ตอนที่สี่ น้ำใจงาม
ตอนที่สี่ น้ำใจงาม
ชายซึ่งมึนเมาเต็มที่ก้าวเข้ามาด้วยท่าทางคุกคามทำให้ซุนเหนียงรีบขยับเข้ามาขวางแต่กลับโดนโยนออกไปกระแทกประตูจนล้มลง
“โอ๊ย!”
หลิวไฉ่หงเห็นว่าชาวบ้านโผล่หน้ามาบ้างแล้วจึงรีบถอยหลังแล้วตะโกนเสียงดังต่อเพื่อเป็นการข่มขู่
“กล้าทำร้ายคนหรือ? พวกเราเป็นคนของนายอำเภอ ข้าเห็นว่าเด็กตัวเล็กแค่นี้เหตุใดจึงมีแต่รอยช้ำไปทั้งตัวจึงตามมาดู
ไม่คิดว่าคนที่ทำร้ายนางจะเป็นพ่อเลี้ยงใจร้ายไร้ความเป็นคน นางเพิ่งตัวแค่นี้ เหตุใดเจ้าจึงลงไม้ลงมือรุนแรงเยี่ยงนี้”
แม้จะได้ยินคำว่านายอำเภอ แต่ความมึนเมาทำให้ยังไร้สติ บิดาเลี้ยงผู้นั้นจึงยืนโต้เถียงอย่างไม่เกรงกลัว
“ข้าเป็นบิดาจะตีสั่งสอนบุตรบ้างย่อมไม่ผิด เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย อย่าได้มาแกว่งเท้ายุ่งเรื่องของผู้อื่น”
“เกี่ยวสิ นางไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ตีนางจนปางตายเช่นนี้”
จบประโยคนี้คำซุบซิบนินทาก็ดังออกมาจากด้านข้างทันที
“นั่นสิ น่าสงสารจริงๆ ถูกพ่อเลี้ยงทุบตีทุกวัน คนเป็นแม่ก็เอาแต่นิ่งเฉย เกรงแต่ผัวจะทิ้งหนีหาย”
“ผัวเช่นนี้จะเก็บไว้เพื่ออันใด ไร้ประโยชน์ยิ่งนัก”
เมื่อมีผู้สนับสนุน หลิวไฉ่หงจึงได้ใจย่างสามขุมเข้าไปพลางข่มขู่เสียงดังยิ่งขึ้น
“ขืนเจ้าตีนางอีก ข้าจะฟ้องให้นายอำเภอจับตัวไปสั่งสอนให้เข็ด”
ด้วยคิดว่าประโยคนี้จะทำให้ผู้เป็นบิดาเลี้ยงหวาดกลัวจนไม่กล้าลงมืออีก แต่นางดูแคลนชายมึนเมาเกินไปแล้ว
“คิดจะแจ้งความจับข้าหรือ วอนเสียแล้ว”
ด้วยฤทธิ์สุราทำให้เขาใจกล้าปราดเข้ามาคิดลงมือกับสตรีที่จุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง
“ว้าย!...” ทันทีที่เห็นเท้าลอยมาใกล้ใบหน้า หลิวไฉ่หงจึงใจหายวาบรีบถอยหลบด้วยสัญชาตญาณ
กระทั่งซุนเหนียงก้าวเข้ามาดึงให้ไปหลบอยู่ข้างประตูจึงเพิ่งเห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่กำลังเตะเข้าที่ชายโครงของบิดาเลี้ยงของเด็กหญิงผู้นั้นแล้วปราดจับแขนไขว้ไปด้านหลังทีละข้างจนเขาได้แต่ดิ้นรนโวยวาย
“ปล่อยข้านะ ข้าไม่ได้ทำผิดสิ่งใด”
เสียงโวยวายดังลั่นเรียกให้ภรรยาซึ่งเป็นแม่ของเด็กหญิงวิ่งเข้ามาจากด้านนอก ทันทีที่เห็นสามีของตนเองถูกจับตัวไว้จึงร้องโวยวายออกมาไม่ต่างกัน
“ปล่อยสามีของข้านะ เหตุใดจึงจับตัวเขาไว้”
สายตาของชายแปลกหน้ามองมาทางหลิวไฉ่หงเป็นเชิงถามว่านางจะเอาอย่างไร
หญิงสาวเข้าใจว่าเขาคงเป็นลูกน้องของบิดาจึงรีบตะโกนบอกให้พาตัวไปยังที่ว่าการอำเภอ
จากนั้นขบวนชาวบ้านซึ่งประกอบด้วยหลิวไฉ่หงซึ่งประคองเด็กหญิงให้เดินไปด้วยกันขนาบข้างด้วยซุนเหนียงและอาหลานจึงเดินนำหน้า
ตามมาด้วยสองผัวเมียซึ่งฝ่ายชายยังโดนจับแขนเอาไว้ไม่ให้วิ่งหนีและฝ่ายหญิงเอาแต่โวยวายด่าทอไม่ได้หยุด ทั้งด่าว่าหญิงสาวที่ตามมาสร้างเรื่องยุ่งยาก และด่าทอบุตรสาวของตนเอง
ปิดท้ายด้วยชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงซึ่งอยากรู้อยากเห็นและชาวบ้านข้างทางซึ่งเห็นขบวนคนแล้วเกิดอยากสอดรู้ขึ้นมาบ้าง
เมื่อถึงที่ว่าการอำเภออันเป็นที่ทำงานของบิดา หลิวไฉ่หงจึงแจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่อย่างฉะฉาน ขณะบิดาถูกตามตัวให้เร่งเข้ามาจัดการ
สภาพของเด็กหญิงตัวเล็กผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ผิวแห้งแตก ปากแห้งผาก ตาลึกโหล มีรอยฟกช้ำทั้งเขียวทั้งม่วงตามใบหน้า แขน ขาและลำตัว ยิ่งมองยิ่งน่าเวทนานัก
ยังดีที่ไม่มีแผลใดมีเลือดออกหรือมีร่องรอยของการซี่โครงหักหรือกระดูกแขนขาแตกร้าว
หลิวไฉ่หงซึ่งช่วยกันกับซุนเหนียงสำรวจร่างเล็กที่มองสบดวงตาหวาดกลัวและสะดุ้งทุกคราเมื่อมีคนเข้าใกล้หรือพูดเสียงดังพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ไม่ว่าจะซักถามเรื่องใด เด็กหญิงล้วนก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดจา
สุดท้ายหลิวไฉ่หงจึงนำตัวนางมาใกล้ๆแล้วคอยปลอบประโลมจนเริ่มนางเอ่ยเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน
ผิดกับสองผัวเมียที่เอาแต่เอะอะโวยวายจนนายอำเภอต้องสั่งให้เจ้าหน้าที่สั่งสอนพอหอมปากหอมคอ
หลังการไต่สวนซึ่งวุ่นวายพอสมควร หลิวไฉ่หงซึ่งอาศัยการถามดักทางกลับไปกลับมา จนสุดท้ายผัวเมียคู่นั้นก็จนมุมยอมสารภาพว่าทุบตีเด็กหญิงอยู่เสมอ
แม้จะยอมรับแต่พวกเขากลับไม่สลดและอ้างว่าการที่พ่อแม่สั่งสอนลูกย่อมไม่ใช่ความผิด
