บทที่ 2 ข้าจะแต่งงานกับคนที่ข้ารักเท่านั้น
ตอนที่ ๒
ข้าจะแต่งกับคนที่ข้ารักเท่านั้น
-จวนตะกูลเหยา-
“ได้ข่าวว่าคุณชายตะระกูลโจ่วกลับจากรบแล้วนะเจ้าคะ” หย่างจื่อ เอ่ยขึ้นขณะที่ครอบครัวกำลังทานอาหารเช้า
“สหายโจ่วกลับมาแล้วหรอเนี่ย เห็นที่ข้าต้องไปชวนร่ำสุราเสียหน่อยแล้ว” เหยา เติ้งเหว่ยบุตรชายคนโตของบ้านเอ่ยขึ้น ก่อนจะคบเป็ดอีบน้ำผึ้งเข้าปาก เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลเหยา ตระกูลที่มีกิจการค้าขายหลายอย่าง เขาเป็นคนดูแลร้านเครื่องเงินเครื่องทองของบ้าน ส่วน เหยาหวังห่งอี้ลูกชายคนรองดูแลร้านขายผ้า และเหยาฟางเสี่ยวตงบุตรชายคนที่สามดูแลเรื่องไร่นาสินค้าเกษตร และ เหยาเหม่ยเหม่ย ลูกสาวคนเล็ก คุณหนูของบ้าน ช่วยจัดสรรค์ทำบัญชีอยู่ในบ้านเพียงเท่านั้น
“ท่านพี่เป็นพ่อค้าขายเครื่องเงิน ทำไมถึงไปรู้จักกับแม่ทัพนักรบได้ล่ะ” เหยาฟางเสี่ยวตงเอ่ยขึ้น บ้านของพวกเขาทำการค้า ไม่ได้มีใครทำงานไปทางทหารเลยสักคน ใยพี่ชายคนโตของเขาถึงมีเพื่อนเป็นถึงแม่ทัพได้นะ
“ข้าก็ต้องมีเส้นสายของข้าบ้าง การผูกมิตรกับเหล่าแม่ทัพ นายทหารใหญ่ล้วนเป็นเรื่องดี” เหยา เติ้งเหว่ยเอ่ยอธิบาย พี่น้องต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย
“เหม่ยเหม่ย” เสียงเข้มของประมุขของบ้านดังขึ้น จ่างเหว่ยซื่อเรียกบุตรสาวที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่ถูกหยิบยกมาสนทนาบนโต๊ะอาหารสักนิด
“เจ้าคะท่านพ่อ” เหยาเหม่ยเหม่ยวางตะเกียบลง พร้อมกับตั้งใจฟังสิ่งที่บิดาของตนจะพูด
“พ่อว่าลูกชายตระกูลโจ่วก็ไม่เลวนะ อายุก็ยังน้อย แล้วยังได้เป็นถึงแม่ทัพนำทัพออกศึก เอาชัยชนะกลับบ้านเมืองมาตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะเหม่ยเหม่ย” ปีนี้บุตรสาวคนเล็กของเขาอายุเข้ายี่สิบสามปีเต็มแล้ว ซึ่งถือว่าเลยวัยออกเรือนมานานโข แต่หญิงสาวก็บ่ายเบี่ยงมาได้โดยตลอด นัดดูตัวกี่ครั้งนางก็จะหาทางหลบหลีกได้เสมอ จนเขาและหยางจื่อ เหนื่อยใจ
“ข้าไม่คิดอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าเคยบอกท่านพ่อกับท่านแม่แล้วว่าข้าจะแต่งงานกับคนที่ข้ารักเท่านั้น” เหยาเหม่ยเหม่ยตอบคำถามเหมือนทุกครั้งที่พ่อแม่ของนางพยายามจับคู่ให้
“คนที่เจ้ารัก ใครหรอกรึ สมุดบัญชีหรือหนังสือที่เจ้าก้มหน้าก้มตาอ่านทุกวัน” เหยาฟางเสี่ยวตงเอ่ยขึ้น อดยิ้มเยาะน้องสาวไม่ได้ เขาและเหยาเหม่ยเหม่ย อายุห่างกัเพียงปีเดียว จึงเปรียบเสมือนเพื่อนกัน และเหยาเหม่ยเหม่ยก็แทบจะไม่เคยเคารพเขาเลย ยกเว้นเวลาอยู่ต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น
“หากท่านพี่ฟางเสี่ยวตงรีบร้อนนัก ทำไมเจ้าถึงไม่แต่งก่อนข้าล่ะ ตัวเจ้าเองก็ยังครองตัวเป็นโสดไม่ใช่หรือไง” เห็นไหมล่ะ ผิดจากที่เขาคิดเสียเมื่อไหร่ เหยาเหม่ยเหม่ยไม่เคารพเขาสักนิด ขนาดอยู่ต่อหน้าท่านพ่อกับท่านแม่ นางยังยอกย้อนได้เจ็บแสบขนาดนี้
“เหม่ยเหม่ย!!!”
“เหม่ยเหม่ยพูดก็ถูกต้องนะฟางเสี่ยวตง เจ้าเป็นพี่จะให้น้องแต่งออกเรือนก่อนคงไม่เหมาะสมนัก หย่างจื่อ เจ้าลองหาคุณหนูสักตระกูลให้ฟางเสี่ยวตงดูตัวเสียหน่อย อย่าช้านักล่ะ เดี๋ยยวเหม่ยเหม่ยจะขึ้นคานเสียก่อน” จ่างเหว่ยซื่อเห็นด้วยกับสิ่งที่เหยาเหม่ยเหม่ยพูด จึงหันไปกำชับหย่างจื่อภรรยาให้จัดการหาคู่ครองให้บุตรชายคนที่สามเสียก่อน
“แต่ท่านพ่อ ข้ายังไม่พร้อมจะออกเรือนนะ” เหยาฟางเสี่ยงตงโวยวาย เขาไม่น่าพูดแทรกขึ้นมาเลย แทนที่เหยาเหม่ยเหม่ยจะเป็นคนถูกกดดดันให้ออกเรือน กลับต้องกลายมาเป็นเขาแทน
“เพราะเจ้า เหม่ยเหม่ย” เหยาฟางเสี่ยวตงกัดฟันกรอดใส่น้องสาวตัวแสบของเขา เขาไม่เคยชนะเหยาเหม่ยเหม่ยเลยสักครั้ง นี่เขาเป็นพี่นางนะ ซ้ำยังเกิดก่อนนางตั้งหนึ่งปี
เหยาฟางเสี่ยวตงมองใบหน้าสวยที่ยิ้มเยาะเค้า มุมปากบางนั้นยกขึ้นราวกับว่ากำลังแสดงชัยชนะ
"เจ้าทั้งคู่ไม่ต้องทะเลาะกัน รีบกินข้าวเสียจะได้แยกย้ายกันไปทำงาน" จ่างเหว่ยซื่อเอ่ยขึ้นเมื่อเริ่มสังเกตเห็นพี่น้องเริ่มจะทะเลาะกันเสียแล้ว
"ส่วนเจ้าเหม่ยเหม่ย ถือว่าครั้งนี้พ่อขอ เจ้าอย่าล้มพิธีดูตัวครั้งนี้อีกเลย เห็นแก่หน้าพ่อกับแม่บ้าง อย่างน้อยก็นึกถึงสัจจะวาจาที่พ่อกับตระกูลโจ่วเคยให้คำสัญญาเสียหน่อยเถอะ" เขาพูดจนหน่ายใจ จนตอนนี้เขาต้องลงทุนขอร้องเหยาเหม่ยเหม่ยแล้ว
"ข้าก็เห็นหน้าท่านพ่อท่านแม่อยู่ทุกวัน ทำไมข้าจะไม่เห็น ส่วนสัญญาที่ท่านพ่อให้ไว้กับตระกูลโจ่ว ท่านพ่อเป็นคนสัญญา ท่านพ่อก็แต่งเข้าตระกูลโจ่วเสียเองเลยสิเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นให้ท่าแม่แต่งเข้าแทนก็ได้ ข้าไปล่ะ มีงานบัญชีที่รอข้าสะสางอีกเยอะ" พูดจบร่างบางของเหยาเหม่ยเหม่ยก็ลุกขึ้นวิ่งแนบหายไปทันที ใครจะอยู่กินข้าวต่อก็อยู่ไปเถอะ แต่เหยาเหม่ยเหม่ยอยู่ไม่ได้แล้ว ก็พูดเสียขนาดนั้นท่านพ่อกับท่านแม่คงจะโกรธมิใช่น้อย แล้วนางผิดอะไรล่ะ คนสัญญาก็ไม่ใช่นางทำไมนางต้องมารับผิดชอบคำสัญญาเหล่านี้ด้วยล่ะ สัญญาเองก็แต่งเองไปเลยสิ
"เหม่ยเหม่ย เจ้าลูกคนนี้นี่ ไวอย่างกับลิงลมเสียจริง" จ่างเหว่ยซื้อถอนหายใจ เขาไม่เคยทันเล่ห์เหลี่ยมของนางเลยสักครั้ง ไม่รู้นางไปฝึกความเจ้าเล่ห์นี้มาจากไหน จากแรกๆที่โมโหจนตอนนี้เขาชินชาเสียแล้ว
