บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 6 พวกเจ้าไม่มีใครตายเหตุใดต้องแก้แค้นกัน

“พี่ใหญ่เหตุใดถึงมีสภาพเช่นนี้ ?”

เจียงรั่วอี้มองคนบนเตียงอย่างไม่เข้าใจ ในนิยายที่เธออ่านเจียงเฟยหยาไม่เคยได้รับบาดเจ็บใด ๆ จนกระทั่งตระกูลหลานและกู้เปิดศึกกวาดล้างตระกูลเจียงอย่างจริงจัง แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงได้มีสภาพเหมือนผู้ป่วยหนักพร้อมลงโลงหลังจากเธอมาเข้าร่างเจียงรั่วอี้ได้เพียงวันเดียว

เดี๋ยวก่อนนะ

“ท่านพ่อข้าหลับไปกี่วัน”

“เจ้าอยากรู้ไปทำไม”

“ท่านพ่อตอบข้ามาก่อนสิเจ้าคะ”

“สี่วัน และเป็นสี่วันที่ทำให้พี่ชายเจ้าเป็นเช่นนี้!”

“ท่านพ่อพูดเหมือนอย่างกับว่าข้าเป็นคนทำร้ายพี่ใหญ่”หัวคิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันกันเป็นปม

เจียงเฟยหยาบาดเจ็บสาหัสเกี่ยวอะไรกับเธอ เธอไม่ได้เป็นคนทำร้ายอีกฝ่ายเสียหน่อย

“ใช่ เจ้าไม่ได้เป็นคนทำร้ายเจียงเฟยหยา แต่ที่เฟยหยาต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ล้วนเป็นผลพวงจากการกระทำของเจ้า!”

“...”

“รั่วอี้เพราะการกระทำของเจ้าเมื่อสี่วันก่อนขณะที่เจ้ากำลังหลับสนิทไม่ยอมตื่นขึ้นมา ตระกูลกู้และหลานหยิบยกเรื่องว่าจ้างเจียงเฟยหยาไปเป็นผู้คุ้มกันพวกเขาเดินทางขึ้นเขาไปเก็บพืชวิญญาณ”

“แล้วทำไม ?”

“เจ้าอยากรู้สาเหตุที่ตระกูลไม่ปฏิเสธใช่ไหม ? ทำไมจะไม่อยากปฏิเสธแต่เพราะปฏิเสธไม่ได้ต่างหากละ! เจ้าทำเรื่องร้ายกาจลงไปขนาดนั้นตระกูลจะมีหน้าปฏิเสธได้อย่างไร ถึงปฏิเสธไปคนพวกนั้นก็สรรหาคำพูดมาทำให้ตระกูลรู้สึกผิด อับอาย กดดันให้ต้องยอมรับคำขอของพวกเขา มิหนำซ้ำยังข่มขู่ว่าหากไม่ยอมทำตามคำร้องขอจะตัดช่องทางการซื้อขายพืชวิญญาณของตระกูล!”

“รั่วอี้ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าสำหรับตระกูลเจียงของเราพืชวิญญาณมีความสำคัญมากขนาดไหน หากถูกตัดเส้นทางการรับซื้อหรือถูกทั้งสองตระกูลขัดขวางเป็นไปไม่ได้เลยที่ตระกูลเจียงจะสามารถยืนหยัดอยู่ต่อ”

“ตระกูลเรามีนักหลอมโอสถเก่ง ๆ อยู่ไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าตระกูลเราคือหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่หรือ ท่านปู่เองก็เก่งกาจถึงเพียงนั้น ตระกูลเจียงจะถูกสองตระกูลนั้นกดดันได้อย่างไร”

“รั่วอี้เจ้าพูดอะไรออกมา!”

คนถูกตะคอกสะดุ้งตกใจ แต่คนตะคอกหาได้สนใจอาการของนางยังคงพูดออกมาด้วยโทสะ

“เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร! ท่านปู่นอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงมานานสิบเอ็ดปีแล้ว สิบเอ็ดปีที่ท่านไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย! เจ้าเองก็รู้ดีเหตุใดถึงได้พูดออกมาเหมือนไม่รู้ ในเมื่อสาเหตุที่ทำให้ท่านนอนหลับไม่ฟื้นเพราะช่วยเหลือเจ้า ! เป็นเพราะช่วยให้เจ้าตื่นขึ้นมาทำเรื่องชั่วร้ายสารพัดท่านถึงได้ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย!”

เจียงเค่อหนิงตะคอกใส่บุตรสาวอย่างเดือดดาล ถึงจะไม่ได้รู้สึกสนิทใจกับเด็กคนนี้ตั้งแต่เกิดเรื่องในคราวนั้น ทว่าอย่างน้อยร่างกายนี้ก็ยังบ่งบอกว่านางคือบุตรสาวของเขา ไม่ว่านางจะทำเรื่องเลวร้ายลงไปมากแค่ไหน เขาก็พยายามหลับตาข้างลืมตาข้าง จัดการปัญหาทุกอย่างที่นางก่อ

ทว่าการที่นางลืมเลือนตัวตนของคนที่เสี่ยงช่วยชีวิตนางกลับคืนมาทำให้เขาไม่อาจทนต่อไปได้อีก

หากบิดายังอยู่ตระกูลเจียงก็จะยังมีเสาค้ำจุ้นไม่ถูกตระกูลอื่นกดข่มได้ง่าย ๆ ตระกูลเจียงที่ได้ชื่อว่าหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่คงไม่มีสภาพอย่างทุกวันนี้

สภาพที่ไม่ต่างจากสุนัขหนีตายทำได้เพียงคอยมองสีหน้าราชสีห์

คนฟังนิ่งอึ้ง

นี่มันอะไรกัน...

เหตุใดเรื่องราวที่เธอได้อ่านกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ถึงแตกต่างกันเหลือเกิน หรือเพราะเธอไปต่อว่ากู้เหวินซานทุกอย่างจึงแตกต่างไปจากเดิม

หากเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วสาเหตุที่ทำให้เจียงคั่งหยูไม่ตื่นขึ้นมาคืออะไรละ เหตุการณ์เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนคืออะไรกันแน่

เจียงรั่วอี้ทั้งสับสนและไม่เข้าใจ

การที่เธอต้องมาสวมร่างคนอื่นก็พานให้รู้สึกยุ่งยากใจมากพอแล้ว แต่นี่แม้แต่เหตุการณ์ช่วงแรกยังเปลี่ยนไปราวกับว่า นิยายที่เธออ่านกับเรื่องที่กำลังเผชิญนี้ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

แล้วแบบนี้เรื่องอื่น ๆ จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เธอจะสามารถรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนกัน

โธ่เว้ย!! ช่างมันก็แล้วกัน คิดมากไปก็มีแต่จะปวดหัวอะไรจะเกิดขึ้นก็ให้เกิดไปเลยเธอไม่คิดจะยอมอยู่เฉย ๆ รอวันตายอยู่แล้ว

ในเมื่อเรื่องราวไม่เป็นไปตามเนื้อเรื่องที่ได้อ่าน เธอก็จะใช้ความรู้ที่มีน้อยนิดพยายามจัดการปัญหาทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

ส่วนเรื่องที่คิดจะไปขอโทษตระกูลหลาน

ลืมไปเลย คนพวกนั้นทำกับเจียงเฟยหยาขนาดนี้แล้ว คำขอโทษอะไรก็ไม่ต้องเอามันแล้ว!

หลานหมิงหมิงถูกวางยาจากที่เห็นในวันนั้นอาการก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนัก แต่ดูสิ่งที่พวกนั้นทำกับเจียงเฟยหยา อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายถึงขั้นพูดได้ว่าหวังให้ตาย

พวกเจ้าไม่มีใครตายเหตุใดต้องแก้แค้นกันหนักขนาดนี้!!

นี่สินะความโหดร้ายของโลกผู้ฝึกปราณ ความใจดำและโหดเหี้ยมของโลกที่มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด

“เจ้ารู้สึกสำนึกผิดแล้ว?”เจียงคั่งหยูเห็นบุตรสาวเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร

ไม่แม้กระทั่งแสดงอาการไม่พอใจออกมาทั้งที่ตนตวาดอีกฝ่ายไปมากขนาดนั้น ท่าทางบุตรสาวที่แตกต่างไปจากปกติทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

ราวกับว่าคนที่ตนกำลังต่อว่าไม่ใช่คนคนเดียวกับที่กระทำผิด

“เจ้าค่ะ รั่วอี้สำนึกผิดแล้ว ต่อไปนี้ลูกจะทำตัวให้ดีไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนอีก ส่วนเรื่องตระกูลในเมื่อท่านพ่อบอกว่าเป็นเพราะลูก ลูกจะพยายามหาทางฟื้นคืนตระกูลให้มากที่สุด”

“เหอะ เด็กอย่างเจ้าจะทำอะไรได้ แค่ไม่ทำให้เรื่องเลวร้ายไปมากกว่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว”

นัยน์ตาคมกริบตวัดมองหยวนเจิ้นฝู

“อย่างน้อยข้าก็คิดจะทำไม่เหมือนผู้อาวุโสอย่างท่าน ไม่คิดจะทำให้ตระกูลดีขึ้นไม่พอยังคอยแต่หาผลประโยชน์เข้าตัว”

คนฟังสะดุ้ง มองเจียงรั่วอี้เขม็ง

“ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร”

“คำพูดข้าหมายความว่าอย่างไรตัวท่านคงจะรู้ดีที่สุด ในเมื่อท่านไม่คิดหาทางช่วยเหลือแต่ข้าคิดหาทาง ข้าแนะนำให้ท่านเก็บคำพูดของท่านเอาไว้ไม่ต้องเอาออกมาพูดกับข้า”

“เจ้า! ชักจะเหิมเกริมมากเกินไปแล้วนะ!”หยวนเจิ้นฝูปลดปล่อยพลังลมปราณออกมาอย่างเหลืออด

“ผู้อาวุโสหยวนท่านคิดจะทำอะไร!”เจียงเค่อหนิงปล่อยพลังออกมาสกัดกั้น

“ข้าก็จะสั่งสอนนางให้รู้ว่าเด็กควรปฏิบัติตัวเช่นไรต่อหน้าผู้อาวุโส วันหน้าจะได้ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงทำตัวไม่เคารพผู้อาวุโสเช่นวันนี้อีก!”

“ทำไมข้าต้องเคารพ คนปลิ้นปล้อนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างท่านไม่มีอะไรให้ข้าต้องเคารพ!!”

“พอได้แล้ว!”

“ท่านหมอมาแล้วขอรับ!”

สองเสียงประสานกันทำให้บรรยากาศคุกรุ่นภายในห้องหยุดชะงัก หมอชราเดินเข้ามามองซ้ายทีขวาที หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน

“พวกท่านทั้งหมดออกไปด้านนอก ในห้องมีคนป่วยไม่ได้รับอนุญาตให้ปลดปล่อยพลังปราณออกมารบกวนการรักษา”

ทั้งสองคนมองหน้าหมอชราแล้วเก็บพลังกลับคืน เจียงรั่วอี้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่หยวนเจิ้นฝู

นี่ยังน้อยไปกับสิ่งที่เขากระทำต่อตระกูลเจียง

ถึงเธอจะอ่านนิยายไม่จบเพราะรู้สึกว่าเนื้อหากระโดดไปมาเนื้อหาบางส่วนขาดหายไม่ค่อยปะติดปะต่อกันแต่ก็พอจำรายละเอียดบางอย่างได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่แน่ใจแล้วว่าความรู้จากนิยายจะยังสามารถใช้งานได้อยู่หรือไม่ก็ตาม

หยวนเจิ้นฝูมองท่าทางยียวนของนางด้วยใจร้อนเป็นไฟ ชายชราเก็บความรู้สึกอัดอั้นตันใจนี้ไว้ หันสายตามองหมอชรา

“ท่านหมออาการเฟยหยาเป็นอย่างไรบ้าง”เจียงเค่อหนิงเอ่ยถาม

หมอชราส่ายหัว

“อาการหนักหนามาก”

“แล้วบุตรชายข้าจะฟื้นเมื่อใดหรือขอรับ”

“ดูจากอาการแล้วอีกสามถึงห้าวันถึงจะฟื้น แต่หากพ้นห้าวันแล้วยังไม่ฟื้น...”หมอชราเงียบปาก เงยหน้ามองผู้นำตระกูลเจียง

“ท่านหมอพูดออกมาเถิดขอรับ”

“หากภายในสามถึงห้าวันยังไม่ฟื้น มีความเป็นไปได้มากว่าคุณชายเจียงจะตื่นขึ้นมาและกลายเป็นคนไร้ประโยชน์”

“ท่านหมอ...ทะ...ท่านพูดจริงหรือขอรับ”เจียงเค่อหนิงจวนเจียนจะเซล้ม แต่ยังดีที่กลับมายืนอย่างมั่นคงได้ทัน

“หมอไม่อาจทิ้งจรรยาบรรณได้ ที่ข้าพูดคือเรื่องจริง”

“ท่านผู้นำตระกูล!/ท่านพ่อ!”

เจียงเค่อหนิงแทบล้มทั้งยืน

สายตาเหนื่อยล้าสิ้นหวังของชายวัยกลางคนหันมองบุตรชาย เพราะตนอ่อนแอพอไม่มีบิดาก็ไม่สามารถนำพาตระกูลให้ดีได้

หากเขามีความสามารถมากกว่านี้ เก่งกาจมากกว่านี้ เกิดมาเป็นนักหลอมโอสถเหมือนบิดาไม่ใช่ผู้ฝึกปราณ บางทีตระกูลเจียงคงไม่ตกต่ำหลังตกมาอยู่ในการดูแลของตน

“ท่านหมอหากพี่ใหญ่สามารถตื่นขึ้นมาได้ภายในสามวันห้าวันจะยังกลายเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่หรือไม่เจ้าคะ”

ขณะบรรยากาศอึมครึมเศร้าหมองปกคลุมทั่วห้องเจียงรั่วอี้กลับถามขึ้นราวกับว่าเรื่องที่ได้ยินเมื่อสักครู่ไม่ได้หนักหนาอันใด

“ยังสามารถกลับมาฝึกปราณได้ ถึงจะยากลำบากกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีทางกลายเป็นคนไร้ประโยชน์”

“ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ รบกวนช่วยจัดเทียบยาให้พี่ใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ”

หมอชรามองเด็กสาวตรงหน้า

ไม่ใช่คนเขาลือไปทั่วว่าบุตรสาวคนเล็กตระกูลเจียงเป็นคนร้ายกาจหรือ เท่าที่ตนได้สัมผัสเด็กสาวตรงหน้าเป็นคนนิสัยน่าคบหาคนหนึ่ง บรรยากาศรอบกายสะอาดสดชื่นไม่เหมือนเด็กสาวนิสัยชั่วร้ายเลยสักนิด

มิหนำซ้ำยังดูใจเย็น มีสติมากกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก

“ได้ ข้าจะจัดเทียบยาให้ ส่วนจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับเจ้าตัวแล้ว”

“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ผู้น้อยขอออกไปส่งท่านหมอด้วยตัวเองนะเจ้าคะ”

“ได้สิ แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้าเสียก่อน”

คำพูดหมอชราทำให้คนในห้องพึ่งจะสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าเจียงรั่วอี้เปื้อนไปด้วยเลือด อีกทั้งบริเวณแขนข้างหนึ่งยังปรากฏรอยแผลเป็นทางยาว

“รั่วอี้แขนเจ้าไปโดนอะไรมา”เจียงเค่อหนิง

“ไม่มีอะไรมากเจ้าค่ะ แค่หกล้มเล็กน้อย”

“...”

มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อว่าแผลนี้ได้มาจากการหกล้ม ทว่าในเมื่อนางไม่คิดบอกเหตุผลก็ไม่มีใครคะยั้นคะยอต้องการคำตอบ ทุกคนรู้ดี เรื่องอะไรที่นางไม่คิดเอ่ยปาก ไม่ว่าใครก็ทำให้พูดออกมาไม่ได้

การแสดงออกของคนในครอบครัวทำหมอชราขมวดคิ้ว ต้องเป็นครอบครัวที่ไม่สนใจกันขนาดไหนถึงมองบาดแผลใหญ่ขนาดนี้ไม่เห็น

เจียงเค่อหนิงรู้สึกละอายใจต่อสายตาของหมอชรา

เขาไม่ได้สนใจมองจริง ๆ เพราะมัวแต่เป็นห่วงบุตรชายคนโต แถมท่าทางของเจียงรั่วอี้ก็ไม่เหมือนคนบาดเจ็บ

“แม่หนูขยับเข้ามาใกล้ข้าสิ ข้าจะจัดโอสถและพืชวิญญาณที่เหมาะสมให้พี่ใหญ่เจ้าหลังรักษาบาดแผลให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”

เจียงรั่วอี้ยิ้มแห้ง

หมอชราพูดขนาดนี้แล้ว หากเธอไม่ทำตามโอกาสที่จะได้รักษาเจียงเฟยหยาคงล่าช้าออกไป จึงยอมขยับเข้าใกล้ปล่อยให้อีกฝ่ายรักษาอย่างที่ต้องการ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel