ตอนที่สาม ช่างใส่ใจ
ตอนที่สาม
ช่างใส่ใจ
ได้ยินคำกล่าวหาร้ายแรง อีกฝ่ายจึงโต้เถียงทันควัน
“ไหนเลยจะทำเช่นนั้นเล่า วันวันข้าคลุกอยู่แต่กับเจ้า จะมีชายคนใหม่ได้อย่างไร”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องตัดสัมพันธ์เร็วเพียงนี้”
“นั่นสิ นั่นสิ”
เสียงพยักพเยิดของชาวบ้านสร้างบรรยากาศการมุงดูจนเริ่มแน่นขนัด
“ข้าเพียงคิดว่ายิ่งเร็วก็ยิ่งไม่เสียโอกาส”
“ไม่จริง”
ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างยกเหตุผลของตนเองท่ามกลางการสนับสนุนและคล้อยตามของกลุ่มชาวบ้านที่ขยายวงกว้างมากขึ้นจนแทบปิดเส้นทางเดินถนน
หลิวไฉ่หงรับฟังอย่างคึกคักด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมเมื่อสัมผัสบรรยากาศการเป็นชาวบ้านหนึ่งชาวบ้านสองอย่างที่คุ้นเคย
เพียงแต่การเป็นสตรีในยุคนี้อาจไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้เช่นที่เธอเคยใช้ชีวิตมาก่อน
หลังจากกำลังครุ่นคิดตามเพื่อจะได้เข้าข้างได้ถูกฝ่าย จู่ๆ ฝ่ายหญิงซึ่งโต้เถียงก็เกิดเป็นลมล้มฟุบไปพาให้ฝ่ายชายต้องเข้าอุ้มประคองประคบประหงมเฝ้าดูแลอย่างห่วงใย
“พวกเจ้ากระจายออกไปหน่อย อย่ามัวแต่มุงเข้ามา”
ไม่ว่าจะตะโกนบอกอย่างไร ฝูงชนก็ยังคงเหนียวแน่นไม่ยอมหลีกหนีรวมทั้งหลิวไฉ่หง
เมื่อฝ่ายหญิงฟื้นขึ้นมา จากโต้เถียงดุเดือดกลับกลายเป็นพูดจาแผ่วเบากระซิบกระซาบ
ชาวบ้านต่างพยายามเงี่ยหูฟังว่าพวกเขาคุยเรื่องใดกัน ส่วนคนที่อยู่ห่างก็อาศัยการคาดเดา
แต่ที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ จู่ๆ คนทั้งคู่ก็จับมือคืนดีแล้วโอบประคองตระกองกอดกระจุ๋งกระจิ๋งพากันเดินกลับบ้าน ทิ้งชาวบ้านด้านหลังให้อ้าปากค้างออกอาการเหวอรวมทั้งหลิวไฉ่หง
อ้าว!...แบบนี้ก็ต้องหาอาหารสุนัขมากินแทนข้าวเย็นแล้ว ใช่หรือไม่?
หลิวไฉ่หงยืนงงท่ามกลางดงชาวบ้านกระทั่งอาหลานฉุดมือให้ออกห่างมา
“เรื่องผัวเมียพวกเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวนะเจ้าคะ” ซุนเหนียงรีบเอ่ยพลางจูงมือคุณหนูของตนเองเพื่อเลือกซื้อของต่อ
หลิวไฉ่หงกำลังเหม่อลอยจนไม่รู้ตัวเมื่อมีเด็กหญิงตัวเล็กวิ่งมาชนจนร่างเล็กนั้นล้มลง
“ว้าย!...คุณหนู” เสียงอาหลานดังลั่นขณะหญิงสาวก้มมองเด็กตัวน้อยที่ทรุดอยู่แทบเท้า
อาหลานรีบจับเด็กหญิงวัยประมาณ5-6ขวบให้ลุกขึ้นแต่หลิวไฉ่หงสังเกตเห็นบางอย่างจึงจับแขนเล็กดึงตัวเข้ามาใกล้
รอยฟกช้ำเขียวๆ ม่วงๆ ตามใบหน้าและร่างกายทั้งร่างเล็กที่สั่นเทาไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องสามัญ
“เจ้าโดนสิ่งใดมา เหตุใดเนื้อตัวจึงบอบช้ำเช่นนี้”
หลิวไฉ่หงพยายามใช้น้ำเสียงปลอบประโลมเพื่อไม่ให้เด็กน้อยตื่นกลัว
ซุนเหนียงกับอาหลานก้มมองเห็นว่าเป็นจริงจึงหยุดรอฟังคำตอบ
“ข้า...ข้า...”
เด็กหญิงตัวน้อยยังไม่ทันตอบคำใด ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก็ถลามาดึงแขนเล็กออกจากมือของหลิวไฉ่หงแล้วรีบก้มตัวโค้งขออภัย
“ข้าขอโทษที่บุตรสาวมารบกวนคุณหนูเจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็กระชากแขนเด็กที่อ้างว่าเป็นบุตรสาวอย่างแรงจนร่างเล็กเซถลาแทบล้ม
“รีบเดินเร็วเข้า หากคุณหนูผู้นี้เอาเรื่องเจ้า แม่คงไม่อาจช่วยได้ เข้าใจหรือไม่”
ท่าทางราวจะรีบวิ่งหนีทำให้หลิวไฉ่หงยิ่งไม่เข้าใจ จึงเอ่ยห้าม
“เดี๋ยวก่อน เหตุใดต้องรุนแรงเช่นนั้น ข้ายังไม่ได้ถือโทษหรือว่ากล่าวสักคำ”
“ขอบคุณคุณหนู แต่พวกเราต้องรีบกลับบ้านเจ้าค่ะ” ข้ออ้างของผู้ที่เป็นมารดาช่างฟังไม่ขึ้น หลิวไฉ่หงจึงรีบตะโกนถามข้อสงสัย
“แล้วเหตุใดบุตรสาวของเจ้าจึงบอบช้ำเพียงนั้น”
“นางเพียงซนเกินไปจึงหกล้มเองเจ้าค่ะ”
สายตาไม่ยอมรับทั้งอาการส่ายหน้าของเด็กหญิงทำให้หลิวไฉ่หงไม่เชื่อ
