจ้าของร่างคือคนผิด
พวกเขาไม่พอใจที่เจ้าของร่างทำร้ายคุณหนูของพวกเขาถึงได้แสดงอาการไม่พอใจออกมา
“ข้าขอร้องพวกท่านอย่างน้อยช่วยไปบอกนางก็ยังดี ข้าอยากจะมาขอโทษที่เคยทำผิดต่อนาง”
“เกรงว่าบุตรสาวของข้าคงรับคำขอโทษของคนสูงศักดิ์อย่างคุณหนูเจียงไม่ไหวหรอกขอรับ”
น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นหลังบานประตู ก่อนประตูจะเปิดออกเผยให้เห็นชายอายุประมาณห้าสิบหกสิบปี อีกฝ่ายสวมชุดสีน้ำเงินเข้มลวดลายดอกบัวก้าวย่างหนักแน่นมั่นคง
“คารวะท่านผู้นำตระกูล”ทั้งสองคนหันไปทำความเคารพอีกฝ่าย
หลานลี่ฟูเหลือบสายตามองเจียงรั่วอี้ หัวคิ้วชายสูงวัยขมวดเข้าหากัน
“ข้าว่าคุณหนูเจียงกลับบ้านไปรักษาบาดแผลบนร่างกายก่อนดีกว่านะขอรับ การที่ท่านมายืนทำตัวน่าสงสารอยู่หน้าบ้านผู้อื่นเช่นนี้มีแต่จะทำให้ตระกูลข้าดูไม่ดี”
เจียงรั่วอี้ไม่สนใจน้ำเสียงเย้ยหยันถากถางจากอีกฝ่าย เธออุตส่าห์ลงทุนลงแรงหนีออกมาขนาดนี้แล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องได้ขอโทษให้เป็นเรื่องเป็นราว ส่วนอีกฝ่ายจะยกโทษให้หรือไม่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอจะไปบังคับได้
อย่างน้อยก็อยากมีโอกาสขอโทษต่อหน้า
“ท่านผู้นำตระกูลข้ารู้ว่าที่ผ่านมาข้าทำเรื่องไม่ดีต่อหลานหมิงหมิงมากมาย ตอนนี้ข้าสำนึกผิดในสิ่งที่เคยทำไม่ดีต่อนางแล้วจึงอยากมาขอโทษ”
“เหอะ ขอโทษ ? คุณหนูเจียงรู้ความหมายของคำว่าขอโทษด้วยหรือขอรับ”หลานลี่ฟูหลุบตามองอย่างนึกรังเกียจ
วันนี้นางมีแผนอะไรอีกถึงได้มาบ้านพวกเขาทั้งที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด หรือคิดจะมาใช้ความน่าสงสารเรียกความเห็นใจจากพวกตน
หญิงร้ายกาจที่ทำร้ายหมิงหมิงของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า คนเช่นนี้นะหรือจะรู้จักความหมายของคำว่าขอโทษ
เขาเชื่อไม่ลง
“ท่านผู้นำตระกูลข้า ข้าขอร้องท่านได้โปรดให้โอกาสข้าสักครั้งได้หรือไม่”
“คุณหนูเจียงท่านฟังภาษาคนไม่เข้าใจหรือ ข้าบอกแล้วว่า...”
ปึก!
หลานลี่ฟูยังพูดไม่ทันจบประโยค เจียงรั่วอี้ก็คุกเข่าสองข้าง วางมือแนบพื้น โค้งศีรษะ
“เจ้าคิดจะทำอะไร ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
หลานลี่ฟูไม่คิดว่าเจียงรั่วอี้จะทำถึงขนาดนี้ อีกฝ่ายคือสตรีหยิ่งยโส เอาแต่ใจ ขี้อิจฉาริษยา ชอบรังแกและดูถูกผู้อื่น หญิงสาวที่มีนิสัยชั่วร้ายถึงเพียงนั้นเหตุใดตอนนี้ถึงได้กล้าคุกเข่าโค้งศีรษะแสดงความขอโทษ!
“ท่านผู้นำตระกูลข้าขอร้องท่านให้ข้าได้เข้าไปขอโทษนางสักครั้ง หากท่านกลัวว่าข้าจะทำร้ายนาง ท่านสามารถยืนอยู่กับข้าได้”
การกระทำของเจียงรั่วอี้สร้างความประหลาดใจให้คนเดินผ่านไปมา ภาพหญิงสาวเนื้อตัวมอมแมมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด คุกเข่าสองข้าง คำนับอย่างจำนน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
ท่าทางของนางเหมือนลูกนกตัวน้อย ๆ ไร้ทางสู้ ไร้ที่ไป ทำได้เพียงยอมศิโรราบต่อผู้แข็งแกร่ง
ไหล่บอบบางสั่นเล็กน้อย ดูแล้วพานให้รู้สึกสงสารและอยากปกป้อง ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าคือเจียงรั่วอี้ แต่สภาพของนางตอนนี้กลับทำให้คนมองหัวใจกระตุก
นางพึ่งจะอายุสิบหกปี ถึงจะมีนิสัยชั่วร้ายแต่อย่างไรก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหกปีคนหนึ่ง
วันนี้เด็กสาวคนนั้นสำนึกผิดแล้ว อยากขอโทษในความผิดที่ตนเคยก่อ ในฐานะผู้ใหญ่ควรให้โอกาสเด็กได้สำนึกผิดและเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ใช่หรือ
หลานลี่ฟูมองเจียงรั่วอี้ที่คุกเข่าแนบศีรษะบนพื้น เงยหน้ามองชาวบ้านที่กำลังมองตนอยู่
มือซึ่งซุกซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อกำเข้าหากันแน่
ดี! นางมาเพื่อเรียกความสงสารเห็นใจเพราะรู้ว่าตระกูลตนและกู้กำลังวางแผนโจมตีตระกูลของนางสินะ หญิงสาวชั่วร้ายไร้สมองรู้จักแต่ทำอะไรโง่ ๆ วันนี้รู้จักใช้ความคิดของชาวบ้านให้เป็นประโยชน์แล้ว
หลานลี่ฟูไม่มีทางคิดว่าเจียงรั่วอี้สำนึกจริง ๆ ที่นางทำก็เพราะต้องการเตือนพวกเขากลาย ๆ ว่าหากคิดจะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบไม่อย่างนั้นแล้วแทนที่จะสามารถจัดการตระกูลของนางได้ง่าย ๆ พวกเขาจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านเสียเอง
“เจ้าลุกขึ้นมาก่อนเถิด มีอะไรไปคุยกันในบ้านดีกว่า”หลานลี่ฟูพยายามใช้น้ำเสียงผู้ใหญ่แสนใจดีคุยกับเด็กสาว
เจียงรั่วอี้เงยหน้ามองเขา
“ท่านผู้นำตระกูลพูดจริงใช่ไหมเจ้าคะ ท่าน...อนุญาตให้ข้าเข้าไปขอโทษหลานหมิงหมิงแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
เด็กคนนี้ยังจะมีหน้ามาถามตนด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดอีก! ลองเขาไม่ยอมดูสิ ชาวบ้านคงนำเรื่องบ้านเขาไปพูดคุยกันสนุกปาก!
“เจ้าพูดอะไร ข้าในฐานะผู้อาวุโสย่อมต้องใจกว้างให้อภัยความผิดพลาดของเด็ก ๆ และยอมให้เจ้าได้ไปขอโทษหลานหมิงหมิงของข้า”
เจียงรั่วอี้ฉีกยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่เจียงรั่วอี้คนก่อนไม่มีทางจะมีได้
“นางสำนึกผิดแล้วจริง ๆ สินะ ดูรอยยิ้มนั่นสิ หากข้าไม่ได้เห็นกับตาคงไม่เชื่อว่านางจะสำนึกผิดจริงๆ”
“ใช่ ๆ เป็นรอยยิ้มที่ต้องมาจากใจจริงเท่านั้นถึงจะมีได้”
“นางจะกลับตัวกลับใจได้จริง ๆ หรือ”
“ได้หรือไม่ได้พวกเราก็ดูกันไปก่อน อย่างน้อยในตอนนี้นางก็มีจิตสำนึกผิดแล้ว”
เจียงรั่วอี้ลอบยิ้มในใจหลังได้ยินคำพูดของชาวบ้านระหว่างลุกขึ้นยืน ไม่เสียแรงที่ลงทุนลงแรงไปมาก ผลลัพธ์ถือว่าไม่เลว
“เชิญเจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปพบหลานหมิงหมิง”
“ขอบคุณท่านผู้นำตระกูลที่เมตตาผู้น้อย”
หลานลี่ฟูมุมปากกระตุก เป็นเด็กร้ายกาจคนหนึ่งจริง ๆ มิน่าเล่าหลานหมิงหมิงของเขาถึงรับมือเด็กชั่วร้ายอย่างนางไม่ไหว
ชายสูงวัยบ่นพึมพำในใจพลางนำทางเจียงรั่วอี้เข้าไปในบ้าน ทว่าฝ่าเท้ายังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตู เสียงแตกตื่นของบุรุษกลับดังขึ้นขัดจังหวะการก้าวเดินของนาง
“คุณหนูเจียงแย่แล้ว ท่านต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้ขอรับ คุณชายใหญ่แย่แล้ว!!”
น้ำเสียงร้อนรนเต็มไปด้วยความร้อนใจ
ชายอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ วิ่งเข้ามาคว้าตัวเจียงรั่วอี้แล้วพาตัวคนจากไป ไม่แม้จะฟังความคิดเห็นของนางเลยสักนิด
การกระทำราวพายุพัดผ่านทำชาวบ้านตกตะลึงมองกันตาค้าง รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็เห็นแผ่นหลังทั้งสองห่างออกไปหลายร้อยก้าว
และไม่ใช่เพียงชาวบ้านที่เห็นยังมีคนสองคนมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน
“คุณชายพวกเราสายมากแล้วนะขอรับ”เสียงหนึ่งดังขึ้นในซอยแคบ ๆ ไม่ไกลจากหน้าจวนตระกูลหลานมากนัก คนถูกเรียกเจ้านายหันมองคนข้างกายแล้วพยักหน้าเข้าใจ หันหลังเดินหลบออกจากเส้นทางคับแคบ สองมือทิ้งข้างตัวกำเข้าหากันแน่น
ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เขาเพียงสงสัยว่านางคิดจะมาทำอะไรที่จวนตระกูลหลาน นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเห็นท่าทางน่าสงสารของอีกฝ่าย ท่าทางที่เหมือนกับสิบเอ็ดปีก่อน
