ตอนที่สอง อดีตป้าข้างบ้าน2
ตอนที่สอง อดีตป้าข้างบ้าน
หลิวไฉ่หงมองสายตาซึ่งส่วนใหญ่แสดงความนับถือและชื่นชมบิดาแล้วจึงได้แต่เสียดายแทนเด็กสาวซึ่งต้องจมน้ำสิ้นชีวิตไปเสียก่อน
เอาเถอะ หลิวไฉ่หง ฉันจะใช้ชีวิตแทนเธอเอง
รถม้าแล่นมาจอดที่ข้างตรอกเล็กแห่งหนึ่ง จากนั้นหลิวไฉ่หงจึงถูกประคองลงมาเพื่อเดินตามบิดาเที่ยวชมความครึกครื้นของตลาดในยามสาย
ภาพที่ผู้คนเห็นย่อมเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม หน้าตาหมดจด ผิวขาวละมุนราวหยกเนื้อดี คิ้วเรียวบางดั่งขนนกวาดติดจะยกขึ้นเล็กน้อยยามแสดงความฉงนสงสัย เดินขนาบด้วยสองสาวใช้ท่ามกลางกลุ่มเจ้าหน้าที่ท่าทางขึงขัง
หลิวไฉ่หงเดินเยื้องไปข้างหลังบิดาเล็กน้อยเมื่อผ่านย่านตลาดอันคึกคัก
เสียงเร่ขายของจากพ่อค้าแม่ค้าดังเซ็งแซ่ กลิ่นหอมของขนมทอดลอยมาแตะปลายจมูกพาให้ดวงหน้าเล็กนั้นหันซ้ายแลขวาไม่หยุด ดวงตากลมใสเป็นประกายซุกซนเปล่งความอยากรู้อยากเห็นในทุกสิ่งรอบตัว
อืม...ไม่คิดว่าจะมีของขายมากขนาดนี้
อู้ว..กลิ่นขนมนี้หอมจัง
เอ๊ะ! ตุ๊กตานั่น
นัยน์ตาของหญิงสาวเบิกกว้างราวกับได้พบของวิเศษทั้งๆ ที่เป็นสิ่งธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปเมื่อเห็นตุ๊กตาลวดลายแปลกที่เด็กหลายคนกำลังมุงซื้ออยู่
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวสนใจทั้งยังหยุดกระซิบคุยกับแม่นมและสาวใช้ด้วยดวงตาเป็นประกาย ผู้เป็นบิดาจึงยิ้มขำเล็กน้อย
“เจ้าอยากได้หรือ? หงเอ๋อร์ นั่นเป็นของเด็กเล่น ส่วนเจ้าเป็นสาวแล้ว ยังจะอยากเล่นของเช่นนี้อยู่อีกหรือ?”
“ลูกเพียงเห็นว่างดงามแปลกตาเท่านั้นเจ้าค่ะ เหตุใดท่านพ่อต้องหัวเราะเยาะด้วย”
เห็นบุตรสาวแง่งอนมองค้อนแล้วเดินหนี นายอำเภอผู้คร่ำเคร่งจึงได้แต่ส่ายหัวแล้วแยกเดินไปทำหน้าที่ของตนเองโดยสั่งให้ลูกน้องคอยดูแลบุตรสาวอยู่ห่างๆ เท่านั้น
แม้หลิวไฉ่หงจะสวมเพียงเสื้อผ้าเรียบง่าย แต่ก็ดูสะอาดสะอ้านเข้ากันกับบุคลิกสดใส ผมที่ผูกด้วยริบบิ้นสีฟ้าอ่อนแกว่งไกวไปตามแรงลมอย่างเป็นธรรมชาติ เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างเหลียวมองด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
เพิ่งชื่นชมข้าวของข้างทางและชิมอาหารไปได้เพียงไม่กี่อย่าง เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งก็ดังเข้าหูจุดความสนใจให้หลิวไฉ่หงเร่งเท้าเดินตามเสียง
“พวกเขามีเรื่องใดกัน พวกเรารีบเข้าไปดูเถิด”
“อย่าเลยเจ้าค่ะ คุณหนู”
ซุนเหนียงรีบดึงแขนเล็กเอาไว้แต่วิญญาณป้าข้างบ้านที่ชอบใส่ใจเรื่องของคนอื่นอย่างหลิวไฉ่หงหรือจะยอมมองดูอยู่ห่างๆ
อาหลานจึงต้องวิ่งตามก่อนสองนายบ่าวจะมุดแทรกเข้าไปฟังเรื่องราวซึ่งฝ่ายชายกำลังฉุดรั้งแขนของหญิงสาวคนหนึ่งเอาไว้พลางคุกเข่าคร่ำครวญ
“พวกเราคบหากันมาตั้งหกเดือนและเพิ่งส่งของหมั้นหมายไปได้เพียงสามวัน จู่ๆ เจ้าจะบอกว่าไม่ได้รักข้าแล้วและขอยกเลิกการแต่งงาน เช่นนั้นจะได้อย่างไร อาจู เหตุใดเจ้าจึงหมดรักได้ง่ายดายเช่นนี้”
“นั่นสิ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ายังไปยืนชื่นชมของหมั้นของพวกเขาอยู่เลย” เสียงซุบซิบนินทาดังสนับสนุนทำให้สายตาตำหนิติเตียนถูกส่งไปยังหญิงสาวซึ่งยังไม่อาจเดินหนีไปไหน
ฝ่ายหญิงจึงรีบเอ่ยชี้แจงด้วยเกรงจะโดนต่อว่าจนกลายเป็นคนผิด
“เดิมทีข้าคิดว่าตนเองอาจตั้งครรภ์จึงเร่งการแต่งงาน แต่เมื่อพบว่าเป็นการเข้าใจผิดด้วยพวกเรายังไม่เคยเกินเลยกัน จึงเกรงว่าจะเป็นการเอาเปรียบเขาจึงคิดเปิดโอกาสให้”
“แต่งก็คือแต่ง เหตุใดต้องกลับไปกลับมา” ชาวบ้านที่มุงดูส่งเสียงถามด้วยความไม่เข้าใจ
“พวกเราเพียงพูดคุยกันถูกคอ ยังไม่ได้รักใคร่กลมเกลียวเพียงพอ ข้าจึงอยากใช้เวลาอีกหน่อย” หญิงสาวพยายามอธิบาย
“ไม่ได้รักใคร่แล้วเหตุใดจึงคิดว่าตั้งครรภ์ เจ้าเป็นสาวเป็นนางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชายคนหนึ่งแล้ว ทั้งเขายังยอมรับผิดชอบด้วยการแต่งงานก็นับว่าโชคดีแล้ว จะมาขอยกเลิกเพื่อกลายเป็นหญิงที่ถูกทิ้ง ช่างสิ้นคิดนัก” ชาวบ้านออกความเห็นกันอย่างสนุกปาก
“ผู้ใดจะอยากทำเช่นนั้น หากมิใช่ว่าพวกเราเข้ากันไม่ได้ข้าหรือจะตัดสินใจเช่นนี้” เหตุผลของหญิงสาวไม่ได้ถูกยอมรับเมื่อชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมากล่าวหา
“ข้ออ้างข้างๆ คูๆ ชัดๆ เจ้าคิดจะไปแต่งงานกับชายคนใหม่ล่ะสิ”
ได้ยินคำกล่าวหาร้ายแรง อีกฝ่ายจึงโต้เถียงทันควัน
“ไหนเลยจะทำเช่นนั้นเล่า วันวันข้าคลุกอยู่แต่กับเจ้า จะมีชายคนใหม่ได้อย่างไร”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องตัดสัมพันธ์เร็วเพียงนี้”
“นั่นสิ นั่นสิ”
