ตอนที่ 2 ก่อนจะบานปลายต้องแก้ไขที่ต้นตอ
“ท่านพ่อพวกเราจะทำอย่างไรกันดี รั่วอี้เล่นแรงถึงขั้นกล้าวางยาคุณหนูเล็กตระกูลหลาน มิหนำซ้ำคุณชายกู้คู่หมั้นของนางยังประกาศก้าวว่าหากหลานหมิงหมิงเป็นอะไรไปจะเอาเรื่องตระกูลเราจนถึงที่สุด”
“ท่านพ่อตอนนี้ครอบครัวเราไม่สามารถรับมือกับทั้งสองตระกูลไหวนะขอรับ”
“ตงหยางไม่ใช่ว่าพ่อไม่รู้ถึงความกังวลของลูก แต่พ่อเองก็จนปัญญา ครั้งนี้รั่วอี้ทำเกินไปมากจริง ๆ ไม่รู้ว่าสองตระกูลนั้นจะเอาคืนตระกูลเราอย่างไรบ้าง”
เจียงเค่อหนิงถอนหายใจยาวมองหญิงสาวบนเตียงนอน
“หากท่านปู่ยังอยู่ตระกูลของพวกเราคงไม่ตกต่ำและวุ่นวายขนาดนี้ ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้นท่านปู่ของลูกก็หมดสติไป ส่วนน้องสาวก็กลายเป็นใครก็ไม่รู้”
ใบหน้าเจียงเค่อหนิงเศร้าหมอง หวนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีก่อน
อุบัติเหตุในครั้งนั้นได้พรากทั้งบิดาและบุตรสาวของตนไป
ส่วนเด็กสาวบนเตียง แม้หน้าตาจะเหมือนบุตรสาวคนเดิมของเขาทุกกระเบียดนิ้วแต่นิสัยใจคอบรรยากาศรอบกายกลับกลายเป็นคนละคน
“ท่านพ่อเรื่องของรั่วอี้ท่านพ่อเชื่อจริง ๆ หรือขอรับว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น”
“หากไม่ใช่คงไม่มีอะไรอธิบายนิสัยที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของน้องสาวเจ้าได้แล้วละ ไม่ใช่แค่พ่อที่รู้สึก ทั้งพี่ชายเจ้าและแม่ของเจ้าต่างก็รู้สึกเหมือนกันไม่ใช่หรือ แถมแม่เจ้ายังกลายเป็นเช่นนั้นหลังได้เห็นรั่วอี้ตอนฟื้นอีก”
“แต่ว่าท่านพ่อ...”
“หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือพยายามหาทางรับมือการโจมตีของสองตระกูลให้ได้มากที่สุด และภาวนาขอให้พวกเขาไม่ลงมือรุนแรงมากเกินไป”
“เข้าใจแล้วขอรับท่านพ่อ”เจียงตงหยางถอนหายใจตอบรับอย่างเชื่อฟัง พลางเหลือบมองน้องสาวที่นอนหลับไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว
“เอาล่ะ วันนี้ดูแล้วน้องสาวเจ้าก็คงจะยังไม่ฟื้นเหมือนเดิม พวกเราออกไปกันเถิด”
“ขอรับท่านพ่อ”
คนบนเตียงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาหลังได้ยินเสียงบานประตูปิดลง หันสายตามองเพดานห้องไม่คุ้นเคย ห้องนอนไม่คุ้นตา แล้วถอนหายใจยาวออกมา
จากที่ได้ฟังทั้งสองคนพูดคุยกันคงปฏิเสธความจริงที่เธอได้กลายเป็นเจียงรั่วอี้ บุตรสาวคนเล็กตระกูลเจียงที่มีนิสัยชั่วช้าร้ายกาจไม่ได้แล้วสินะ
ส่วนร้ายกาจยังไงนะเหรอ ?
ไม่มีอะไรมาก แค่ชอบด่าทอบ่าวรับใช้ ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ชอบใช้ความรุนแรง ใช้อำนาจที่มีในมือข่มขู่คนอื่น โดยเฉพาะกับหลานหมิงหมิง สาเหตุที่เจียงรั่วอี้ชอบรังแกหลานหมิงหมิงเพราะนางชอบกู้เหวินซานพระเอกของนิยายเรื่องนี้ แต่กู้เหวินซานกลับมีใจให้หลานหมิงหมิง อีกทั้งตระกูลหลานและกู้ยังตกลงหมั้นหมายกัน
เจียงรั่วอี้ที่มีนิสัย ไม่ว่าอะไรที่นางอยากได้นางก็ต้องได้ จึงไม่พอใจเป็นอย่างมากและด้วยความไม่พอใจนี้นางจึงมองหลานหมิงหมิงเป็นสิ่งขวางหูขวางตา และเริ่มแผนการรังแกอีกฝ่าย แต่ด้วยสกิลนางเอกทุกครั้งที่โดนรังแกพระเอกก็จะเข้ามาช่วยเหลือเสมอประหนึ่งแผนที่ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่แรก
เมื่อเห็นว่าไม่ว่าจะรังแกหลานหมิงหมิงไปกี่ครั้งกู้เหวินซานก็ไม่เคยมองมาที่นางเลยมิหนำซ้ำยังทำท่าทางรังเกียจมากกว่าเดิม แทนที่เจียงรั่วอี้จะคิดได้และสำนึกนางกลับโกรธเกลียดหลานหมิงหมิงมากขึ้นกว่าเดิม เอาแต่โทษอีกฝ่าย คิดไปเองว่าที่กู้เหวินซานไม่มองตนเพราะหลานหมิง ถ้าไม่มีหลานหมิงหมิงกู้เหวินซานจะต้องมองนาง
นิสัยเจียงรั่วอี้คือสูตรสำเร็จของนางร้ายที่ช่วงชีวิตสุดท้ายจะต้องตายอย่างแน่นอน
และก็ใช่
ด้วยความรักแสนบิดเบี้ยวของเจียงรั่วอี้ทำให้นางตัดสินใจลงมือวางยาพิษหลานหมิงหมิงหวังให้อีกฝ่ายตาย แต่หารู้ไม่ว่านอกจากหลานหมิงหมิงจะไม่เป็นอะไรแล้ว อีกฝ่ายยังเรียกคะแนนสงสารจากผู้คนที่ได้ยินข่าวลือเรื่องนี้ไปเต็ม ๆ และหลังจากนั้นไม่นานนัก ทั้งสองตระกูลก็จับมือกันและเริ่มโจมตีตระกูลเจียง
จุดจบของนางร้ายคือถูกฆ่าตายอย่างอนาถ ครอบครัวล่มสลาย บรรดาพี่น้องร่วมสายเลือดต่างมีจุดจบไม่ค่อยดีนักทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในกากระทำของเจียงรั่วอี้ แต่เพราะเป็นครอบครัวเดียวกันจึงถูกลูกหลงจากการะทำของนาง
ตระกูลเจียงที่ได้ชื่อว่าหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ถูกลบชื่อหายออกไปดินแดนราวกับว่าไม่เคยมีตระกูลนี้ปรากฏในดินแดนแห่งนี้มาก่อน
แถมเรื่องราวสุดแสนคลาสสิกนี้ยังถูกอธิบายเอาไว้เพียงหนึ่งย่อหน้า
นั่นแสดงให้เห็นว่าอีกไม่นานตระกูลเจียงจะต้องล่มสลายและเธอที่มาอาศัยอยู่ในร่างเจียงรั่วอี้จะต้องตาย!
ไม่ได้ ! เธอจะปล่อยให้เรื่องเลวร้ายพวกนั้นเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
ถึงจะแก้ไขเรื่องวางยาไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อยหากแสดงความจริงใจออกไปมากพอไม่แน่บางทีตระกูลหลานกับตระกูลกู้อาจจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนยอมลดโทษลงให้ก็ได้
เธอต้องรีบไปแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเธอสำนึกผิดแล้วและอยากจะขอโทษเรื่องที่ทำมาทั้งหมด!
ด้วยนิสัยของนางเอกจะต้องให้อภัยเธอแน่นอน ส่วนพระเอก...พอคิดไปถึงสีหน้าถมึงทึงของกู้เหวินซานแล้วเจียงรั่วอี้ก็ได้แต่ส่ายหัว
ชายผู้นั้น...ไม่น่าจะพูดกันรู้เรื่องนะ
ต้องเป็นหลานหมิงหมิง ต้องคุยกับหลานหมิงหมิงเท่านั้น!
ไวเท่าความคิด เจียงรั่วอี้กุลีกุจอลงจากเตียงเปิดประตูออกจากห้อง
ปัง!
กวาดสายตามองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าทางสะดวก จึงรีบสับขาวิ่งไปทางประตูจวน
ชวิ้ง !!
ทวนสองเล่มประสานกันขวางไม่ให้เจียงรั่วอี้ออกไป
“หมายความว่ายังไง เก็บทวนของพวกเจ้ากลับไปและเปิดประตูให้ข้าเสีย”
ทั้งสองมองหน้ากันก่อนยิ้มขำออกมา
“เห็นทีจะไม่ได้ขอรับ พวกข้าได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสห้ามไม่ให้คุณหนูออกจากจวนขอรับ”
“ผู้อาวุโส ? ผู้อาวุโสที่ไหน”พอพูดถึงผู้อาวุโสเจียงรั่วอี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่าในตระกูลเจียงมีคนทรยศแฝงตัวอยู่!
เพราะการมีอยู่ของชายคนนี้ตระกูลเจียงจึงตกต่ำลงในเวลารวดเร็ว ! นอกจากอำนาจกดดันของสองตระกูลยังมีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ช่วยสองตระกูลนั้นทำลายตระกูลเจียง !
เธอลืมตัวละครสำคัญคนนี้ไปได้ยังไงกันนะ ถ้าไม่ใช่ว่ามีผู้อาวุโสคนนี้คอยส่งข่าวให้คนร้ายที่จ้องจะทำลายตระกูลเจียงละก็ตระกูลเจียงไม่มีทางล่มสลายในเวลาอันสั้น!
แต่เรื่องจัดการคนทรยศคนนั้นเอาไว้ก่อน เธอต้องรีบไปแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้และกอบกู้ภาพลักษณ์ที่ไม่มีเหลือแล้วของตนเองขึ้นมา เพื่อที่หลังจากนี้จะได้เคลื่อนไหวได้สะดวกหน่อย
ดีไม่ดีอาจจะช่วยขยายเวลาการตายของเธอให้นานออกไปได้อีกสักนิด
เจียงรั่วอี้ที่คิดวิเคราะห์เสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาคนทั้งสอง
“ข้าเป็นใคร ?”
ทั้งสองคนมองมาอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าถามว่าข้าคือใคร”
“ท่านคือคุณหนูสาม”
“แล้วพวกเจ้าเป็นใคร ?”
ทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครั้ง ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคนชั่วร้ายอย่างนางถามคำถามพวกนี้กับพวกเขาทำไม
“พวกข้าคือคนที่ตระกูลเจียงรับมาเป็นศิษย์”
“ใช่ พวกเจ้าเป็นเพียงศิษย์สายนอก ส่วนข้าคือบุตรสาวคนเล็กของเจ้าตระกูล !! ข้าขอถามระหว่างข้ากับเจ้าใครกันที่มีอำนาจมากกว่า!”
สองมือเท้าสะเอวเงยหน้าจ้องหน้าทั้งสอง พยายามกดดันให้พวกเขากลัว
“ถ...ถึงจะเป็นคุณหนูแต่พวกข้าได้รับคำสั่งมาจากผู้อาวุโส”
“เหอะ! ผู้อาวุโส ! ผู้อาวุโสคนนั้นใหญ่กว่าพ่อข้าหรือไง! ไปเรียกชายคนนั้นมาพบข้า ดูสิว่าข้าจะทำอะไรเขาได้หรือไม่! และข้าก็จะฟ้องท่านพ่อด้วยว่าพวกเจ้าสองคนแสดงกิริยาไม่เคารพข้า!”
ทั้งสองคนเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
ปกติเวลาคุณหนูโมโหมักจะลงมือทุบตี หากนำเรื่องไปฟ้อง พวกเขาย่อมไม่ได้รับการลงโทษ แต่ครั้งนี้แทนที่คุณหนูจะทำเหมือนทุกครั้งแต่กลับใช้คำพูดและบรรยากาศมาข่มขู่พวกเขา
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นคุณหนูที่คนในบ้านเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นบุตรสาวของผู้นำตระกูล เมื่อเทียบน้ำหนักในใจท่านผู้นำระหว่างพวกเขากับคุณหนูแล้ว ตาชั่งย่อมเอนเอียงไปทางคุณหนูมากกว่าศิษย์สายนอกอย่างพวกเขา
เจียงรั่วอี้เห็นว่าพวกเขายังคงนิ่งเฉยจึงใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด หญิงสาวยื่นมือออกมาเร็ว ๆ คว้าจับปลายทวดกระชากเข้าหาตัว
“คุณหนู!”
คิดจะดึงทวนกลับก็ไม่ทันแล้ว ปลายทวนกรีดลงบนแขนเรียวสวยเป็นทางยาวเลือดค่อย ๆ ไหลออกมา
“คราวนี้จะเปิดประตูให้ข้าได้หรือยัง”
ทั้งสองไม่กล้าทำตัวหยิ่งผยองอีก รีบเปิดประตูให้เจียงรั่วอี้เดินออกไป เมื่อคนออกไปแล้วจึงรีบหันหลังกลับเข้าไปในจวนมุ่งหน้าสู่เรือนหลังหนึ่ง
