บทที่ 2 ของขวัญวันเกิด
2
ของขวัญวันเกิด
“พ่อเลี้ยง...พ่อเลี้ยงครับพ่อเลี้ยง นั่นพ่อเลี้ยงจะเดินไปไหนครับ”
ทศพลผู้จัดการไร่ที่แสนซื่อสัตย์ทำงานในไร่ภูจักรพรรดิมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว รู้จักนายจ้างของตนเป็นอย่างดี แต่พักหลังๆ จักรพรรดิเปลี่ยนไปมาก เหม่อลอยแปลกๆ ไม่รู้คิดอะไรในวันๆ นอกจากงานในไร่ก็ยุ่งไม่น้อย ถ้าจะมีกระจิตกระใจคิดถึงเรื่องอื่นก็เก่งมากทีเดียว อย่างวันนี้มาส่งใบชาแปรรูปก็จอดรถในตัวอำเภอแล้วเดินดุ่มๆ ไม่บอกกล่าว
“ถึงมึงจะตามกูมาก็ไม่ต้องถาม” เพราะความสนิทสนมกันมานาน นอกจากทศพลจะเป็นผู้จัดการไร่ยังถือเป็นเพื่อนสนิทของจักรพรรดิอีกด้วย
“แล้วๆ...”
“ไอ้ทศ กูบอกไม่ให้ถามไง ถ้าหุบปากไม่เป็นก็กลับไปรอที่รถเลยไป”
เสียงดุกร้าวกับใบหน้าสะบัดไปมาเหมือนช้างพยศ ทำให้ทศพลต้องหยุดชะงักทั้งปากทั้งเท้าแล้วเลือกเดินกลับไปรอที่รถ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าพักหลังๆ ศัตรูของไร่ภูจักรพรรดิมีมากขึ้น ที่ทางรอบข้างถูกนายทุนกว้านซื้อไปเป็นส่วนใหญ่ นายทุนบางคนก็หยิบยื่นไมตรีให้ แต่บางคนก็ต้องการกำจัดเสี้ยนหนามออกไป ไร่ภูจักรพรรดิดูจะเป็นเสี้ยนหนามใหญ่สุด ทศพลคิดแล้วก็ออกเดินตามไปเงียบๆ ใช้ท่อนแขนหนีบสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเพื่อความสบายใจ
จักรพรรดิเข้ามายืนคว้างอยู่กลางห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เขามองซ้ายมองขวาอย่างตัดสินใจก่อนจะเดินไปทางขวามือ เขาเดินผ่านร้านจิลเวลรี่ชื่อดัง หยุดชะงักเล็กน้อยก็เดินเข้าไป พนักงานในร้านยิ้มแย้มเชิญชวนให้เลือกสินค้า ไม่นานเจ้าของร้านก็ออกมาจากด้านใน
“สวัสดีเจ้าป้อเลี้ยง ลมอะไรพัดมาตี้นี้ได้กะเจ้า” ทักทายอย่างสนิทสนม เพราะแม่เลี้ยงหงส์ขาวผู้เป็นเจ้าของร้านจิลเวลรี่รู้จักพ่อเลี้ยงเจ้าของไร่ชาชื่อดังมานานนม ชื่อเสียงของพ่อเลี้ยงจักรพรรดิกว้างไกลไปทั่วทั้งภาคเหนือของประเทศไทยก็ว่าได้ ผู้ชายหนวดเครารุงรัง เรือนร่างสูงใหญ่ราวฝรั่ง ใบหน้าคมเข้มและมีดวงตาสีนิลคมกริบ
“ผมกำลังหาของขวัญครับแม่เลี้ยง”
“ให้แม่ญิงกะเจ้า” คนถามยิ้มกว้าง อยากรู้จริงใครคือผู้โชคดีคนนั้น
“หลานสาวครับ” จักรพรรดิชิงตอบก่อน แม่เลี้ยงหงส์ขาวอมยิ้ม
“เด็กปู้หญิงกะเจ้า งั้นก็...” แม่เลี้ยงหงส์ขาวเลือกสร้อยคอทองคำขาวห้อยจี้เพชรรูปหยดน้ำ “เส้นนี้งามแต้ๆ เจ้า”
จักรพรรดิใช้นิ้วเกี่ยวสร้อยเส้นเล็กขึ้นมาพิจารณาอยู่สักพัก เขาหลุบตามองของในตู้โชว์ คราวนี้สายตาสะดุดเข้ากับสร้อยคอทองคำขาวที่มีจี้ห้อยเป็นเพชรรูปหัวใจ
“ขอดูเส้นนี้หน่อยครับ” พ่อเลี้ยงใหญ่บอก เจ้าของร้านกุลีกุจอหยิบออกมาให้ดู
“งามแต้น่ะเจ้า”
สวย...จักรพรรดิบอกตัวเอง เขาหวังว่าคนได้รับจะชอบ
“ผมเอาเส้นนี้ครับ”
ทศพลมาเห็นตอนที่เจ้าของร้านกำลังส่งกล่องกำมะหยี่สีชมพูให้จักรพรรดิ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเจ้านายเข้าร้านจิลเวลรี่ แล้ววันนี้สีหน้าก็ดูจะเบิกบานใจ แววตาคู่นั้นวาววับระยิบระยับแปลกๆ ทำราวกับคนกำลังมีความรัก พอร่างสูงเดินออกมา ทศพลก็ดักหน้า
“พ่อเลี้ยงซื้อเครื่องเพชรไปให้ใครหรือครับ”
“สู่รู้จริงนะไอ้ทศ” เจ้านายตอกกลับ
“ผมเพิ่งจะเคยเห็นพ่อเลี้ยงเข้าร้านเพชรอีกครั้ง หลังจาก 5 ปีก่อน”
5 ปีที่แล้ว เจ้านายของทศพลซื้อกำไลข้อมือวงเล็กให้คุณหนูเทียนตะวัน เขาจำได้ คุณหนูเทียนมักจะใส่ติดตัวเสมอ เพิ่งจะหายไปจากข้อมือในระยะหลัง ไม่รู้หายไปไหน แล้วครั้งนี้เจ้านายของทศพลกำลังซื้อเครื่องเพชรไปบรรณาการสาวไหนอีก
“ว่าแต่พ่อเลี้ยงจะซื้อไปฝากสาวคนไหนหรือครับ”
จักรพรรดิไม่ตอบเดินไปที่รถ ทศพลซอยเท้าตามไปติดๆ กระทั่งขึ้นไปนั่งคู่กันบนรถ
“ไอ้ทศ”
“ครับพ่อเลี้ยง”
“เอาของขวัญไปให้เทียนตะวันที”
ทศพลสตาร์ทเครื่องเสร็จก็หันมามอง รู้แล้วพ่อเลี้ยงใหญ่จะซื้อเครื่องเพชรไปให้ใคร
“มองอะไร วันนี้เป็นวันเกิดเทียน”
“อะ...อ้อ จริงด้วยสิครับ ผมลืมไปเลย งั้นเดี๋ยวผมไปส่งพ่อเลี้ยงก่อนนะครับ” บอกพร้อมกับหักพวงมาลัยตีไฟเลี้ยวเข้าเลนยูเทิร์น
“ไม่ต้องหรอก เสียเวลา เดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน”
ทศพลพยักหน้าหงึกๆ ขับรถไปตามเส้นทางเดิมซึ่งเป็นเส้นทางที่จะตรงไปยังมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ เขาลอบมองเจ้านายนั่งสบายกอดอก ใบหน้าดุดันถูกปิดบังด้วยแว่นกันแดดเข้ากับรูปหน้า เสริมให้จักรพรรดินั้นดุดันขึ้นอีกเท่าตัว สำหรับทศพลแล้ว จักรพรรดิเป็นผู้ชายน่ากลัว เป็นพ่อเลี้ยงสุดโหดที่มีวิธีจัดการกับลูกน้อยจอมเกเรได้อย่างน่ากลัว สั่งสอนครั้งเดียวจะไม่มีใครกล้าทำผิดซ้ำ ทุกคนในไร่ต่างรู้ดี ถ้าสั่งสอนแล้วไม่เชื่อทำซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง เจ้านายของพวกเขาจะไม่ทำแน่ คนอย่างจักรพรรดิพูดคำไหนคำนั้น ไม่ก็คือไม่ ได้ก็คือได้ ไม่ต้องถามซ้ำถามซาก วิธีการสั่งสอนตักเตือนก็เหมือนกัน เจ็บแล้วจำ
ความรู้สึกที่มีต่อคุณหนูเทียนตะวัน ทศพลยังไม่รู้แน่ชัด แต่เขาเชื่อในลางสังหรณ์ สิ่งที่จักรพรรดิกำลังทำอยู่นี้ต้องแลกมาเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง และผลประโยชน์นั้นก็คงจะกระทบกับหัวใจดวงน้อยๆ ของหลานสาวแน่นอน ทศพลเชื่อว่าสิ่งที่จักรพรรดิทำย่อมมีค่าทั้งต่อเขาและเธอ
รถกระบะคันโตล้อใหญ่จอดลงหน้าหอพักในเวลา 17 นาฬิกาเศษๆ เป็นเวลาเลิกเรียนและมีนักศึกษาแต่งกายชุดอยู่บ้านออกมาหาข้าวปลากินบ้างแล้ว จักรพรรดิมองหาเทียนตะวันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้น 6 ของตึก 4 เมื่อไม่เห็นร่างบางตัวขาวๆ ก็หยิบมือถือออกมาคล้ายจะกด แล้วก็เปลี่ยนใจ
“ไอ้ทศ นายโทร.เรียกเทียนตะวันออกมาเอาของซิ” คนสั่งยังคงชะโงกหน้าจนเกือบจะติดกระจกหน้ารถเพื่อกวาดตาไปที่ชั้น 6 ตึก 4
“แล้วทำไมพ่อเลี้ยงไม่โทร.บอกเธอเองล่ะครับ คุณหนูคงจะดีใจถ้าเห็นพ่อเลี้ยงวันนี้”
“กูบอกให้มึงโทร.เรียก ไม่ใช่ให้มาย้อนถาม” สายตาคมกริบตวัดค้อนทศพล ผู้จัดการไร่ภูจักรพรรดิถอนใจเฮือก
“แต่วันนี้เป็นวันเกิดคุณหนูนะครับ ถ้าพ่อเลี้ยงมาแล้วไม่ยอมเจอเธอ คุณหนูเทียนคงเสียใจแย่”
“กู...บอกว่า...ให้...มึงโทร.ตาม...” จักรพรรดิกระแทกเสียงทีละคำชัดๆ ใบหน้าคมเข้มถมึงทึงน่ากลัว
“ครับๆ ไอ้ทศเข้าใจแล้วครับ” ทศพลจึงต้องกดมือถือโทร.หาเทียนตะวันด้วยตัวเอง
มาถึงที่แล้วยังเล่นตัวอยู่ได้นะพ่อเลี้ยง
เทียนตะวันรีบวิ่งลงมาจากชั้น 6 เธอยังอยู่ในชุดนักศึกษา ผู้จัดการไร่ภูจักรพรรดิโทร.ตามให้ลงไปรับของขวัญ ได้ยินดังนั้นเทียนตะวันก็เหงื่อตก ไม่ใช่กลัว แต่ดีใจจนมือไม้สั่นไปหมด เธอวิ่งลงมาโค้งตัวหอบหายใจเห็นรถกระบะคันโตก็ยิ้มกว้างลืมสิ้นความเหนื่อยอ่อน รถคันนี้เป็นรถของลุงยักษ์ ทศพลไม่ได้บอกว่าลุงยักษ์มา ซึ่งเธอก็หวังว่าจะได้ลงมาเห็นหน้าเขา
เกือบหนึ่งปีเต็มที่เธอไม่ได้กลับไปไร่ภูจักรพรรดิ ทุกคืนวันได้แต่กอดน้องหมีตัวใหญ่ บีบอุ้งเท้าของมันจนถ่านหมด เพื่อนร่วมห้องก็พากันล้อเลียนว่าเธอติดหมี เทียนตะวันไม่ค่อยออกไปเที่ยวที่ไหนเหมือนเพื่อนคนอื่น เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับน้องหมีตัวโตสีน้ำตาล รอคอยว่าสักวันลุงของเธอต้องมาเยี่ยมบ้าง รอแล้วรอเล่า ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนคนอื่นมีพ่อแม่มาเยี่ยม เธอก็ได้แต่แอบมองพร้อมกับทำใจ เพราะนี่คือความต้องการของเธอเอง ต้องการที่จะมาอยู่ไกลบ้านแบบนี้
วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ ของขวัญที่เธออยากได้ที่สุดก็ต้องมาจาก...
“เทียน”
เทียนตะวันชะงักปลายเท้าก่อนจะถึงรถคันใหญ่เพียงไม่กี่เมตร เธอหันไปเห็นเพื่อนชายชื่อนพดลเดินยิ้มหล่อมาแต่ไกล ในมือของนพดลมีกล่องของขวัญสีชมพูผูกโบว์สีแดงมาด้วย
“ว่าไงจ๊ะยอด”
นพดลมาหยุดยืนห่างจากเทียนตะวันเพียงหนึ่งช่วงแขน มันใกล้พอจะทำให้คนในรถหนวดกระตุก เขายื่นกล่องของขวัญให้เพื่อนสาวคนสนิท สำหรับเทียนตะวันความรู้สึกที่มีให้นพดลก็คือเพื่อน แต่สำหรับนพดลถ้ามันจะพัฒนาได้ เขาก็ดีใจเป็นที่สุด
“ยอดเอาของขวัญมาให้เทียน”
“ว้าย ขอบคุณมากเลยจ้ะยอด แล้วรู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดเทียน” รอยยิ้มของเทียนตะวันทำให้แก้มสากๆ ที่มีไรเคราขึ้นเขียวเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น เธอยื่นมือรับพร้อมรอยยิ้มกระชากใจเพื่อน
“ยอดได้ยินมะละกอพูดน่ะ” ชายหนุ่มเก้อเขินเมื่อยอมรับว่าแอบฟังเพื่อนคุยกัน
“อ๋อ...รู้มั้ย นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกสำหรับวันเกิดเทียนปีนี้เลยนะ ขอบคุณนะยอด”
“ยอดหวังว่าเทียนจะชอบนะ อาจจะไม่ใช่ของราคาแพง แต่ยอดว่ามันเหมาะกับเทียนดี”
“เทียนต้องชอบแน่ๆ จ้ะยอด” เทียนตะวันกอดกล่องของขวัญแน่นด้วยความดีใจ วันนี้เป็นวันพิเศษ เจ้าของวันเกิดก็ย่อมดีใจที่ได้รับของขวัญ ไม่ว่าของชิ้นนั้นใครจะเป็นผู้ให้ก็ตาม
“แล้วนี่เทียนจะไปไหน วิ่งมาจนเหนื่อยกระหืดกระหอบแบบนี้ ยอดกะจะฝากไว้กับป้าที่ดูแลหอพัก พอดีเห็นเทียนซะก่อน”
“เทียนมาหา...ผู้ปกครองจ้ะ นั่นไง รถผู้ปกครองเทียน” เทียนตะวันชี้ไปยังรถกระบะคันใหญ่ แล้วเห็นทศพลลงมาจากรถก็ยิ้มแป้น โบกไม้โบกมือให้อย่างร่าเริง
“อ้อ...งั้น...ยอดไม่กวนแล้ว กลับบ้านก่อนนะเทียน”
“จ้ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะยอด บาย”
“บายจ้ะ” นพดลหวังจะชวนเทียนตะวันไปหาไรกินกัน แต่พอรู้ว่าผู้ปกครองของเธอมาหา เขาก็ต้องกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง ที่จริงของขวัญเตรียมแต่ตั้งแต่เช้า แต่ซ่อนไว้ในรถกลัวเพื่อนเห็นแล้วจะล้อกัน เพราะนพดลเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาวสะอาดสะอ้าน สาวๆ ก็พากันแจกขนมจีบ ถ้าเขาจะให้ของขวัญเทียนตะวันต่อหน้าเพื่อน คงได้เป็นข่าวใหญ่พูดกันนานเป็นปีเป็นชาติไม่จบไม่สิ้น
“พี่ทศ! เทียนดีใจจังค่ะ” เทียนตะวันยกมือไหว้ทศพล เธอเรียกเขาว่าพี่ต่างจากเรียกจักรพรรดิว่าลุง แม้อายุของทศพลจะน้อยกว่าจักพรรดิเพียง 5 ปีก็ตาม
“คุณหนูเทียนสบายดีนะครับ” เห็นความน่ารักสดใสของสาวน้อย ทศพลก็ยิ้มกว้าง
“สบายดีค่ะพี่ทศ พี่ทศมาทำไมหรือคะ”
“คือว่า...วันนี้เป็นวันเกิดคุณหนูนี่ครับ พี่ก็เลย...เอาของขวัญมาให้” ในใจของเขาก็ลุ้นให้ชายที่ซ่อนตัวอยู่ในรถติดฟิล์มมืดลงมาปรากฏตัวให้สาวน้อยดีใจ
“ว้าว...ขอบคุณค่ะพี่ทศ แล้ว...แล้วพี่ทศมาคนเดียวหรือคะ”
สิ้นเสียงถามของเทียนตะวัน ประตูรถอีกฝั่งก็เปิดกว้าง ร่างสูงใหญ่ลงมายืนหน้านิ่งอยู่ข้างรถ จักรพรรดิยังใส่แว่นกันแดดแม้แดดกำลังจะร่มเต็มทีแล้ว
“ลุงยักษ์!!!” เทียนตะวันร้องเรียกแทบจะวิ่งเข้าใส่ เธอก้าวเร็วๆ ไปหยุดยกมือไหว้เขาอย่างทุลักทุเลเพราะกล่องของขวัญของนพดล เธอยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ก็ว่าได้
“หุบยิ้มเดี๋ยวนี้นะ” คุณลุงสั่งเสียงเข้ม แต่เทียนตะวันกลับหัวเราะร่วนแล้วยื่นมือไปดึงแว่นกันแดดออกจากใบหน้าเข้มจัด “นี่เธอทำอะไรน่ะ” เขาสะบัดหน้าหนีก็ไม่ทัน แว่นกันแดดติดมือเทียนตะวันไปเสียแล้ว
“คิดถึงจังเลยค่ะ”
ประโยคเดียวที่ทำจักรพรรดิพูดไม่ออก ทอดสายตามองหลานสาวที่เลี้ยงมานานด้วยแววตาที่เทียนตะวันไม่เคยเห็น มองตา มองรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว มองแก้มนวลเนียนและปลายจมูกเป็นมันนิดๆ จักรพรรดิบอกตัวเองว่า...คิดถึงแทบขาดใจ
คนที่เดินผ่านไปมามองคนทั้งสามอย่างสนใจแกมสงสัย เพราะฝ่ายชายที่มากันสองคนน่าจะอายุแก่กว่าเทียนตะวันมากโข อีกคนมีหนวดพอเป็นพิธี แต่อีกคนนี่สิดูจะตั้งอกตั้งใจไว้หนวดจนเฟิ้มดูรกรุงรังไปหมด ผู้ปกครองเทียนตะวันหรือพ่อของเธอนะ
จักรพรรดิรู้สึกตัวถอนสายตาจากเทียนตะวันเพื่อมองกวาดไปถึงคนอื่นๆ และเพียงสายตาดุๆ นั้นแว่บมาหา เด็กๆ พวกนั้นก็เมินหน้าหนีเป็นแถวๆ จักรพรรดิถอนใจเฮือก
“สุขสันต์วันเกิด” คำพูดห้วนๆ แต่ก็กินใจเด็กสาวมากเหลือเกินทำให้เทียนตะวันเผลอจับมือใหญ่หยาบกระด้างเอาไว้ เธออยากกอดเขามากกว่า แต่...คงไม่เหมาะสมเพราะจักรพรรดิไม่ใช่พ่อ คนอื่นอาจไม่รู้แต่เธอกับเขารู้ดีอยู่แก่ใจ ที่ทำได้คงแค่จับมือใหญ่แล้วบีบแน่นๆ
“ขอบคุณนะคะลุงยักษ์ แค่เห็นหน้าลุงเทียนก็ว่านี่เป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมมากพอแล้วค่ะ”
“จะเอาแค่นี้หรือไง” อีกฝ่ายถามเสียงเย็น และมองเธอเหมือนจะโกรธเคืองไม่น้อย
“ทำไมล่ะคะ ลุงยักษ์คือของขวัญที่ดีที่สุดของเทียนนะคะ” เด็กสาวตอบประสาซื่อ แต่ผู้ใหญ่ไม่คิดแบบนั้น
“แหงล่ะ เพิ่งจะได้รับของขวัญจากชายคนพิเศษไปเองนี่ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว ถ้างั้นฉันกลับ”
เทียนตะวันเบิกตากว้าง เขาสลัดมือเธอออกแล้วหมุนตัวหันหลัง เวลานี้เธอจึงเห็นแค่แผ่นหลังกว้างใต้เสื้อยีนสีเข้มสอดชายไว้ในกางเกง
“คนแก่นี่ไม่รู้ทำไมขี้น้อยใจนักนะคะพี่ทศ เรายังไม่ทันทำอะไรให้เลยก็งอนซะแล้ว”
ทศพลยิ้มแหยประมาณไม่ค่อยกล้ายิ้มเท่าไหร่
“ฉันแก่ ไม่ต้องมาย้ำ ใครมันจะดีกว่าเด็กหนุ่มน่าเคี้ยวล่ะ”
“กระดูกคนละเบอร์นะคะ เทียนไม่ชอบหรอกค่ะ เทียนชอบกระดูกใหญ่ๆ ประสบการณ์ล้ำเลิศ”
“แก่แดด!” จักรพรรดิหันกลับมา แถมขยับมาจนเกือบชิดให้เทียนตะวันต้องแอ่นกายไปข้างหลัง “ฉันส่งเธอมาเรียน ไม่ได้ให้มาเลือกกระดูก”
“โอ๊ยยย เทียนพูดเล่นค่ะ” เด็กสาวก็แกล้งเดินห่างออกไป ที่จริงแล้วเธอถอยห่างเพราะกลัวหัวใจจะวายเสียก่อน มันเต้นแรงจนกลัวทะลุออกมานอกทรวงอกเสียจริง “เทียนยังไม่คิดเลือกกระดูกมาแขวนคอหรอกนะคะ น่าเบื่อจะตายชัก อยู่คนเดียวไปจนแก่หัวหงอกดีกว่าค่ะ เทียนไม่ชอบให้ใครมาบังคับซะด้วยสิ”
ทศพลมองหน้าจักรพรรดิ มวยคู่นี้ถูกคู่จริงๆ เขาผินหน้าไปทางอื่นซ่อนยิ้มกับเสียงหัวเราะไว้สุดฤทธิ์
จักรพรรดิขบกรามกรอดพยายามระงับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อยู่คนเดียวพอแก่ไปใครจะดูแล ยังไงเธอก็ต้องมีครอบครัว ฉันไม่ยอมให้เธอเป็นโสดจนตายจากกันหรอกนะ”
“ไหนลุงยักษ์บอกว่าไม่ให้คิดเรื่องนั้นไงคะ”
“ฉันหมายถึง...เมื่อถึงเวลาก็ต้องมีครอบครัว แต่ตอนนี้ห้ามคิดจะคบใครเด็ดขาด เธอมีหน้าที่เดียวคือเรียนให้จบ นี่ไม่ได้บีบอุ้งตีนหมีเลยเรอะ”
“หยาบอะ อุ้งเท้าหมีสิคะ”
“อย่ามากะแดะตอนนี้นะเทียน ฉันถามว่าเธอได้พิจารณาหมีที่ฉันส่งมาให้บ้างหรือเปล่า รู้มั้ยว่ามันส่งเสียงได้ หรือวันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่แจกยิ้มให้ผู้ชาย”
เทียนตะวันทำปากยื่น กอดกล่องของขวัญของนพดลราวกับเป็นเกราะกำบัง ยิ่งทำให้จักรพรรดิขุ่นใจหลุบตามองกล่องของขวัญในอ้อมแขนเธอ สายตานั้นลุกเป็นไฟแทบจะเผากล่องบ้านั่นให้ไหม้เป็นจุล
“กอดทำไมแน่นขนาดนั้น มันเปื้อนหรือเปล่า เดี๋ยวเสื้อขาวๆ ก็เปรอะหมด” ฟังเหมือนจะเป็นห่วงยังไงไม่รู้
“ไม่เปื้อนหรอกค่ะ แล้วตุ๊กตาหมีลุงน่ะ ถูกเทียนบีบจนถ่านจะหมดแล้วค่ะ”
จักรพรรดิอึ้งไป
“ลุงยักษ์กับพี่ทศมาอวยพรวันเกิดเทียนอย่างเดียวใช่ไหมคะ งั้นถ้าหมดธุระแล้วเทียนขอตัวก่อนค่ะ”
พอเธอจะผละไป จักรพรรดิก็รีบคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ เขายัดอะไรบางอย่างใส่มือเธอแล้วบีบมือข้างนั้นแน่น
“ของขวัญจากฉัน หวังว่าเธอจะชอบ”
จักรพรรดิกระตุกแว่นกันแดดคืนแล้วหมุนตัวขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว ทศพลส่งยิ้มกว้างแล้วโบกมือให้เทียนตะวันก่อนขึ้นประจำที่คนขับแล้วเคลื่อนรถจากไปพร้อมกับคำตอบที่ถามตัวเองมาตลอดทาง
เทียนตะวันแบมือมองกล่องกำมะหยี่สีชมพูในมือ มันไม่เล็กจนกำได้มิด แต่เมื่อกี้เธอกำมันจนเจ็บมือ รอยยิ้มไม่หุบกระจ่างไปทั่วดวงหน้าหวาน แค่เขามาหาก็คือของขวัญชิ้นเลิศแล้ว นี่ยังมีของขวัญติดไม้ติดมือมาให้อีก เขากะจะทำให้เธอหลงรักหัวปักหัวปำเลยหรือไง แค่นี้ก็ตัดใจไม่ได้อยู่แล้ว
เธอแง้มกล่องกำมะหยี่แอบดูของที่อยู่ข้างใน เห็นจี้เพชรรูปหัวใจอย่างแรกก็ต้องปิดฝาฉับ หัวใจเต้นโครมครามยิ่งกว่าเก่า ต้องไม่กล้าเปิดดูอีกครั้งแน่ๆ กลัวจะหัวใจวายเพราะความตื่นเต้นเสียก่อน เขาตั้งใจหรือมีอะไรมาดลใจให้ทำแบบนี้นะ ไม่รู้หรือไง ทำแบบนี้แล้วใจเธอสั่นมากมายขนาดไหน สิ่งของแบบนี้มันเหมาะที่คนรักกันมอบให้แก่กัน เพราะเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความรัก ไม่ใช่เหรอ?
เขาทำแบบนี้มันหมายความว่าอะไร
เขามีคนรักอยู่แล้วนี่
คุณนีน่า...
เมื่อเพื่อนร่วมหอเห็นเธออุ้มกล่องของขวัญเข้าห้อง ก็พากันซักไซ้เป็นการใหญ่
“ของขวัญชิ้นนี้เจ้าได้แต่ใดมา” ชมัยพรกระโดดขึ้นเตียงเพื่อนไปนอนคว่ำเท้าคางจ้องกล่องของขวัญสีหวาน
“นั่นสิ แอบนัดใครออกไปเอาของขวัญก็ไม่ยอมบอกกันมั่งเลย พวกเราจะได้ตามไปดู” สโรชานั่งเบียดสะโพกกับลำตัวของชมัยพร
“ยัยโร หล่อนจะมานั่งเบียดฉันทำไมไม่ทราบยะ ที่ตั้งเยอะแยะ” ชมัยพรโวยวาย เพราะสโรชามีรูปร่างอ้วนใหญ่ เวลานอนก็ยังกรนเสียงดังไม่แพ้ผู้ชาย แต่เพื่อนๆ ทุกคนในห้องนี้ก็ชินชากับการฟังเสียงกรนของสโรชาแล้ว ถ้าวันไหนไม่ได้ยินเสียงแทบจะนอนไม่หลับ
“ก็ฉันอยากเห็นของขวัญใกล้ๆ นี่”
“เอาเถอะน่า เดี๋ยวยัยเทียนก็แกะกล่องอวดพวกเราเอง ครั้งก่อนได้ตุ๊กตาหมี ครั้งนี้จะได้อะไรน้อ” มาลัยรัตน์คิดว่ากล่องของขวัญต้องมาจากผู้ปกครองแน่ๆ จึงรอลุ้นว่าคราวนี้เทียนตะวันได้ของขวัญเป็นอะไร
“เสียใจย่ะ เพราะฉัน...ยังไม่แกะ” เทียนตะวันได้ทีก็เลยแกล้งเพื่อนๆ เสียเลย ทุกคนร้องประท้วงเป็นเสียงเดียวกัน เทียนตะวันจึงหัวเราะร่วนไม่ถึงสาเพื่อนสาวที่อยากรู้เรื่องส่วนตัวของเธอ
“แกะเถอะนะ เธอจะเก็บไว้ในกล่องแบบนี้ไม่ได้ เธอต้องแกะให้พวกเราดู” สโรชาลุกขึ้นยืนเท้าสะเอว
“อุ๊ย! ระวังช้างจะล้มทับนะเทียน” มาลัยรัตน์และชมัยพรหัวเราะคิก สโรชาจึงทำท่าแยกเขี้ยวใส่เพื่อน
เทียนตะวันแกะกล่องของขวัญที่นพดลมอบให้ โดยไม่บอกเพื่อนว่าได้มาจากใคร ภายในเป็นผ้าพันคอสีสวย
“ผ้าพันคอ” มาลัยรัตน์ทำหน้าตกใจ
“แล้วทำไมเธอต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยยัยมะละกอ” ชมัยพรสงสัย
“เปล่าหรอก แค่จะบอกว่าคนให้นี่เชยชะมัด”
“คนให้คงเห็นว่าอากาศหนาวแล้ว มองโลกในแง่ดีหน่อยเถอะเพื่อน”
“ฉันก็ไม่ได้มองโลกในแง่ร้านหรอกนะ เพียงแต่คิดว่าสมัยนี้เขาไม่นิยมให้กันแล้ว”
“เธอคนเดียวล่ะสิยัยมะละกอ ฉันก็เห็นคนอื่นให้กันเกลื่อน”
“เลิกเถียงกันได้แล้วพวกเธอ จะเป็นอะไรฉันก็ชอบทั้งนั้นล่ะ” เทียนตะวันบอกยิ้มๆ คิดถึงคนให้ผ้าพันคอ แล้วคิดถึงคนให้สร้อยเพชร สองคนนี้ให้ของมีมูลค่าต่างกันลิบลับ แต่เธอไม่แปลกใจหรอก เพราะนพดลคงไม่มีทางให้ของราคาแพงๆ ขนาดนี้ อีกอย่างไม่ว่าใครจะให้อะไร เธอก็ดีใจเหมือนกัน
“จะไม่บอกพวกเราจริงๆ เหรอเทียน ของขวัญชิ้นนี้เจ้าได้แต่ใดมา”
เทียนตะวันส่ายหน้า ขืนบอกไปเพื่อนได้ล้อตายชัก เดี๋ยวก็คงรู้กันเอง เรื่องแบบนี้มันปิดกันไม่ได้หรอก นอกเสียจากนพดลจะไม่พูดถึงมันอีก
“เทียนใจร้าย เพื่อนอยากรู้ใจจะขาด”
เทียนตะวันยังคงส่ายหน้าเช่นเดิม
“แล้ว...คุณลุงของเธอ ไม่ส่งอะไรมาให้เหรอเทียน” สโรชาถามขึ้น มาลัยรัตน์มองหน้าสโรชาก่อนจะมองเทียนตะวันอย่างใคร่รู้เช่นกัน
“เขามาอวยพรถึงหน้าประตูโน่น” แต่ชมัยพรก็โพล่งความลับออกมา อุตส่าห์จะเก็บไว้ถามเทียนตะวันเงียบๆ ดันหลุดปากออกมาเสียได้
“นี่เธอเห็นด้วยเหรอไม แล้วเป็นไง ผู้ปกครองของยัยเทียนเป็นยังไงบ้าง ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าเลย”
พอมาลัยรัตน์ถาม ชมัยพรก็เลยส่งสายตาเป็นประกายให้เทียนตะวัน อีกฝ่ายแย้มริมฝีปากรอลุ้นว่าชมัยพรจะเห็นอะไรบ้าง
