ตอนที่ 3 ชายตัดแขนเสื้อ
เหวยหนานจัดแจงสวมอาภรณ์ของตนจนเรียบร้อย ก่อนจะเหลือบมองไปยังผ้าปูเตียงที่ยังคงรอยเลือดเล็ก ๆ ประดับอยู่ รอยนั้นคล้ายร่องรอยแห่งการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจย้อนคืน
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ความสงสัยที่กัดกินจิตใจมาทั้งคืนกลับแจ่มชัดขึ้นทันที...นางเป็นสตรีบริสุทธิ์ แล้วเหตุใดเล่า นางจึงเลือกกระทำการบ้าบิ่นเยี่ยงนี้
ด้วยความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ในห้อง เหวยหนานดึงผ้าปูเตียงผืนนั้นออกมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพับมันเป็นม้วนอย่างเรียบร้อย และซุกเก็บไว้ในสาบเสื้อของตน ราวกับสิ่งนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญที่เขายังไม่อาจปล่อยให้ใครพบเห็น
ทว่าความเงียบก็ถูกทำลายลงทันใด เมื่อเสียงเรียกดังขึ้นจากด้านนอกประตู
“พี่ใหญ่เหวย! พี่ใหญ่เหวย! ท่านอยู่ไหน!” เสียงขององค์ชายห้าดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าของผู้ที่กำลังเร่งรุดตามหา
องค์ชายห้าเพิ่งกลับมาจากการปลดทุกข์ได้ไม่นานนัก แต่กลับพบว่าพี่ใหญ่เหวยของคู่หมั้นได้หายตัวไปเสียแล้ว เขาตระเวนตามหาทั่วทั้งชั้นล่างและชั้นบน แต่ก็ไร้ร่องรอย จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องสุดท้ายที่ชั้นบนสุดของหออวิ๋นเซียง
“พี่ใหญ่เหวย! ท่านอยู่ข้างในนี้หรือไม่!” เขาร้องถามอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย
ประตูเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นเหวยหนานที่ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมไม่ต่างจากทุกครั้ง
“เจ้าไปไหนมา” เสียงของเหวยหนานแข็งกร้าวจนองค์ชายห้าเผลอก้าวถอยหลัง
คนถูกถามหน้าถอดสี รีบส่งยิ้มแห้งให้ก่อนตอบด้วยเสียงอ่อย ๆ “ข้า...ข้าปวดหนัก เลยไปปลดทุกข์เพียงครู่เดียว แต่เหตุใดเล่า ตามหาท่านไม่เจอเสียที...”
องค์ชายห้ามองหน้าเหวยหนานด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะกวาดสายตาเข้าไปในห้อง ภาพเบื้องหน้าทำให้เขาถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก ใบหน้าที่เคยร่าเริงเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
“พี่ใหญ่เหวย...นี่ท่าน…” น้ำเสียงขององค์ชายห้าแผ่วลงจนแทบจะเป็นกระซิบ คำพูดที่ค้างอยู่ในลำคอเต็มไปด้วยความตกตะลึงปนสงสัย
เขามองรอบห้องอย่างละเอียด ก่อนจะอดคิดในใจไม่ได้ว่า… หรือว่าพี่ใหญ่เหวย รองแม่ทัพผู้เกรียงไกร จะเป็นชายตัดแขนเสื้อ
นี่กระมังที่ทำให้เหวยหนานปฏิเสธเสียงแข็งทุกครั้งที่เขาชวนไปหอนางโลม ไม่ว่าจะเป็นการชมโฉมสตรีงาม หรือการเริงระบำในคืนดื่มสุรา เขากลับไม่แม้แต่จะเหลียวมอง แต่กลับยินดีพยักหน้าทันทีเมื่อเขาชวนมาหอชายงามในครั้งนี้...
เหตุใดเขาถึงเดาไม่ออกมาก่อนว่ารองแม่ทัพผู้เงียบขรึมผู้นี้ มิได้ชื่นชอบสตรี แต่กลับนิยมในบุรุษแทน... เขาถึงกับหลงหึงหวงโดยไร้เหตุผลมาเนิ่นนาน
องค์ชายห้ายืนตัวแข็งทื่อ ความคิดนับพันวนเวียนในหัวใจ เขาไม่อาจละสายตาจากพี่ใหญ่เหวยที่ยืนสงบนิ่งได้เลย ใจหนึ่งอยากถามออกไปตรง ๆ แต่อีกใจก็หวั่นเกรงคำตอบที่อาจเปลี่ยนทุกอย่างในสายตาของเขาไปตลอดกาล...
เหวยหนานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและเย็นเยียบ “เจ้าออกไปก่อน” แววตาคมปลาบของเขาฉายแววคาดเดายาก ร่างสูงยังคงยืนนิ่งในห้อง ราวกับกำลังครุ่นคิดและชั่งน้ำหนักทุกการกระทำ
เขารู้ดีว่ายังไม่ได้สำรวจห้องนี้อย่างถี่ถ้วน อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่ยังเล็ดลอดสายตาไป และเขาไม่มีวันยอมให้พลาดสิ่งสำคัญที่อาจเป็นเบาะแสของสตรีลึกลับผู้นั้น
องค์ชายห้าเห็นเช่นนั้น จึงถอยหลังก้าวหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก “อ้อ...ได้ เช่นนั้นข้าจะรอท่านที่รถม้าก็แล้วกัน” น้ำเสียงของเขาเจือความเสียดาย ราวกับยังอยากอยู่สำรวจความลับในห้องนี้ต่อ แต่ก็เกรงใจพี่ใหญ่เหวย
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังขององค์ชายห้าที่เดินออกไป ก่อนจะเอ่ยคำพูดสั้น ๆ แต่เต็มไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้ามีขา กลับเองได้! เจ้าไม่ต้องลำบาก”
คำพูดนั้นทำให้องค์ชายห้าหันมามองอย่างประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไร้เยื่อใยของรองแม่ทัพเหวย เขาก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ แล้วเดินออกไปโดยไม่ถามอะไรอีก
ประตูปิดลง ทิ้งเหวยหนานไว้กับความเงียบสงัดในห้องเพียงลำพัง เขาสูดลมหายใจลึก ราวกับต้องการกดข่มความขุ่นเคืองที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจ ความอัปยศที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะไม่มีวันหลุดรอดไปถึงหูผู้อื่นได้เด็ดขาด
ถูกสตรีนางหนึ่งย่ำยี... เขาไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ความอับอายที่กัดกร่อนจิตใจเป็นสิ่งที่เขาต้องกำจัดออกไป พร้อมกับเงื่อนงำของนางที่เขาจะต้องคลี่คลายให้ได้
สายตาคมปลาบของเขากวาดมองไปรอบห้องอีกครั้ง ราวกับเจ้าเวหาเพ่งมองเหยื่อบนผืนดินอันไกลโพ้น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นที่เข้มข้นขึ้นทุกขณะ หัวใจของเขาเต้นแรง ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความกระหายที่อยากจะล่วงรู้... อยากจะไขปริศนา และนำศักดิ์ศรีที่ถูกย่ำยีกลับคืนมา
ความเงียบงันในห้องนี้กลับยิ่งเพิ่มแรงกดดัน เหวยหนานเดินสำรวจทุกซอกทุกมุมราวกับนายพรานผู้ระแวดระวัง สิ่งเล็กน้อยที่อาจหลุดรอดสายตาในค่ำคืนอันเร่าร้อน ต้องถูกนำมาปะติดปะต่อเพื่อคลี่คลายปริศนาของสตรีลึกลับนางนั้น
เขาก้มตัวลงใต้เตียง ดวงตาคมหยุดนิ่งเมื่อสะดุดเข้ากับวัตถุบางอย่างที่สะท้อนแสงเพียงเล็กน้อย มันคือป้ายหยกเนื้อดี แกะสลักลวดลายอ่อนช้อย
คาดว่าเป็นของสำคัญที่นางทำหล่นไว้ในขณะที่เขาค่อย ๆ เปลื้องอาภรณ์ออกจากเรือนร่างของนาง ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึกขณะหยิบมันขึ้นมา แต่ลึกลงไปในใจกลับเต็มไปด้วยความกระหายที่จะล่วงรู้
ไม่ทันไร เขาเหลือบเห็นผ้าเช็ดหน้าปักลายผีเสื้อที่พับไว้อย่างบรรจง ราวกับเจ้าของต้องการทิ้งร่องรอยไว้โดยไม่รู้ตัว เขาหยิบมันขึ้นมาพินิจพลางสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ซึ่งแผ่ออกมา กลิ่นนี้...ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก กลิ่นเครื่องหอมที่มาจากร้านสกุลหม่า
สายตาของเขาเพ่งมองลวดลายปักด้ายสีชมพูอ่อนซึ่งแฝงความประณีต ตัวอักษร “หลี่” ที่ถูกปักไว้บนนั้นกระตุ้นความสนใจของเขาให้ทวีขึ้น สกุลหลี่หรือ... ช่างน่าสนใจนัก เขาแสยะยิ้มเย็น ดวงตาเปล่งประกายคล้ายปีศาจร้ายที่กำลังวางแผนล่าเหยื่อ
สตรีนางนั้น... นางจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำ การกระทำอันบ้าบิ่นและหาญกล้าของนาง ท่าทีที่เหยียดหยามเขา ราวกับเป็นเพียงชายบำเรอปรนเปรอความสุขจนอิ่มหนำสุดท้ายจึงจากไป ทิ้งถุงเงินเอาไว้ตอกย้ำจนเขาไม่อาจเอ่ยถ้อยคำใดปฏิเสธได้
ความเจ็บปวดผสมผสานกับความเคียดแค้น ร่างสูงยืนนิ่ง มือกำป้ายหยกและผ้าเช็ดหน้าแน่น ดวงตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความมุ่งมั่นราวกับนายพรานที่กำลังลับคมอาวุธ นางต้องชดใช้... และเขาจะเป็นผู้ตัดสินลงทัณฑ์ด้วยมือตนเอง!