บทที่ 3
ภูชิตเริ่มงานที่โรงพยาบาลแล้ว ชายหนุ่มมารับตำแหน่งสำคัญในบอร์ดบริหาร งานในหน้าที่ความรับผิดชอบจึงเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนที่จะไปเรียนต่อ
‘พ่อไม่ได้อยากให้ภูเป็นหมอเพียงอย่างเดียว แต่อยากฝึกให้เป็นผู้นำที่ดีในอนาคตข้างหน้าของโรงพยาบาลเรา’ บิดาให้เหตุผลที่สั่งให้ชายหนุ่มมีส่วนในงานบริหารของโรงพยาบาล
‘เราน่าจะหาทางช่วยให้คนไข้ทรมานให้น้อยที่สุด ที่ต้องรอพบแพทย์หรือรอการบริการจากทางโรงพยาบาล’
งานแรกของภูชิตคือปรับปรุงด้านการบริการให้มีระบบและรวดเร็วมากขึ้น เพื่อเยียวยาจิตใจของคนไข้ในการมาใช้บริการของโรงพยาบาลซึ่งเป็นที่พอใจของคณะผู้บริหารมาก
ทั้งคณะแพทย์และพยาบาลตลอดจนเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลต่างก็ให้ความร่วมมือกับนโยบายนี้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพราะความตั้งใจของทุกคนที่จะพัฒนาโรงพยาบาล และความเป็นกันเองในการทำงานกับเพื่อนร่วมงานทุกคน
งานด้านโรงพยาบาลไม่มีอะไรลำบากสำหรับภูชิต แต่สิ่งที่ทำให้ปวดหัวและอึดอัดใจมากที่สุดในตอนนี้ ก็เห็นจะเป็นเรื่องการนัดดูตัวสาวที่มารดาขยันสรรหาจัดการนัดพบอยู่บ่อยครั้ง
แต่ไม่ว่าจะชักนำใครมาให้รู้จัก คุณหมอหนุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบรับไมตรีกลับไปเลยแม้แต่น้อย จนคุณหญิงแพรวาต้องงัดไม้ตายสุดท้ายขึ้นมาใช้กับเขาในที่สุด
“แม่จะไปขอหนูรินให้มาเป็นเจ้าสาวของลูก อีกสองอาทิตย์เตรียมตัวเจอหนูรินได้เลย” คุณหญิงแพรวาเอาจริง
รินนลีเป็นลูกสาวของคุณอำไพ เพื่อนรักสมัยเด็กของคุณหญิงแพรวา เมื่อมองไม่เห็นว่าบุตรชายจะมีทีท่าชอบพอสาวๆ ที่คัดเลือกแม้แต่สักคน รินนลีจึงเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่นางหวังว่าจะทำให้สมปรารถนาในเรื่องนี้ได้
ภูชิตไม่อยากปฎิเสธความหวังดีของมารดา แต่ก็ไม่อาจจะทำใจให้สามารถแต่งงานกับรินนลีได้ เขาจึงวางแผนเล่นบทโจรกระท่อมโดยขอความร่วมมือจากภูบดินทร์น้องชาย ชายหนุ่มหาไม่คิดว่าแผนวางไว้อย่างดิบดีนั้น มีอันต้องล้มเลิกไปเพราะรินนลีมาเกิดเรื่องวุ่นวายพัวพันกับคดีมาตกรรมอำพรางคดีหนึ่ง
ชายหนุ่มจึงใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ โดยการเสนอตัวเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือหญิงสาว ด้วยวิธีนำไปฝากไว้ที่บ้านสวนของภูบดินทร์ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นความสัมพันธ์แต่หนหลังของทั้งรินนลีกับภูบดินทร์ จนถึงวันนี้หญิงสาวกำลังจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในอีกไม่ช้านี้แล้ว
ภูบดินทร์กลายเป็นคนแรกของครอบครัวที่กำลังจะแต่งงาน คุณหญิงแพรวาพอใจกับว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้มาก ถึงขนาดวางแผนให้ลูกชายคนเล็กร้อนรนที่จะหาทางให้รินนลียอมแต่งงานและกลับมาอยู่ที่บ้านสวน กำหนดการณ์แต่งงานของทั้งคู่คงจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ รอเพียงฤกษ์แต่งงานที่แน่นอนจากผู้ใหญ่เท่านั้นเอง
ภูชิตวางใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รอแค่มุกรินกลับมาเท่านั้นเรื่องทุกอย่างก็จะลงเอยตามที่ตั้งใจอย่างง่ายดาย ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด
ภูชิตนัดกับมุกรินจะไปคุยเรื่องรายละเอียดการแต่งงานที่สตูดิโอแห่งหนึ่งย่านพระรามเก้า หญิงสาวโทรศัพท์มาขอเลื่อนนัดครั้งนี้กับชายหนุ่ม โดยบอกเหตุผล
‘ไว้ไปวันหลังก็ได้ค่ะ พี่ภู วันนี้ไปทานข้าวกันก่อนดีกว่า’ มุกรินโทรศัพท์มาเลื่อนนัดก่อนเวลาเพียงสองชั่วโมง ภูชิตไม่อยากขัดใจจึงเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปเลื่อนนัดสตูดิโอแห่งนั้นแทน
เที่ยงกว่า ภูชิตมาถึงร้านอาหารตามที่นัดไว้ หญิงสาวมารออยู่ก่อนแล้วเช่นกัน เธอส่งยิ้มหวานทักทายเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้สีหวาน
“ดีใจนะคะที่มุกกลับมา ต่อไปนี้เราจะไม่ต้องอยู่ไกลกันอีกแล้ว” ภูชิตยิ้มอย่างมีความสุข เขาจับมือหญิงสาวขึ้นมากุมไว้ด้วยความคิดถึง
มุกรินยิ้มหวานปลื้มใจเหลือเกินกับความรักของภูชิตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนๆ ภูชิตก็เป็นภูชิตที่แสนจะอบอุ่นเช่นนี้เสมอ
"ทานข้าวแล้วค่อยคุยกันค่ะ พี่ภู" มุกรินสั่งกับข้าวที่คุณหมอหนุ่มชอบทั้งสิ้น และพูดคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภูชิตแสนมีความสุขกับวันดีๆ ที่มีเธออยู่เคียงข้าง โดยไม่รู้เลยว่านาทีต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นกับความรักของตนบ้าง
“พี่ภูคะ มุกอยากไปที่ๆ หนึ่ง มุกไม่ได้ไปมานานมากแล้ว พี่ภูไปกับมุกนะคะ” มุกรินเอ่ยชวนเสียงหวานหลังจากที่กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“น้องมุกอยากไปไหน บอกพี่ซิคะ” ภูชิตถามพลางกุมมือหญิงคนรักไม่ยอมปล่อย
“มุกอยากไปเลี้ยงปลาที่...”
มุกรินบอกทางไปสถานที่แห่งนั้นให้กับภูชิต แล้วเป็นผู้นำทางโดยการขับรถนำหน้ารถของภูชิตที่ขับตามไปติดๆ
สถานที่เลี้ยงปลาของมุกรินเป็นวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี หญิงสาวรู้จักวัดนี้จากการแนะนำของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้ว่าเธอชอบทำบุญให้อาหารปลาเป็นประจำ สถานที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่มุกรินแวะมาทำบุญเช่นนี้เสมอ โดยเฉพาะยามที่หญิงสาวไม่สบายใจเรื่องใดก็แล้วแต่
ท่าน้ำหน้าวัดนี้มีแพไม้ที่ต่อกันให้คนเดินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร บรรยากาศตอนนี้ลมพัดเย็นสบาย แม้จะมีแดดจ้าในช่วงบ่ายแก่ๆ แบบนี้ แต่ภูชิตและมุกรินก็ไม่ได้รู้สึกร้อนอบอ้าวจากไอแดดนั้นเลย ทั้งสองเลือกที่นั่งไกลออกไปจากคนพลุกพล่านทั้เพลิดเพลินกับการให้อาหารปลาเป็นอย่างมาก
“พอแล้วน้องมุก ดูนั่น! ปลามันตีกันใหญ่แล้ว น้ำกระเด็นเลอะหมด” ภูชิตปรามเพราะเห็นเธอทำท่าจะโยนอาหารปลาทั้งกระป๋องลงไปให้เจ้าปลาน้อย จนพวกมันพากันมาแย่งกินอาหารต่างก็สะบัดครีบใส่กันอย่างรุนแรงทำให้น้ำบริเวณนั้นแตกกระเซ็นโดนหน้าโดนตาของทั้งสองเปียกปอนกันไปตามๆกัน
“อุ๊ย! ดูตัวนั้นซิคะ ตัวมันเป็นสีขาวด้วย” มุกรินชี้ ปลาสวายเผือกตัวหนึ่งกำลังว่ายโชว์ตัวอยู่ตรงหน้า
อาหารปลาหมดไปสองถุงใช้เวลาเกือบสองชั่งโมง มุกรินเริ่มจะหมดแรงนั่งพักพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจปล่อยอารมณ์ให้ไหลไปกับสายน้ำ ภูชิตเอนกายมาอิงไหล่ของหญิงสาวแล้วมองไปที่ขอบฟ้า
เขาไม่ชอบแสงแดดในเวลาผีตากผ้าอ้อมเช่นนี้ เพราะมันทำให้รู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก ฝูงปลาทั้งหลายเริ่มสงบลงเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ยามค่ำคืน สองหนุ่มสาวนั่งมองแสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าไปด้วยกันอย่างมีความสุข
“กลับเถอะน้องมุก เดี๋ยวไปหาข้าวเย็นทานกัน พี่มีเรื่องจะบอกให้มุกเตรียมตัวไว้เนิ่นๆ เดี๋ยวเราไปคุยเรื่องนี้กันที่ร้านอาหารนะคะ” ภูชิตเอ่ยปากชวนมุกรินกลับบ้านเพราะเห็นว่าเริ่มจะเย็นมากแล้ว ผู้คนเริ่มบางตาและไม่มีปลาให้เห็นมากเท่าไรนัก
“อย่าเพิ่งกลับได้ไหมคะ มุกอยากอยู่ที่นี่อีกสักพัก ขอคุยกับพี่ภูก่อน”
“น้องมุกมีอะไรจะคุยกับพี่”
มุกรินหันมาสบตากับคนรัก เธอไม่แน่ใจว่าเรื่องที่จะพูดกับภูชิตต่อไปนี้ ชายหนุ่มจะว่าอย่างไร
“มุก มีเรื่องจะบอกพี่ภูค่ะ” มุกรินพูดเสียงเบาสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แววตาเป็นประกายแห่งความสุขเมื่อครู่จางลง ภูชิตสงสัยในคำพูดแต่ก็ไม่ถามอะไรรอฟังเรื่องของเธอให้จบเสียก่อน
“มุกเพิ่งจะทราบเรื่องทุกอย่างหลังจากที่กลับมาได้สองวัน ตอนนี้มุกสับสนไม่รู้จะทำอย่างไรดี พี่ภูฟังมุกก่อนนะคะ” มุกรินจับมือชายหนุ่มไว้แน่น
“มุกเพิ่งรู้ตัวว่ามีคู่หมั้นที่หม่อมยายหมั้นหมายไว้ตั้งแต่ก่อนเกิด และกำลังจะต้องแต่งงานกับเขาในอีกไม่นานนี้”มุกรินพูดสียงเบาพร้อมกับก้มหน้าลง ไม่อยากเห็นสีหน้าของภูชิตในตอนนี้ ไม่อยากเห็นชายคนรักต้องเสียใจและยิ่งที่มาของความเสียใจนั้นมีเธอเป็นต้นเหตุด้วยแล้ว ถ้าเลือกได้ ขอเลือกที่จะเสียใจเพียงลำพังคนเดียวเสียยังดีกว่า
“มุกมีคู่หมั้น แล้วก็มีหม่อมยายด้วย”
เหมือนมีอะไรฟาดลงมาที่ศรีษะของภูชิตอย่างแรง เขาชาวาบไปทั่วทั้งร่างกายก่อนจะมารู้สึกจี๊ดๆ ตรงหน้าอกด้านซ้ายที่ขั้วหัวใจพอดี ชายหนุ่มตั้งสติแล้วถามย้ำไปอีกครั้งว่า
