๔ ช่องว่างของเรา 3
เธอปิดประตูบ้านและหน้าต่างตรวจตราความเรียบร้อยรอบบริเวณค่อยขึ้นห้อง คิดว่าหากเขาถึงบ้านคงจะโวยวายให้ลงมาเปิดเองนั่นแหละ
ขึ้นมาบนห้องนอนจัดที่ไว้สำหรับหลานตัวน้อย ส่วนตนก็นอนข้างกัน เดินไปปิดไฟก่อนล้มตัวลงนอนเพราะเริ่มง่วง หัวถึงหมอนก็เข้าสู่ห้วงนิทราทันที ไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าไหร่รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังลั่นห้อง จึงงัวเงียหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาดูว่าใครโทรมายามดึกดื่น
“สวัสดีค่ะ” เห็นเบอร์โทรที่ไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้ก็นึกสงสัยจึงได้รีบรับสาย
‘พี่หอมแย่แล้วพี่ พอดีพี่แสงแกขับรถลงข้างทาง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล...’ ปลายสายยังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำเธอก็รีบรับคำเสียงดังแล้วลุกจากเบาะนอนทันที หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเมื่อได้ยินข่าวร้ายในยามค่ำคืน ไม่ทันฟังให้จบว่าหน่อยพูดอะไร ใจเธอก็แล่นไปที่โรงพยาบาลแล้ว
“เดี๋ยวพี่จะรีบไป!”
คิดจะลุกออกจากห้องไปหาเขาโดยเร็วที่สุด แต่ลืมไปว่ายังมีหลานนอนหลับอยู่ข้างกัน จะปล่อยให้น้ำพุอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ จำต้องปลุกเด็กน้อยเพื่อไปหาสามีที่โรงพยาบาล มองดูนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว
“พุ พุไปข้างนอกกับน้าก่อน” ปลุกเด็กชายซึ่งกำลังหลับสนิทสบายอุรา
“คับ” งัวเงียลุกขึ้นมานั่งแล้วขยี้ตาตัวเอง ปล่อยให้คุณน้าอุ้มไปตามใจแล้ววางศีรษะบนไหล่ของหอมนวล เธอหยิบของที่จำเป็นใส่กระเป๋ามาสะพายเอาไว้
โรงพยาบาลประจำจังหวัดอยู่ไม่ห่างมากนักขับรถไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว หญิงสาวล็อคบ้านเรียบร้อยก็เร่งมาหาแสงอรุณทันทีด้วยกังวลว่าเขาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต
จอดรถมอเตอร์ไซต์ไว้ที่ลานจอดรถด้านข้างก็รีบเร่งมายังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง สองมืออุ้มหลานชายเอาไว้ก้าวเท้าเข้าไปหาหน่อยที่ยืนรออยู่หน้าห้องพอดี
“พี่แสงอยู่ไหน” ถามถึงสามีที่ประสบอุบัติเหตุ ใบหน้าร้อนรนจนคนอายุน้อยกว่าต้องรีบอธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
“หมอกำลังใส่เฝือกให้อยู่ครับ โชคดีที่ข้างทางเป็นหญ้าเลยไม่เจ็บมากเท่าไหร่ แต่ขาแกพลิกแล้วก็ปวดจนเดินไม่ได้เหมือนจะอักเสบหมอเลยให้ใส่เฝือก แล้วก็มีแผลตามแขนนิดหน่อย ส่วนอื่นไม่เป็นอะไรแค่รอให้สร่างเมา” เมื่อฟังอย่างนั้นเธอค่อยถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่พี่ชายหนูไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ค่อยยังชั่ว” พึมพำความเสียงเบากับตัวเอง
“พี่มายังไง” หน่อยเห็นว่าเธออุ้มหลานตัวน้อยมาด้วยจึงได้ถามเพราะนึกเป็นห่วง
“รถมอเตอร์ไซค์...ขอบคุณมากนะที่พาพี่แสงมาโรงพยาบาล กลับเลยก็ได้เดี๋ยวพี่จัดการที่เหลือเอง” ดูเวลาก็ค่อนข้างดึกแล้วจึงไม่อยากรบกวนคนตรงหน้า
“พี่กลับได้นะ” ถามย้ำอีกครั้งกลัวว่าหญิงสาวจะพาพี่ชายของตนกลับถึงบ้าน แต่ด้วยระยะทางจากโรงพยาบาลไปถึงบ้านของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ไกลมากนัก
“ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก” คนฟังได้ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า
“ผมกลับแล้วครับ สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ลาเธอแล้วเดินไปยังมอเตอร์ไซค์ของตนเองที่จอดอยู่โรงรถ เขาเองก็ง่วงเช่นเดียวกันเมื่อเห็นว่าแสงอรุณมีคนดูแลแล้วค่อยสบายใจ อย่างไรพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดชายหนุ่มคงได้พักโดยมีภรรยาคอยดูแลไม่ห่าง
เหลือเพียงหล่อนกับหลานชายที่อยู่เฝ้าเขา นั่งลงหน้าห้องฉุกเฉินด้วยใจกระวนกระวาย เด็กชายก็ยังหลับคอพับอยู่บนไหล่เล็ก ถึงจะหนักแค่ไหนก็ไม่กล้าปลุกเด็กชาย ทำได้เพียงลูบแผ่นหลังเป็นการกล่อมให้นอน
นั่งรอเกือบสามสิบนาทีจนไม่อาจอดรนทนไหว จึงเดินไปหาพยาบาลที่นั่งประจำจุดซักถามประวัติ ประตูห้องตรวจถูกปิดและมีเพียงหมอพยาบาลถึงจะเปิดได้ คนร้อนใจจึงไม่อาจนั่งอยู่สุข จำต้องเข้าไปสอบถามน้ำเสียงร้อนรน
“ฉันเป็นภรรยาของคนไข้ชื่อแสงอรุณค่ะ ไม่ทราบว่าเข้าไป...” พูดไม่ทันจบก็โดนขัด
“ญาตินั่งรอข้างนอกนะคะ” จำนวนคนเจ็บมีไม่น้อยเพราะเกิดอุบัติเหตุรถชนที่นอกอำเภอซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
หมอพยาบาลจึงเร่งรักษาตัวจนเจ็บ ไม่แปลกที่ชายหนุ่มอาจต้องรอนานหน่อย แต่ตอนนี้เธออยากทราบอาการของเขาว่าเป็นอย่างไรมากกว่า
จำต้องเดินกลับมานั่งที่เดิม เฝ้าคอยมองประตูอย่างใจจดจ่อ กระทั่งเขานั่งรถเข็นออกมาด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ ขาข้างขวาก็มีเฝือกแข็งสีขาวโอบเอาไว้ หล่อนจึงรีบอุ้มหลานแล้วเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
“พี่แสงเป็นยังไงบ้าง” เขาเงยหน้ามองเธอ ก่อนสะดุดกับชุดที่หญิงสาวสวมใส่ เหมือนว่าเธอจะรีบเร่งออกมาหาเขาจนไม่ได้ดูว่าตนใส่ชุดนอนลายการ์ตูนสีหวาน ทำเอาแสงอรุณแอบอมยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนตีสีหน้าขรึมแล้วยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นให้เธอ
“หมอให้เอาใบนี้ไปรับยา” หยิบมาอ่านแล้วพบว่าเป็นใบที่ต้องยื่นในการรับยา เธอจึงพยักหน้ากำลังจะเดินไปห้องยาที่เปิดตลอดเวลา ก่อนพบว่าตนยังอุ้มหลานเอาไว้ในอ้อมแขน จึงได้วางเด็กชายลงบนเก้าอี้ใกล้กับร่างสูง
“ฝากพุหน่อยนะพี่” พูดจบก็รีบไปจัดการทำเรื่องรับยาและจ่ายเงินให้ชายหนุ่ม เพราะมีสิทธิ์จ่ายตรงของข้าราชการจึงไม่เสียเงินสักบาท
ดวงตาคมมองตามหล่อนที่เคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง ดูเป็นการเป็นงานจนเผลอมองอยู่นานพอสมควร ผมยาวสีดำขลับไว้ยาวถึงกลางหลัง ดวงหน้าใสไม่ได้ประทินโฉมยังคงงดงามอยู่เหมือนเดิม เหมือนว่าเขาจะเมาแล้วจริงๆ ถึงได้มองว่าเธอสวย
หอมนวลธรรมดาจะตายไปเมื่อเทียบกับผู้หญิงในเมือง...
“พี่ขึ้นรถไหวไหม” รับยาเรียบร้อยก็ไปขับมอเตอร์ไซค์มาจอดตรงด้านหน้า เด็กชายยืนทำหน้างัวเงียอยู่ข้างกับคนเจ็บ เธอมองเขาก่อนจะหันไปเรียกบุรุษพยาบาลที่เดินผ่านเพื่อช่วยประคองร่างหนาให้นั่งซ้อนหลัง
“ไหว” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ค่อนข้างทุลักทุเลในการขึ้นพอสมควร
ยังดีที่มีบุรุษพยาบาลคอยให้ความช่วยเหลือ เขาจึงสามารถนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ได้ในที่สุด พร้อมกับมีไม้ค้ำยันซึ่งดูแล้วคงไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่แต่เพราะได้มาแล้วก็ต้องนำกลับบ้านด้วย เธอเห็นเขานั่งได้จึงเรียกหลานมานั่งด้านหน้า
“พุนั่งข้างหน้ากับน้านะ นั่งดีๆ ล่ะ” เด็กชายที่ยังคงง่วงก็รีบวิ่งมานั่งด้านหน้าซึ่งเหลือพื้นที่น้อยนิด
“คับ” เมื่อสองหนุ่มนั่งเรียบร้อยแล้วจึงได้เคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาลในยามค่ำคืน บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบแต่สองข้างทางก็เปิดไฟสว่างไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ เธอขับรถค่อนข้างช้าพอสมควรแต่เขาก็ไม่ได้โวยวายเหมือนทุกครั้ง
กลิ่นหอมของผมนุ่มพลอยทำให้ร่างหนารู้สึกเย็นสบายไปด้วย ลมที่พัดมาทำให้ผมเธอถูกใบหน้าของเขา จึงต้องยกมือขึ้นมาทาบผมสวยเอาไว้แล้วแอบดมกลิ่นหอมด้วยความหลงใหล ก่อนดึงสติตัวเองกลับมาเมื่อถึงหน้าบ้าน
ทำไมการเดินทางถึงได้สั้นนัก...
“พี่ลงได้ไหม ให้หอมช่วยประคองนะ” หลานชายลงจากรถเรียบร้อย เธอก็ค่อยลงรถแล้วมาช่วยเขาถือไม้ค้ำยันก่อนถามด้วยความเป็นห่วง แต่คนปากเก่งก็ไม่ยอมให้เธอช่วยทั้งยังมั่นใจว่าตัวเองเดินได้ไม่มีปัญหาแน่นอน
“เฉยเถอะน่า เดินเองได้” ลงจากรถไม่ถึงสองก้าวก็เกือบหน้าคะมำ ภรรยาต้องรีบเข้ามาประคองเอาไว้พร้อมส่งสายตาปรามเขาและได้โอกาสบ่นชายหนุ่ม
“ระวัง! ให้หอมช่วยเถอะ ไม่อย่างนั้นได้เดี้ยงอีกข้างแน่” ใบหน้าคมหันมองหล่อนทันที
“แช่งฉันเหรอ”
“เดินค่ะ ไม่ง่วงหรือไง” ไม่ตอบแต่กลับบังคับให้อีกฝ่ายเดินไปข้างหน้า หากยังพูดกันอีกก็คงต้องทะเลาะถึงเช้าไม่ได้นอนกันพอดี หญิงสาวพาเขาเดินเข้ามานั่งยังโซฟาโดยมีหลานชายตามมองตามไม่ห่าง เธอ
เขานั่งลงบนโซฟาแล้วมองยาที่อยู่ในถุง นึกขยาดไม่อยากกินแต่ก็จำต้องกินตามหมอสั่ง หอมนวลเดินออกไปหยิบไม้ค้ำยันมาวางไว้ข้างกายแสงอรุณเผื่ออีกฝ่ายต้องการใช้ จากนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วง สภาพดูไม่จืดเลย
ผมยุ่งเหยิง ตามหน้าก็มีรอยดินเสื้อผ้าก็เปื้อนโคลนหญ้า ขาก็ใส่เฝือกไว้อีกต่างหาก เธออยากจะห้ามเขาไม่ให้ไปดื่มเหล้าเหลือเกิน คิดไว้แล้วว่าสักวันต้องเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนได้ แล้วก็เป็นจริงตามนั้น
“พี่อาบน้ำเองได้ไหม” ถามเพราะเป็นห่วง หากอาบเองไม่ได้หล่อนก็พร้อมจะช่วยอาบโดยให้เขานุ่งผ้าโสร่งปิดช่วงล่างเอาไว้ แต่ดูเหมือนแสงอรุณจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากหล่อน เขารีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ได้...” พยักหน้าทันทีไม่คิดรบเร้า
“หอมว่าพี่นอนข้างล่างดีกว่า เดินขึ้นลงไม่น่าจะไหว เดี๋ยวหอมจัดห้องให้เองพี่นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ” พูดจบก็ขึ้นไปชั้นบนแล้วหาผ้านวมในตู้ของเขามาปูให้ชายหนุ่มนอนข้างล่าง ทิ้งแสงอรุณเอาไว้กับน้ำพุซึ่งนั่งมองคุณน้าตาปริบ อยากเข้าใกล้แต่ก็ไม่กล้าเหมือนจะพูดอะไรกลับเลือกเม้มปากแน่น
กลายเป็นเขาเองที่ทนไม่ไหวแล้วเอ่ยถาม “มองอะไร” น้ำเสียงเหมือนหาเรื่องเด็กน้อยแต่น้ำพุไม่มีความกลัวสักนิด เลือกขยับเข้าไปใกล้แล้วถามเสียงอ่อย กลัวว่าตัวเองอาจจะถูกดุอีกเหมือนเมื่อตอนกลางวัน
“น้าแสงเจ็บไหม...”
“ลูกผู้ชายไม่เจ็บหรอก” พูดให้เด็กชายสบายใจ แต่กลับต้องนิ่งอึ้งเมื่อเห็นน้ำพุลงจากโซฟาแล้วเป่าบริเวณขาที่ใส่เฝือก นึกอบอุ่นขึ้นมาในทันทีจนเผยยิ้มมุมปาก
“ฟู่วๆ หายเร็วๆ นะคับ” พูดจบก็ลุกขึ้นมานั่งที่เดิม เขาเห็นอย่างนั้นค่อยยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กน้อย ก่อนสบตากับคนอายุน้อยกว่าพยายามไม่พูดเหมือนน้ำพุเด็กเกินไป ใช้เหตุผลกับคนตรงหน้าและดูเหมือนหลานจะฟังรู้เรื่องไม่ดื้อเหมือนเด็กคนอื่นที่เขานึกขยาดกับความแสบซน
ไม่รู้ว่าตอนเด็กตัวเองเป็นแบบนี้หรือเปล่า...
“หึ ขอบใจ...เรื่องตอนกลางวันน่ะ...ขอโทษที่ขึ้นเสียงใส่นะ” จากที่ตอนแรกนึกกลัวแสงอรุณ แต่เมื่อได้ยินคำขอโทษก็กลับมายิ้มกว้างได้ในทันทีจนเขาต้องยิ้มตาม ไม่รู้ว่าประโยคของตนมันจะทรงพลังมากขนาดนี้
“พุก็ขอโทษที่ทำของน้าแสงพัง” ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม เรียนรู้มารยาทจากน้าหอมมาอย่างดี เขาเห็นแล้วก็นึกเอ็นดูมากขึ้น
“งั้นก็หายกัน” ยกนิ้วก้อยยื่นไปตรงหน้าเด็กชาย
“คับ” เกี่ยวก้อยทันทีพร้อมยิ้มหัวเราะด้วยกัน อาการง่วงของน้ำพุหายเป็นปลิดทิ้ง ก่อนเสียงของหอมนวลจะดังขึ้นทำลายบทสนทนาของหนุ่มต่างวัย
“พี่แสงที่นอนเสร็จแล้ว พี่ไปอาบน้ำได้เลยนะ ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวหอมเอาลงมาให้เอง” จัดที่นอนให้เขาเรียบร้อยก็รีบขึ้นไปชั้นสองเพื่อเลือกเสื้อผ้าให้ชายหนุ่ม จึงไม่ได้ยินเสียงพึมพำที่ดังเพียงในลำคอของร่างหนา
“อือ ขอบคุณ”
ไม่เคยพูดคำนี้กับเธอเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกขอบคุณที่มีหล่อนอยู่ข้างกัน...
