บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 หลี่อวี้เหยา

ค่ำคืนอันเวิ้งว้างไร้แสงดาวประดับฟ้า ความมืดมิดปกคลุมทั่วทุกอาณาบริเวณ รถม้าขององค์ชายห้ากลิ้งล้อบดผ่านทางอย่างแผ่วเบา เสียงฝีเท้าม้าดังก้องในความเงียบงันราวกับเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในรัตติกาลนี้

ในใจขององค์ชายห้า กลับไม่สงบเงียบดังบรรยากาศรอบกาย เขานั่งนิ่งในรถม้า ทว่าในใจกลับรุ่มร้อนด้วยความคิดถึงและอาวรณ์ ห้วงคำนึงนั้นเต็มไปด้วยภาพของกุ้ยหนิงจวิ้นจู่ สตรีผู้เขายึดถือมั่นในหัวใจ นางคือน้องน้อยที่เขาเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี

เมื่อรถม้าหยุดลงตรงหน้าตำหนักของหย่งหมิง องค์ชายห้าเลือกที่จะลงมายืนใต้ท้องฟ้ามืดมิด ดวงตาของเขาทอดมองไปยังตำหนักด้วยความโหยหา หากแต่ยังมีความลังเลอยู่ในใจ แสงโคมที่ปลิวไหวจากสายลมยามค่ำคืนยิ่งทำให้บรรยากาศแลดูวังเวงและเปล่าเปลี่ยวมากขึ้น

ในยามนี้ หัวใจของเขามีความปรารถนาอยากจะได้พบหน้านาง เพียงแค่ได้เห็นใบหน้า ได้พูดคุยสักคำสองคำ ความเหนื่อยล้าทั้งหมดคงมลายหายไปในชั่วพริบตา

ทว่าเขากลับไม่อาจก้าวไปเคาะประตูตำหนักได้ง่ายดายนัก ด้วยความกังวลว่าความดึกดื่นในคืนนี้ อาจทำให้ท่านอาและท่านอาสะใภ้อาจไม่พอใจก็เป็นไปได้ มิหนำซ้ำยังเขาชักชวนพี่ใหญ่เหวยไปหอชายงามอีกต่างหาก

เขายืนทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านเบา ๆ ปลายเสื้อคลุมของเขาปลิวไหวไปตามท่วงทำนองของสายลมพัดเอื่อย “องค์ชาย ดึกมากแล้ว เสด็จกลับเถิดพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงนุ่มนวลทว่าแฝงความเด็ดขาดดังขึ้นจากเบื้องหลัง

เย่วหาน ชายผู้นี้คือผู้ติดตามคนสนิทขององค์ชายห้า เขาก้าวออกจากเงามืด เสมือนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับความเงียบงันรอบกาย

“เจ้าว่าข้าควรเข้าไปหรือไม่” องค์ชายเอ่ยถามเสียงเบา ความกังวลฉายชัดบนดวงตาคมกริบของผู้เอ่ยถาม ถึงแม้จะรู้คำตอบในใจอยู่บ้างแล้ว

องครักษ์หนุ่มยื่นมือประสานมือคารวะ “กระหม่อมเห็นว่าเวลานี้ดึกเกินไป หากองค์ชายเสด็จเข้าไป ท่านอ๋องกับหวางเฟยคงไม่พอพระทัย...” เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “แต่หากพระองค์ทรงปรารถนา กระหม่อมก็จะตามเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายห้าพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนใบหน้า แม้จะซ่อนความเสียดายไว้ลึก ๆ “ไม่ต้องหรอก เย่วหาน ข้าจะกลับตำหนัก คืนนี้อย่าได้รบกวนนางเลย”

ทางด้านรองแม่ทัพเหวยหนาน ชายหนุ่มผู้มากด้วยฝีมือและไหวพริบ ยามนี้เขาใช้ความชำนาญอย่างเต็มเปี่ยมจนมาถึงจวนสกุลหลี่ในยามค่ำคืน ทว่าทันทีที่มาถึงกลับไม่พบสตรีที่

เขาปรารถนาจะเผชิญหน้า ความมืดมิดรอบจวนมิได้ขัดขวางสายตาที่เฉียบคม เขากวาดตามองไปรอบด้าน พบเรือนใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหน้า โดยมีเรือนหลังเล็กกระจายอยู่ทั้งปีกซ้ายและขวา

เหวยหนานนั่งเท้าคางอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทอดสายตา มองการเคลื่อนไหวภายในจวนอย่างพินิจพิเคราะห์ แสงไฟจากโคมที่แกว่งไกวตามสายลมพลิ้วไหว ราวกับกำลังสะท้อนความว้าวุ่นในใจเขา ทันใดนั้นเอง เสียงเอะอะดังขึ้นจากเรือนใหญ่เบื้องหน้า ทำให้เขาต้องละสายตาและเพ่งมองเข้าไป

ในเรือนนั้น เขาพบเห็นใต้เท้าหลี่ ขุนนาง...ของกรมอาลักษณ์ นั่งทอดถอนใจหนักอึ้ง ข้างกายนั้นมีฮูหยินผู้เป็นภรรยา และสตรีร่างแน่งน้อยอีกสี่คน ซึ่งล้วนเป็นบุตรสาวของบ้านนี้ เหวยหนานจ้องมองพินิจบุตรสาวแต่ละคน พลางครุ่นคิดว่าสตรีผู้ใดกันแน่ที่บังอาจปีนเตียงของเขาเมื่อคืน

จู่ ๆ เสียงแจกันหยกตกกระแทกพื้นดังสนั่นขัดจังหวะความคิด เสียงตะคอกอันดังลั่นจากใต้เท้าหลี่ทำให้บรรยากาศในเรือนเต็มไปด้วยความตึงเครียด “ข้าจะทำอย่างไร! จะทำอย่างไร!” เขาตะเบ็งเสียงพลางชี้หน้าบุตรสาวทั้งสี่คนด้วยความโกรธจัด

สายตาคมของเหวยหนานจับจ้องไปยังบุตรสาวลำดับที่สาม นางเป็นผู้เดียวที่ดูหวั่นไหวกว่าใคร เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้นได้ยินเสียงหลี่จ้งตวาดลั่น “นางบังอาจกล่าวว่าถูกพรากความบริสุทธิ์ไปแล้วตั้งแต่อยู่เรือนนอก! พวกเจ้าจะให้ข้าทำเช่นไร นี่มันทำลายชื่อเสียงสกุลหลี่!”

สวีฮูหยินรีบเข้ามาปลอบประโลมสามี พลางเอ่ยเสียงร้อนรน “ท่านพี่ อย่างไรก็ต้องให้นางแต่งออกไปนะเจ้าคะ!” น้ำเสียงของนางสะท้อนถึงความกังวลใจอย่างถึงที่สุด ไม่คาดคิดว่าบุตรสาวของลู่เหมยจะกล้าก่อเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้

เหวยหนานยังคงหลบซ่อนตัวในเงามืด ดวงตาคมกริบราวจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวในเรือนใหญ่ คล้ายจะกลืนกินภาพเบื้องหน้าอย่างไม่ให้คลาดสายตา เสียงสนทนาภายในเรือนยังคงดังต่อเนื่อง ประหนึ่งคลื่นที่กระทบฝั่งไม่รู้จบ

สวีฮูหยินประคองบุตรสาวทั้งหลายให้ลุกขึ้นจากพื้น ทว่าความแตกต่างระหว่างพวกนางนั้นมิอาจรอดพ้นสายตาของเหวยหนานได้ ดวงตาคมกริบของเขาหยุดลงที่คุณหนูผู้สวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน นางมิได้ต่างจากพี่น้องในเรือน แต่บางสิ่งบางอย่างในท่วงท่าของนางกลับทำให้เขามั่นใจ คุณหนูสามผู้นี้ต้องเป็นสตรีที่กล้าบังอาจล่วงเกินเขา ล้วงคอมัจจุราชโดยปราศจากความเกรงกลัว

เขายังคงเฝ้ามองจากมุมมืดอย่างสงบนิ่ง แต่ในใจนั้นปั่นป่วนด้วยความคาดการณ์และความกราดเกรี้ยว ดวงตาแหลมคมนั้นสะท้อนความดื้อรั้นที่ฉายชัดในท่าทีของสตรีอีกคน

คุณหนูรองหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างท้าทาย คำพูดของนางแฝงไว้ด้วยความแค้นเคือง “ท่านพ่อ! เหตุใดต้องเป็นข้าเล่า ข้าก็มิใช่ลูกของท่านหรือไร เดิมทีข้าอยู่เรือนนอกอย่างสงบสุข แต่เพราะแม่ใหญ่ส่งจดหมายให้ข้ากลับมา หากข้ารู้ว่ากลับมาแล้วต้องพบกับความลำเอียงเยี่ยงนี้ ข้ายอมอดตายอยู่ที่นั่นเสียยังจะดีกว่า!”

เสียงของนางดังกังวานกลางเรือน ราวกับจุดไฟให้ความตึงเครียดลุกโชนขึ้นอีกครั้ง คุณหนูสามที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ รีบดึงปลายแขนเสื้อพี่รอง พร้อมกับกระซิบเสียงเบา “พี่รอง! พูดอะไรออกมาน่ะ!” นางส่งสายตาตำหนิ แต่ดูเหมือนความดื้อรั้นและความน้อยเนื้อต่ำใจของพี่รองจะมิอาจถูกดับลงได้ง่าย ๆ

หญิงสาวสะบัดมือออกอย่างไม่ไยดี ท่าทางไร้ความสนใจแม้จะเป็นน้องสาวของตนเอง “พี่ใหญ่มีคู่หมั้นแล้ว ข้าถูกส่งไปอยู่เรือนนอกตั้งแต่สิบขวบ น้องสามก็มีสัญญาหมั้นหมายกับคนผู้นั้น...น้องสี่ยังเด็ก ข้าพอเข้าใจ แต่สำหรับน้องห้ามิต้องพูดถึงเลยเสียด้วยซ้ำ”

หลี่อวี้เหยายืนกรานด้วยความมั่นคง น้ำเสียงหนักแน่นและปราศจากความลังเล “คนผู้นั้นมีฮูหยินรายล้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไร ทุกคนในบ้านคงคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะส่งลูกสาวไปเป็นอนุคนที่แปด หรือแม้แต่แต่งเป็นฮูหยินแปดกันอย่างนั้นเหรอ

ถึงเขาจะพูดว่าแต่งให้เป็นฮูหยินแปด แต่จริงๆ แล้วมันก็คือการเป็นแค่อนุคนหนึ่งต่างหาก! ข้าไม่แต่ง! ถึงอย่างไรข้าก็จะไม่มีวันยอมแต่งเป็นฮูหยินแปดของใครทั้งนั้น!” นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ไม่แสดงความสั่นคลอนแม้แต่น้อย

“หากท่านพ่อจะตีข้าจนตายเสียตรงนี้ ข้าก็ยินดี แต่ข้าจะไม่มีวันยอมแต่งเป็นฮูหยินแปดอย่างแน่นอน!” คำพูดนั้นออกจากปากด้วยความมุ่งมั่นไร้ความหวั่นกลัว แม้จะเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้นหลี่อวี้เหยาไม่ยอมรับชะตากรรมเช่นนี้

หลี่อวี้หรูซึ่งอายุมากกว่าจากน้องสาวคนที่สองเพียงไม่กี่เดือน นางยืนอยู่ฝ่ายหลี่อวี้เหยาอย่างไม่ย่อท้อ แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความกังวล

แต่นางก็พยายามช่วยน้องสาวสุดชีวิต หวังว่าท่านพ่อจะตระหนักได้ถึงการกระทำที่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ท่านพ่อ... น้องรองลำบากมาตั้งหลายปี กว่าจะกลับมาที่จวนคราวนี้ ท่านก็จะให้นางแต่งออกเรือนไปเสียแล้วหรือ

จริงอยู่ที่สัญญาหมั้นกับสกุลจ้าวนั้นเป็นแม่ใหญ่ตกปากรับคำไว้ แต่ท่านพ่อก็ไม่อาจให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้นะเจ้าคะ ท่านพ่อเคยให้คำมั่นสัญญาอันใดไว้ยังจำมันได้อยู่หรือไม่ ท่านพ่อบอกว่าจะดูแลพวกเราสองพี่น้องเป็นอย่างดี แต่เหตุใดวันนี้ท่านพ่อจึงกลับคำเสียเล่า” นางอธิบายออกมาด้วยเสียงอัดอั้น แฝงความรู้สึกผิดและความเครียดจากความขัดแย้งในครอบครัว

พวกนางเติบโตมาด้วยกันถึงแม้จะต่างมารดา ทว่าความทรงจำเมื่อเยาว์วัยนั้นมิเคยเสื่อมมลายไปตามกาลเวลาได้เลย ทว่าทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่บิดาตกแต่งฮูหยินสามเข้ามา

และความปั่นป่วนภายในจวนเริ่มก่อตัวขึ้น มารดาของพวกนางก็จากไปอย่างรวดเร็ว ท่านพ่อยกฮูหยินสามเป็นฮูหยินเอก และยังรับอนุคนใหม่เข้ามาในครอบครัวอีกคน

กระทั่งเกิดบุตรีคนใหม่ในบ้าน หากแต่วันนี้น้องสาวของนางมิได้รับความเป็นธรรม และนางเองก็โตพอที่จะปกป้องน้องรองได้แล้ว วันนี้นางยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ให้อวี้เหยาแต่งกับคุณชายจ้าวเด็ดขาด

หลี่อวี้เหยาไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ต่อความไม่เป็นธรรม นางยืนหยัดและไม่ยอมก้มหัวให้กับโชคชะตา แม้ในวันนี้ นางก็ยอมที่จะเปิดปากพูดสิ่งที่คับแค้นใจมาตลอดกาล โดยที่ไม่หวาดหวั่น “หากท่านพ่ออยากให้แต่งนักละก็ ท่านก็แต่งเองเสียสิเจ้าคะ”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel