
บทย่อ
เธอไม่ขยับ ลมหายใจสม่ำเสมอ ความนิ่งงันที่น่าประหลาดใจชวนให้ปลายนิ้วลากต่ำลงมายังต้นคอระหง นิ่ง...เหมือนคนนอนหลับสนิท ปลายนิ้วซุกซนคืบคลานไปถึงเนินอกที่มันขยับไหวตามแรงลมหายใจ หากจังหวะนั้นกลับผิดเพี้ยนเพราะปลายนิ้วสัมผัสยอดอกที่มันแข็งขึ้นกว่าเดิม จักรพรรดิไม่อาจดึงมือของตนออกจากความงามนั้นได้ เขาแทบหยุดหายใจเมื่อรู้ว่าเทียนตะวันไม่ได้หลับอย่างที่คิด เธอเพียงแต่รอ รอ รอรสสัมผัสจากเขา...
บทที่ 1 ส่งหลานไปเรียนต่อ
1
ส่งหลานไปเรียนต่อ
เทียนตะวัน ทรัพย์มั่น ชำเลืองมองผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับงานในหน้าจอคอมพิวเตอร์และเบียร์เย็นๆ เมื่อไรที่จักรพรรดิ เกียรติขจร กลับเข้าบ้าน เมื่อนั้นเธอจะเห็นเขานั่งอยู่ในห้องทำงานพร้อมกับเบียร์แก้วโตเย็นเฉียบ อยู่ในไร่ลุงยักษ์จะไม่แตะของมึนเมา เวลาในไร่คือเวลางานเขาจะทำแต่งาน เคร่งเครียดดุดันกับคนงานทุกคนในไร่ แต่เมื่อกลับขึ้นบ้านเท่านั้น เบียร์เย็นๆ แทบจะไม่ห่างกาย มีแก้วแรกก็ย่อมมีแก้วที่สอง
สาวน้อยวัย 20 ปี ทอดสายตามองแก้วเบียร์เย็นเฉียบกระทั่งลุงยักษ์ยกขึ้นดื่มอึกๆ จนพร่องไปครึ่งค่อนแก้ว เธอจึงเดินไปหาตู้เย็นเพื่อหยิบเบียร์ออกมาอีกขวด เทียนตะวันเปิดฝาแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของจักรพรรดิ ชายวัย 48 ปี เงยหน้ามองทันทีที่เห็นเรียวขาขาวก้าวเข้ามา เขาเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูงเป็นคำถามเมื่อเห็นขวดเบียร์ในมือหลานสาว
“เทียนมาเติมเบียร์ให้ลุงค่ะ” เด็กสาวบอกพร้อมคว้าแก้วกระดกขวดรินเบียร์ใส่แก้ว
“อนาคตคงได้เป็นเด็กเชียร์เบียร์” จักรพรรดิพูดแซวเล่นๆ แต่เด็กสาวคิดจริงจัง ใบหน้างามจึงงอง้ำ
“ทำไงได้ล่ะคะ เทียนมันคนไม่มีอนาคตอยู่แล้วนี่ งานอะไรทำแล้วได้เงิน เทียนก็ทำหมดล่ะค่ะ” เธอประชดตอบ
“ฉันพูดเล่น”
“ไม่จริง ลุงยักษ์พูดจริง สีหน้าลุงบอกว่าพูดจริงคิดจริง”
“หึ เธอนี่มันยอกย้อนตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว เลิกทำนิสัยนี้ได้แล้วเทียน โตแล้ว” คราวนี้เขาจึงเอ็ดจริง
“เทียนยังเด็ก อายุน้อยกว่าลุงยักษ์ตั้ง 28 ปี จะว่าไปไม่บอกอายุคงนึกว่า 60 คนอะไร้หน้าไปไกลกว่าอายุเยอะเลย”
“เทียนตะวัน! เดี๋ยวเถอะ” จักรพรรดิลุกขึ้นยืนเงื้อมือขึ้นเหมือนจะตีเด็ก เทียนตะวันแล่บลิ้นปลิ้นตาส่ายหน้าไปมาแล้ววิ่งปรู๊ดหนีไปดื้อๆ ทิ้งให้คนเป็นลุงต้องส่ายหน้าอย่างระอา
จักรพรรดิวางมือจากงานเมื่อคิดถึงอนาคตของหลานสาว เทียนตะวันเป็นลูกของน้องชายร่วมสาบาน เธอโชคร้ายต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไปพร้อมกันในคราวเดียวจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เขาจึงรับเธอมาเลี้ยงดูตั้งแต่ 7 ขวบ จนตอนนี้ 20 ปีแล้วเทียนตะวันก็ยังทำตัวเป็นเด็กวันยังค่ำ
เทียนตะวันเลือกเรียนสายอาชีพเพื่อจะคว้าโอกาสได้งานทำเร็วกว่าคนที่ต้องเรียนจบปริญญาตรี เธอเรียนจบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงแล้ว แต่จักรพรรดิเห็นว่าควรจะให้เธอเรียนจนจบปริญญาตรี พอพูดถึงเรื่องนี้กับเธอทีไร เด็กแสบนั่นก็มักจะปฏิเสธเสียงแข็ง
‘เทียนไปสมัครงานไว้หลายที่แล้วค่ะ เทียนไม่อยากเรียนต่อแล้ว แค่นี้ก็ทำลุงยักษ์กระเป๋าแบนไปมากโข’
‘พูดมาก ฉันมีปัญญาส่งเธอเรียน เธอมีหน้าที่เรียนก็เรียนให้จบ ปริญญามีแต่คนอยากได้ เธอเป็นคนประเภทไหนไม่อยากกอดใบปริญญาเลยหรือไง’
‘เรียนจบปริญญาตรีก็ใช่ว่าจะออกมาแล้วมีงานรองรับนี่คะ’
‘ถ้าพ่อแม่เธออยู่คงผิดหวังในตัวเธอมากนะเทียนตะวัน’
‘ลุงอย่าเอาพ่อกับแม่มาอ้างเลยค่ะ เทียนไม่อยากเรียนต่อ จบข่าว’
จักรพรรดิคิดถึงเด็กนั่น ทำไมถึงไม่อยากมีอนาคตดีๆ ก็ไม่รู้ อริสราและติณณ์ แม่กับพ่อของเธอคงต้องเสียใจแน่ๆ มือใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ รอไม่นานก็มีเสียงหวานตอบกลับมา
“สวัสดีค่ะคุณยักษ์ มีอะไรให้นีน่าช่วยหรือคะ”
นีน่าคือผู้หญิงที่ใครๆ ก็มักจะคิดว่าเป็นแฟนเขา ซึ่งมันไม่จริงเลย จักรพรรดิไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับนีน่า ต่อให้เธอจะสวยหยาดฟ้ามาดินแค่ไหนก็ตาม
“ผมอยากส่งเทียนตะวันไปเรียนต่อ”
“คุณเคยบอกว่าเทียนตะวันไม่ยอมเรียนต่อนี่คะ”
“ใช่ แต่ผมจะบังคับเธอเอง คุณช่วยติดต่อมหาวิทยาลัยดีๆ เสียเงินเท่าไหร่ผมจ่ายไม่อั้น ขอแค่ให้เทียนได้เรียนต่อจนจบปริญญาตรี ผมอยากให้พ่อกับแม่ของแกดีใจ”
“ได้ค่ะ แล้วนีน่าจะดูให้นะคะ”
“ขอบคุณครับนีน่า ไม่รบกวนแล้วครับ”
“อะไรกัน นีน่าหมดประโยชน์เร็วจังเลยนะคะ”
“ผมแค่ไม่อยากรบกวนคุณ นี่มันก็ค่ำแล้ว เอ่อ...คุณกินข้าวเย็นหรือยังครับ”
ไม่รู้ว่าปลายสายตอบอะไร คนแอบฟังก็ยกมือปาดน้ำตาที่ไหลลงมาด้วยความเสียใจ
เทียนตะวันไม่อยากเรียนต่อ เธออยากช่วยงานจักรพรรดิให้สมกับที่เขาเลี้ยงดูมา เธอไม่อยากเป็นภาระให้เขาอีกแล้ว แต่ทำไม...ทำไมเขาจึงเอาแต่จะขับไล่ไสส่งเธอไปให้ไกลๆ เหมือนต้องการกำจัดเธอออกไปให้พ้นทางความรัก ใครๆ ก็รู้ลุงยักษ์ของเธอคบหาดูใจกับคุณนีน่า บางทีที่ส่งเธอไปเรียนต่อคงเพราะไม่อยากให้เธอเป็นก้างขวางคอความรักของเขากระมัง
สาวน้อยเดินกลับขึ้นห้องด้วยสภาพเหมือนหมาง๋อย ถ้าเขาอยากให้ไปเธอจะไป
แต่...
จักรพรรดิออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าขนหนูพันท่อนล่างหมิ่นเหม่ ด้วยไม่คิดว่าจะต้องเจอใครบางคนนั่งอยู่บนปลายเตียงนอนของเขา
“เข้ามาทำไมกันเทียน ถ้ามีเรื่องจะคุยกับฉัน ออกไปรอข้างนอกก่อนเดี๋ยวแต่งตัวเสร็จแล้วจะตามลงไป”
“เทียนขอคุยด้วยแป๊บเดียวค่ะ” อย่าว่าแต่สภาพของจักรพรรดิเลย สภาพของเทียนตะวันในชุดนอนบางเบามันชวนให้เขาลอบกลืนน้ำลายเป็นว่าเล่นจนรู้สึกคอจะแห้งผากเอาดื้อๆ
“ไปคุยกันข้างนอก เป็นสาวแล้วไม่รู้หรือไงว่าอะไรควร อะไรไม่ควร”
“ลุงยักษ์อุ้มเทียนตั้งแต่ 7 ขวบ จนตอนนี้ 20 แล้ว 14 ปีที่อุ้มเทียนมา คงไม่คิดอะไรแบบนั้นกับเด็กที่ลุงอุ้มหรอกมั้งคะ”
จักรพรรดิจะไม่นึกอยากตีเทียนตะวันถ้าเด็กสาวจะไม่สาวเท้าเข้ามาหา และนั่นก็ทำให้ร่างใหญ่ถอยกรูด ไม่ได้กลัวแต่...แต่...เกรงจะทำไม่ดีกับหลานสาวของตัวเอง
“ลุงยักษ์ทำท่าเหมือนกลัวเทียนเลย”
“ไม่ได้กลัว” เขาตอบทันควัน “แต่แบบนี้มันไม่ดี ถ้าใครรู้เข้าเธอนั่นแหละจะเสียหาย” พูดไปก็ถอยหลังไปจนชนเข้ากับตู้หนังสือ
“เราเป็นลุงกับหลาน ใครจะว่าได้ล่ะคะ” เทียนตะวันยังคงสาวเท้าเข้าหา แต่พอจักรพรรดิหมดทางหนีก็ยกมือทั้งสองข้างดันบ่าเล็กๆ ของเธอไว้พร้อมกับถอนหายใจระรัว
“เธอไม่ใช่หลานแท้ๆ” พยายามเปล่งวาจาออกมาทั้งที่ลมหายใจกำลังติดขัด ปลายนิ้วชะงักลื่นลงมาตามชุดนอนผ้าลื่นบางเบา
ให้ตายสิ!
มือทำไมไม่เหนียวเลยวะ?
มะ...มันลื่นจนตกลงมาจะถึงเนินเนื้อของเธออยู่แล้ว!!
จักรพรรดิพยายามขืนมือเอาไว้ให้อยู่ที่เดิม ถ้าเขาปล่อยมือจากร่างบาง แน่นอนเทียนตะวันต้องขยับเข้าหาอีกแน่ เด็กนี่กำลังคิดอะไรอยู่นะ อายุก็ 20 ปีแล้ว น่าจะรู้ไม่ควรเข้าใกล้ผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่พ่อน้องแท้ๆ ของตัวเอง
“ลุงไม่ต้องกลัวเทียนหรอกค่ะ เทียนเข้ามาก็เพื่อจะบอกว่า...” เทียนตะวันหุบปาก คล้ายกำลังทำลายความลังเลที่มีอยู่เต็มหัวใจ
“จะบอกอะไรก็พูดมาเถอะ”
คนอย่างจักรพรรดิไม่เคยเกรงกลัวใคร แต่กับเทียนตะวันแล้วเขาต้องสร้างกำแพงกั้นระยะห่างไว้ให้สูง ไม่ได้ป้องกันอันตรายจากใครนอกจากตัวเอง
เทียนตะวันช้อนตากลมขึ้นมองเขา ในแววตาของจักรพรรดิฉายความงุนงงระคนความหวั่นใจ มันบอกเป็นนัยๆ ว่าเธอควรจะตัดใจกับบางสิ่งบางอย่างที่คอยแต่จะเต้นกระหน่ำรุนแรงอยู่ในนั้น
“ถ้าลุงอยากให้เทียนเรียนต่อจริงๆ เทียนก็จะเรียนค่ะ”
สาวน้อยถอยหลังอย่างตัดสินใจ ทว่ามือของจักรพรรดิยังไม่ตกลงข้างตัว แถมเท้าของเขาก็ยังขยับเข้าหาเธออีกด้วย ใบหน้ารูปหัวใจนั้นแสนเศร้า จักรพรรดิเห็นแล้วก็อดสงสารเธอไม่ได้ จากที่จับบ่าเล็กเอาไว้ก็เลื่อนขึ้นมาประคองต้นคอระหงแทน
“ฉันทำเพื่ออนาคตของเธอเทียนตะวัน ฉันอยากให้เธอเห็นว่า สิ่งที่ฉันมอบให้คือเรื่องดีๆ ใครๆ ก็ต้องการมันทั้งนั้น ถึงแม้จะเรียนจบออกมาไม่มีงานทำ เธอจะมานอนเกาะฉันอยู่กับบ้านก็ได้ฉันไม่ว่า แต่ถ้าวันหนึ่งเธอไม่มีฉัน วันนั้นเธอจะเห็นค่าของการเรียนสูงๆ”
“แล้วถ้าเทียนความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอดล่ะคะลุง ลุงไม่กลัวจะเสียเงินเปล่าหรือ”
“เธอคิดว่าฉันเป็นใคร เป็นตาสีตาสาไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีเงินพอจะส่งเธอเรียนหรือไง เงินน่ะฉันไม่เสียดายถ้ามันจะสร้างอนาคตให้เธอ” ปลายนิ้วหัวแม่มือของเขาเกลี่ยไปบนสันกรามเรียวๆ ของเธอ เทียนตะวันหลับตาเอียงคอให้แก้มนุ่มได้สัมผัสปลายนิ้วหยาบกระด้างของเขา
“แต่เทียนอยากอยู่กับลุงยักษ์นี่คะ” แพขนตางอนเช้งกระพือขึ้นมายามที่เทียนตะวันเปิดตากว้าง มือเล็กยกขึ้นจับท่อนแขนแกร่งที่มีเส้นขนเรียงเป็นแนวไม่หนาจนดูน่ากลัว
“ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงอนาคตของเธอ หรือเรียนจบแล้วเธอจะไปอยู่ที่อื่น” คนพูดชะงักก่อนส่ายหน้าไปมา “ไม่หรอก ยังไงเธอก็ต้องกลับมาอยู่กับฉัน”
“ลุงอยากให้เทียนกลับมาหรือเปล่าล่ะคะ” น้ำเสียงหวานดังแผ่วอยู่แค่เรียวปากสีชมพู จักรพรรดิหลุบตามองเรียวปากเป็นกระจับแสนสวย ก่อนจะตัดใจละสายตาขึ้นสบนัยน์ตากลมที่เจือความเสียใจ
“อยากสิ ฉันเลี้ยงเธอมา 14 ปี จะไม่ให้ผูกพันเลยได้ยังไง แต่เธอต้องไปเพื่ออนาคต”
“ก็ได้ค่ะ ถ้าลุงอยากให้เทียนไปนัก เทียนก็จะไป”
จักรพรรดิเป่าปากดีใจแต่ยังไม่ทันไร คิ้วเข้มๆ ก็ต้องขมวดมุ่นเมื่อได้ยินประโยคถัดไปของเธอ
“ลุงยักษ์ช่วยส่งเทียนไปเรียนไกลๆ นะคะ”
“ทำไมต้องไปไกล” เขาถามต่อ รู้สึกเหมือนกำลังเล่นต่อประโยคกับเธออยู่
“ถ้าอยากให้เทียนเรียนจบ ให้เทียนอยู่หอสิคะ เทียนจะได้มีสมาธิในการเรียน เทียวไปเทียวกลับเดี๋ยวเทียนก็เสียผู้เสียคน เพราะไม่แน่ อย่างเทียนอาจจะได้ผู้ชายตามรับตามส่งก็ได้ เทียนออกจะสวย” เทียนตะวันหมุนตัวจนชายชุดนอนพลิ้วไหว
“ถ้าอยากมีผัว ต่อให้อยู่บ้านหรือหอพักก็หาผัวได้ทั้งนั้น ฉันส่งเธอไปเรียน ไปสร้างความภูมิใจให้พ่อแม่ของเธอ แต่ถ้าเธอไม่รักดีอยากท้องก่อนแต่งก็เชิญ”
จักรพรรดิพูดจบก็เดินหนีแบบฉุนๆ เทียนตะวันอ้าปากหวอ แค่อยากประชดไม่ใช่จะทำจริงเสียหน่อย เธอคงไม่มีใจมอบให้ใครได้อีกแล้ว ก็หัวใจทั้งดวงของเธออยู่ที่ลุงยักษ์คนนี้ตั้งนานแล้ว
“ลุงยักษ์ขา เทียนพูดเล่น” เธอดึงแขนเขามากอดรัดไว้อย่างออดอ้อน ทรวงอกอิ่มกำลังเสียดสีโดยที่เจ้าตัวไม่ทันระวัง แต่นั่นไม่ได้ทำให้จักรพรรดิเสียสติที่ครองมั่นไว้แต่แรก เขาหันกลับมาปลดมือออกจากท่อนแขน ดันร่างบางออกห่างจนสุดแขน
“แต่ฉันพูดจริง ถ้าเธออยากไปเรียนไกลๆ ฉันจะส่งไปตามที่เธอต้องการ และขอให้เธอตั้งใจเพียงเรียนให้จบเพียงอย่างเดียว ถ้าทำให้พ่อกับแม่เธอไม่ได้ ก็คิดซะว่าทำเพื่อฉันแล้วกัน”
พอจักรพรรดิเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง เทียนตะวันก็ต้องเงียบไร้ข้อโต้แย้ง ถ้าเป็นเวลาปกติลุงยักษ์ของเธอจะดุด่าว่ากล่าวอย่างผู้ชายปากร้าย แม้กระทั่งหลานอย่างเธอก็ไม่เคยยกเว้น มีแค่ 2-3 ให้หลังมานี่ที่เขาพูดดีกับเธอ นี่คือพูดดีไม่มีคำหยาบคายแล้วนะ แต่เทียนตะวันชอบให้เขาหยาบคายเหมือนตอนปกติมากกว่า แบบนี้มันเหมือนเขาคิดวางแผนการอะไรบางอย่างกับเธอ แล้วแผนการนั่นก็คือส่งเธอไปเรียนต่อ
เทียนตะวันไม่อยากเรียนทั้งที่เธอเรียนดีเรียนเก่ง ได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.50 แต่ไม่อยากเรียนต่อเพราะอยากช่วยงานในไร่ งานบัญชี งานเอกสาร หรือแม้แต่ออกไปตากแดดตากลมก็ไม่เกี่ยง เธออยากอยู่ใกล้ๆ เขา ผู้ชายที่เป็นที่พึ่งเดียวของเธอ ผู้ชายที่เคยอุ้มชูเธอจนสุดปลายแขนแล้วเหวี่ยงไปรอบๆ เธอไม่อยากห่างเขาไปไหนอีก
“ค่ะ เทียนจะตั้งใจเรียนให้จบ จะไม่ทำให้ลุงยักษ์ผิดหวัง”
“แล้วถ้าเธอทำเพื่อพ่อกับแม่แทนเพื่อฉันได้จะดีมาก แต่เอาเถอะ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”
แทนคำขอบใจ จักรพรรดิดึงตัวเทียนตะวันเข้ามากอด สาวน้อยไม่ทันตั้งตัวก็เบิกตากว้าง แม้จะตระหนกในนาทีแรกแต่นาทีต่อมาเทียนตะวันก็กางแขนกอดร่างหนาของผู้เป็นลุงแน่น เธอคิดถึงอ้อมกอดนี้เหลือเกิน กี่ปีแล้วนะที่เขาไม่ได้กอดเธอแน่นแบบนี้ ตั้งแต่อายุ 15 ปีเห็นจะได้กระมัง ใบหน้างามซุกซบอกอุ่นเอาหูแนบหัวใจฟังเสียงเต้นเป็นจังหวะ น่าขันที่มันไม่ได้เต้นจังหวะเดียวกับหัวใจของเธอ
“ตั้งใจเรียนนะเทียนตะวัน อย่าทำให้ฉันผิดหวังในตัวเธอ”
“ค่ะลุง”
เทียนตะวันตอบรับเสียงหนักแน่น ไม่ต้องบอกเธอก็ไม่คิดจะทำตัวเหลวไหลให้เปลืองเงินทองของเขาโดยใช่เหตุอยู่แล้วล่ะ
ภายในหอพักของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ร่างบางซอยเท้าลงบันไดด้วยความเร็วชนิดล้มไม่ต้องลุกไถลลงมาเลยทีเดียว 5 เดือนแล้วที่เธอออกมาจากไร่ชาของลุงยักษ์เพื่อมาเรียนต่อตามความต้องการของเขา วันนี้คือวันที่เธอมีความสุขมากๆ เมื่อรู้ว่ามีพัสดุส่งมาถึงเธอ ผู้ดูแลหอพักโทร.ภายในเรียกให้ลงไปรับ เหลือบันไดเพียง 3 ขั้น เทียนตะวันก็กระโดดข้ามลงไปไม่หยุดหอบหายใจ วิ่งต่อไปยังห้องผู้ดูแลหอพักทันที
“ปะ...ป้า...ป้าชื่นจ๋า” พอไปถึงเท่านั้นแหละ แทบส่งเสียงออกไปไม่เป็นภาษา เพิ่งรู้สึกว่าการวิ่งลงบันไดตั้งแต่ชั้น 6 ลงมาจนถึงชั้นล่างสุดก็เหนื่อยเหมือนกัน พูดไปหอบไปยื่นมือยื่นไม้แบออกรับกล่องพัสดุ
“นี่ถึงขั้นวิ่งลงมาเลยหรือจ๊ะหนูเทียน”
“ค่ะ...ค่ะ...ป้า...ป้าชุ่มคะ ขอพัสดุให้เทียนด้วยค่ะ แฮ่กๆ”
ชุ่มชื้นคนดูแลหอพักเห็นแก้มที่เต็มไปด้วยเลือดฝาดกับปลายจมูกที่ฉ่ำไปด้วยเหงื่อก็ยิ้มกว้าง ชอบอุปนิสัยใจคอของเทียนตะวันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เห็นแบบนี้ก็ยิ่งน่าเอ็นดู
“สงสัยหนูเทียนจะรอมานานแล้วสิจ๊ะ ของใครน้อ ใครกันที่ทำให้หนูเทียนต้องวิ่งลงบันไดเสี่ยงขาแข้งหัก หัวร้างข้างแตกเพื่อมารับ มันคงสำคัญมากสิจ๊ะ” ชุ่มชื้นก้มลงไปหยิบกล่องพัสดุสีขาวขึ้นมายังไม่ส่งให้
“ป้าชุ่มจ๋า เทียนยังไม่รู้เลยจากใคร ไม่รู้จะใช่จากคนที่เทียนรอหรือเปล่าค่ะ แต่ไม่ว่าจะจากใครที่ส่งมาให้คนอยู่หอพักตลอด 5 เดือนไม่ได้กลับบ้าน เทียนก็ควรจะดีใจมากไม่ใช่หรือคะ”
“ป้านึกว่าจากคนสำคัญเสียอีก”
“คนที่ส่งกล่องนี้มาให้เทียนต้องสำคัญสำหรับเทียนแน่ๆ ค่ะ เพราะเทียนดีใจมาก มันบอกว่าเทียนไม่ต้องโดดเดี่ยวเพียงลำพังอีกแล้ว” คนพูดยิ้มแป้น รอรับกล่องพัสดุชิ้นสำคัญด้วยความหวังจะเป็นของขวัญจากเจ้าของไร่ชาภูจักรพรรดิ
“งั้นก็เอาไปเลยจ้ะ ปิดเทอมแล้วเพื่อนๆ กลับบ้านเสียส่วนใหญ่ หนูเทียนอาจจะเหงา”
เทียนตะวันรับกล่องพัสดุใบโตแต่น้ำหนักเบามาถือไว้ เธอยิ้มน้ำตาคลอเมื่อเห็นโลโก้สัญลักษณ์ไร่ชาภูจักรพรรดิ ต่อให้ของชิ้นนี้เป็นของป้าน้อยหาใช่จากคนที่เธอรอ เทียนตะวันก็ดีใจมากๆ
“ขอบคุณมากนะคะป้าชิ้น เทียนขอไปแกะดูก่อนนะคะ”
“จ้ะหนูเทียน”
เทียนตะวันไม่ได้วิ่งขึ้นบันได แต่กอดกล่องพัสดุก้าวขึ้นทีละขั้นอย่างมั่นคง เพราะกล่องใหญ่แม้จะน้ำหนักเบาก็ถือเดินขั้นบันไดทีละขั้นค่อนข้างลำบาก กระทั่งเข้าไปในห้องพักสาวน้อยก็กระโดดขึ้นเตียงรีบแกะกล่องพัสดุโดยเร็ว
“โหย...กล่องเบ้อเริ่มเลย อยากรู้จักข้างในเป็นอะไร”
คนพูดคือยัยมะละกอ หรือมาลัยรัตน์ เพื่อนสนิทที่รู้จักกันตอนเรียนที่นี่ ทั้งคู่เป็นรูมเมดและยัยมีชมัยพรกับสโรชาร่วมห้องเดียวกัน ในห้องค่อยข้างกว้างมีเตียงนอน 2 ชั้น 2 สำหรับคน 4 คน ตรงกลางเป็นโต๊ะเขียนหนังสือหันหน้าชนกัน 4 ตัว ตู้เสื้อผ้าจะวางอยู่ปลายเตียงมีเพียง 2 ใบ ซึ่งต้องแบ่งกันใช้ ตอนนี้ชมัยพรกับสโรชากลับบ้านในช่วงปิดเทอม จึงเหลือแค่มาลัยรัตน์และเทียนตะวันที่อยู่เฝ้าห้อง
เทียนตะวันไม่กลับบ้านไร่เพราะกลัวกลับไปแล้วจะไม่อยากกลับมาเรียน ดูเป็นคนไม่รักเรียนเลยสินะ ใช่...เทียนตะวันไม่รักเรียน แต่ตั้งใจเรียนและสอบได้คะแนนดีทุกวิชา เพียงแต่ถ้าต้องเลือกระหว่างการเรียนกับลุงยักษ์ เธอเลือกลุงยักษ์มากกว่า ใครจะไม่เข้าใจก็ช่าง ไม่เป็นเธอก็คงไม่มีทางรู้ 14 ปีที่ผ่านมา ชีวิตของเทียนตะวันมีแต่ลุงยักษ์เพียงคนเดียว เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเธอ คือความผูกพัน คือความรัก คือความเป็นห่วง ซึ่งทุกอย่างนั้นพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ พอรู้ตัวก็แยกไม่ออกเสียแล้ว
ส่วนมาลัยรัตน์มีพื้นฐานครอบครัวคล้ายเทียนตะวัน ผิดกันตรงที่มาลัยรัตน์อยู่กับตายายซึ่งมีอาชีพเป็นเกษตรกร ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนจักรพรรดิ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาลัยรัตน์ใช้จ่ายจึงมีค่าต่อเธอมาก
“เดี๋ยวรู้” เทียนตะวันแกะกล่องใบโตออก สิ่งที่อยู่ข้างในก็คือตุ๊กตาหมี เธอเอียงคอมองทำหน้าประหลาด แล้วเกือบจะโยนทิ้ง ด้วยความหงุดหงิดเพราะคิดว่าคนให้เห็นเธอเป็นเด็กไม่รู้จักโต แต่จู่ๆ ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลขนฟูฟ่องนั่นก็ส่งเสียงบางอย่าง
“ตั้งใจเรียนนะ ตั้งใจเรียนนะ”
เทียนตะวันคว้าหมีนุ่มกลับมาแล้วหาปุ่มที่จะทำให้มันส่งเสียง
“บีบตีนหมีหรือเปล่า” มาลัยรัตน์พูดขึ้น
“มะละกอรู้ได้ไง” เทียนตะวันเลิกคิ้ว
“แสดงว่าเธอไม่ค่อยดูทีวีล่ะสิ”
“หืมม์...” เทียนตะวันเอียงคอไปทางซ้าย เบือนสายตามอง ‘อุ้งตีนหมี’ แล้วลองใช้มือบีบอุ้งเท้านุ่มๆ ของมัน
“ตั้งใจเรียนนะ ตั้งใจเรียนนะ” เสียงดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากสีชมพูแย้มกว้างเป็นรอยยิ้มดีใจ
“ดีใจใหญ่เลยนะเทียน ใครกันนะที่ส่งเจ้านี่มาให้เธอ คนที่ส่งมันมาต้องเป็นคนโรแมนติกมากๆ แน่ หรือว่า...จะเป็น...แฟน!” มาลัยรัตน์แกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เทียนตะวันเบิกตากว้างพลางส่ายหน้าแก้มแดงระเรื่อ
“ไม่ใช่ๆ เขาคือ...”
“ใคร บอกมาเร็วๆ สิเทียน อย่ามัวอมพะนำอยู่เลย ฉันล่ะอยากรู้จะแย่ ใครนะที่ทำให้เธอหน้าบานเป็นกระด้งแบบนี้ได้”
“ลุงฉันเอง คนที่เลี้ยงฉันมาตั้งแต่ 7 ขวบ”
เทียนตะวันนึกถึงตอนเธออายุ 8 ขวบ หลังจากที่ขาดพ่อและแม่ก็ใช้ชีวิตอยู่กับลุงยักษ์ตามยถากรรม
‘กอเอ๋ยกอไก่ ขอไข่อยู่ในเป้า ฃอขวดของลุง คอควายอยู่บนหัว ฅอคนขี้โมโห ฆอระ...’
‘หยุดๆ นี่เธอ 8 ขวบแล้วยังท่องกอไก่ถึงฮอนกฮูกไม่ถูกอีกเรอะ’ เสียงดังมาก่อนตัวจะออกจากห้องในสภาพมีแต่กางเกงนอนขายาวตัวเดียว หัวหูยุ่งเหยิงของคนเพิ่งตื่นนอนกับสีหน้าและแววตาเอาเรื่องไม่ได้ทำให้เด็กน้อยวัย 8 ขวบคอย่น แต่เทียนตะวันกลับยิ้มแฉ่งได้อย่างกวนอารมณ์
‘จำง่ายดีนี่คะ’
‘จำง่ายกะผีอะไร อย่ากวนประสาทฉันแต่เช้านะเทียนตะวัน’
‘ก็ความจริงทั้งน้านนน เลยจำง้ายง่าย’
‘นี่เธอหลอกด่าฉันทั้งหมดเลยใช่มั้ย’ แว่บเดียวจักรพรรดิก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหญิงตัวน้อยสูงยังไม่ถึงเอวดีเลย เธอตั้งเงยหน้าแทบจะหงายหลัง พอถอยหลังก็ถูกลุงยักษ์สมชื่ออุ้มขึ้นสูง
‘ลุงยักษ์คิดมากไปหรือเปล่าคะ คิดมากแก่เร็วนะคะ คุณครูสอน’
‘ฉันจะไปเผาโรงเรียนบ้านั่นทิ้งเดี๋ยวนี้ โทษฐานที่สอนหลานฉันผิดๆ’
‘แต่เรื่องท่องกอไก่แบบนี้เป็นความคิดเทียนเองค่ะ’ เด็กน้อยแกว่งเท้าไปมาแถมยังยิ้มกว้างอวดฟันขาว
‘นั่นไง ไม่มีใครสอนเด็กด้วยการให้ท่องผิดเพี้ยนแบบนี้ การท่องกอไก่ถึงฮอนกฮูกต้องท่องให้คล้องจองกัน เด็กจะได้จำได้ง่าย นี่อะไรเด็กบ้า’
‘ก็แบบนี้เทียนจำได้ เทียนเห็นทุกวันนี่คะ ลุงยักษ์ใส่กางเกงแต่ไม่ใส่กางเกงใน ลุงยักษ์ชอบดื่มเหล้า ลุงยักษ์ก็ขี้โมโหด้วย’
‘แล้วไอ้คอควายอยู่บนหัวนี่มันหมายความว่าอะไร ถ้าเธอไม่ได้ด่าฉันเป็นควาย’
‘อย่าร้อนตัวสิคะลุงยักษ์ คอควายเทียนไม่ได้หมายถึงลุงยักษ์ซะหน่อย เทียนหมายถึงคนโง่ต่างหากไม่ใช่คนบ้า’
‘หน็อย...เทียนตะวัน! ถ้ารู้ว่าเธอจะเป็นแบบนี้ ฉันไม่เอาเธอมาเลี้ยงแน่ๆ’
เทียนตะวันหน้าจ๋อยไปเลย จักรพรรดิเห็นแต่ทำเป็นโมโหวางร่างเล็กที่เดิม เขาหันหลังให้ไม่อยากเห็นภาพหมาน้อยหน้าเสีย แต่ใจก็กังวลกลัวว่าเด็กน้อยจะคิดมาก เขาปากเสีย และช่วยไม่ได้ เธอวอนหาเรื่องเอง
‘แต่เทียนไม่มีใคร เทียน...เทียนรักลุงยักษ์นะคะ’
วงแขนเล็กๆ กอดสะโพกจักรพรรดิเท่าที่เด็กน้อยจะทำได้ แต่ชายหนุ่มกลับคิดว่านี่คงเป็นเวรกรรม เพราะอ้อมกอดเล็กๆ ที่โอบไม่รอบลำตัวเขา แถมมือน้อยๆ ก็เกือบจะโดนของรักของหวงใต้กางเกงนอนเข้าแล้ว
เด็กน้อยคงไม่รู้จักมัน
เอ่อ...อาจจะรู้ ไม่งั้นจะท่องขอไข่อยู่ในเป้าได้ยังไง
จักรพรรดิย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้า มองสบตากลมโตคลอน้ำตาใสๆ แล้วดึงหลานน้อยเข้าไปกอดโดยไม่พูดอะไร เทียนตะวันซุกใบหน้าเล็กเข้ากับซอกคออุ่น เด็กน้อยยิ้มหน้าบานเพียงแค่อยู่ในอ้อมกอดของลุงยักษ์ เทียนตะวันก็แสนจะดีใจแล้ว
นี่ยังไม่ใช่ความรักในเชิงชู้สาว แต่เป็นความรักที่เด็กตัวน้อยๆ คนหนึ่งจะมอบให้ผู้ปกครองของเธอไม่ต่างอะไรกับความรักที่มอบให้พ่อกับแม่
ทว่า...ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันคันยิบๆ ในหัวใจ ความรักความเคารพกลายเป็นความรักหอมกรุ่นที่กำลังผลิบานอยู่ในหัวใจของสาวน้อย
“นี่เทียน เธอมัวแต่เหม่อลอยคิดถึงใครกัน ฉันถามว่าคุณลุงของเธอคงจะยังหนุ่มมากสินะ” มาลัยรัตน์เดา ลองวาดใบหน้าคุณลุงของเทียนตะวัน
“48”
“หนัก 48 เองเหรอ ผอมมากเลยนะนั่น”
“อายุ 48 ไม่ใช่น้ำหนัก”
“ห๊า!!! เป็นพ่อได้เลยนะเทียน” ภาพในมโนของมาลัยรัตน์แตกโพละ “แต่คงหน้าตาดี สะอาดสะอ้าน หุ่นนายแบบ เหมือน...คาวบอยปะเทียน”
“อืมม์...” เทียนตะวันแกล้งเคาะนิ้วกับริมฝีปาก “ก็เหมือนอยู่นะ สูงใหญ่ ใส่กางเกงยีนรัดรูป สวมรองเท้าบูธ หนวดเคราเฟิ้ม คิ้วก็ดกไม่แพ้เครา”
“หยุด! แน่ใจนะที่บรรยายมานั่นลุงของเธอ ไม่ใช่ยักษ์”
“ลุงยักษ์ ลุงของฉันชื่อลุงยักษ์” เทียนตะวันอมยิ้มบีบอุ้งเท้าหมีเล่นเพื่อฟังเสียงร้อง แม้เสียงจะเป็นดังเดิมแต่นั่นคือความต้องการที่เขาฝากมาถึงเธอ
“ยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนี้ อย่าบอกนะว่า...” ก็ไม่กล้าคิดหรอกนะ แต่มาลัยรัตน์เห็นแก้มแดงๆ ตาสุกใสของเพื่อนแล้วอดคิดไม่ได้จริงๆ
“อะไร ไม่มีอะไรหรอกน่า เธอน่ะคิดมาก ฉันก็แค่ชอบตุ๊กตาหมีตัวนี้มากเท่านั้นเอง” เพื่อนสาวรีบแก้ตัวเสียงระรัว ทั้งสีหน้าก็ยิ่งแต้มจุดแดงไปทั่วถึงติ่งหู มาลัยรัตน์ไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด เพื่อนของเธอจะต้องคิดไม่ซื่อกับคุณลุงที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่ 7 ขวบแน่ๆ
“เมื่อกี้ยังทำหน้าไม่อยากได้อยู่เลย อย่ามาตู่กันดีกว่า บอกมาไม่ใช่ลุงแท้ๆ ใช่มั้ยเทียน”
“โอ๊ยยย เซ้าซี้อยู่ได้นะยัยมะละกอ ไม่เอาแล้ว หิว...ลงไปหาของกินดีกว่า” เทียนตะวันอัดตุ๊กตาหมีกับซอกเตียงแล้วคว้ากระเป๋าเงินชิ่งหนีเพื่อนจอมเซ้าซี้
“เดี๋ยวสิยัยเทียน! ตอบมาก่อน อย่าหนีนะ!!”
