๓ ยิ่งรักยิ่งเจ็บ 1
๓
ยิ่งรักยิ่งเจ็บ
ภาพตรงหน้าทำให้เธอยืนอึ้งทำอะไรไม่ได้เหมือนถูกสาปไว้ชั่วคราว เสียงในลำคอหายทำได้แค่มองดวงหน้าหล่อของคนเป็นสามีสลับกับผู้หญิงที่เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งแรก
การมีแฟนไม่ใช่เรื่องแปลกและเธอก็เข้าใจเป็นอย่างดี เพียงแค่ไม่คิดว่าเขาจะพาคนเก่ามาถึงบ้านหลังนี้ที่เธออาศัย ทั้งยังแสดงภาพแสนหวานให้เจ็บช้ำอีก
หากมองในแง่ดีเขาคงไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิงคนนี้แล้วจึงกล้าบอกอย่างตรงไปตรงมาเรื่องของเธอ
หรืออีกแง่คือต้องการใช้หล่อนเป็นเครื่องมือทำให้คนเก่าหึงหวง ไม่ว่าจะคิดทางไหนก็ไม่เป็นผลดีกับตัวเธอทั้งนั้น ลมหายใจติดขัดยามจ้องมองภาพความสนิทสนมตรงหน้า ไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นว่าเธอคือส่วนเกิน
“ไอ้แสง! แฟนเก่าบ้าบออะไร” รีบสะบัดแขนหนาออกแล้วเอามือเท้าสะเอวมองหน้าชายหนุ่มที่ยืนข้างกัน แววตาเอาเรื่องเต็มที่แต่ดูเหมือนร่างสูงจะไม่ได้สนใจสักนิด ยิ่งเห็นเธอโมโหมากเท่าไหร่ก็เหมือนจะยิ่งสนุกมากขึ้นเท่านั้น
“อ้าว ก็แฟนเก่าไง เราเคยเป็นแฟนกันเธอลืมไปแล้วเหรอ ความจำสั้นจริงๆ เลย” ย้ำความสัมพันธ์อีกครั้งให้หอมนวลที่ยืนนิ่งต้องเจ็บปวด
เฝ้ารอคอยเขากลับมาอย่างใจจดจ่อ อยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียวกับเสียงเงียบสงบที่เธอไม่ต้องการ สู้ฟังเสียงบ่นของเขาดีกว่า กระทั่งได้ยินเสียงรถคุ้นเคยก็รีบวิ่งออกมาดูด้วยความดีใจ ไม่คิดเลยว่าตัวเองต้องมาเจ็บปวดยามเห็นชายหนุ่มหวานกับคนในอดีต ที่เธอไม่มีอะไรสู้ได้เลย
แพ้ตั้งแต่ไม่ได้เป็นคนที่เขารักแล้ว…
“แฟนกันสิบชั่วโมงไม่นับ!” บอกเสียงดังฟังชัดทำให้เธอถึงกับเบิกตากว้าง ระยะเวลาเท่านั้นเรียกแฟนด้วยเหรอ หอมนวลคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป นิ่งเงียบเพื่อเก็บข้อมูลความสัมพันธ์ของสามีตนกับผู้หญิงที่บอกว่าเป็นเพื่อนเขา
เธอลองพินิจดูอีกครั้งก็พบว่าคนทั้งสองเหมือนเพื่อนกันมากกว่าแฟนจริงด้วย รอยยิ้มที่เลือนหายไปจึงกลับมาอีกครั้ง
“ฉันนับหมดแหละ” บอกเสียงดังไม่ยอมแพ้
มัสลิน โยธาการเป็นเพื่อนสนิทกับแสงอรุณตั้งแต่มัธยมศึกษาจนเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังอยู่คณะเดียวกัน เพื่อนต่างยุยงส่งเสริมให้พัฒนาความสัมพันธ์ จนวันที่ดื่มหนักจึงโดนรุ่นพี่บังคับให้เป็นแฟนกลางวงเหล้า ตื่นมาช่วงบ่ายก็โดนฝ่ายหญิงบอกเลิก กลายเป็นเรื่องขำขันเอามาเล่ากันเสมอยามพบหน้า
ส่วนความรู้สึกที่มีต่อกันไม่มีใครคิดเกินเลย เป็นเพียงเพื่อนอย่างเดียวนั้น
“เป็นเพื่อนกันค่ะ พอดีต้องมาทำธุระที่นี่เลยอยากขอนอนด้วย...” ผลักเพื่อนสนิทออกแล้วก้าวเข้ามาหาคนที่ยังยืนนิ่งไม่ได้แทรกบทสนทนาเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดตอนไหน
เหมือนไม่มีช่องว่างให้เธอได้เอ่ยเลย กำลังจะพูดก็โดนเขาขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไปนอนห้องฉันดีกว่า เดี๋ยวจะพาขึ้นไปดูห้อง ไปกัน” เข้ามากอดคอเพื่อนต่างเพศเอาไว้ ไม่ยอมให้เธอไปนอนห้องอื่นทั้งยังเสนอตัวให้นอนด้วยกันอีกต่างหาก
แต่ขณะที่พูดก็ไม่ได้มองหน้าเพื่อนเลย เอาแต่จ้องไปยังภรรยาซึ่งยืนนิ่งไม่เอ่ยอะไรสักคำราวกับเป็นใบ้ไปแล้ว
“ไม่ๆ จะนอนด้วยกันอะไร ผู้หญิงผู้ชายต้องนอนคนละห้องสิ เดี๋ยวฉันนอนกับน้อง...ชื่ออะไรเหรอคะ” ยกแขนหนาออกอีกครั้งแล้วก้าวเข้ามาใกล้คนที่ยังคงเงียบเป็นเป่าสาก เขาเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
เบื่อกับการเล่นละครเป็นคนใสซื่อของหล่อนอย่างมาก จับผู้ชายแต่งงานด้วยขนาดนี้คงไม่ใช่คนไร้เดียงสาอย่างที่พยายามแสดงออกหรอก มองแล้วขัดลูกตาเสียเหลือเกิน หรือเขามีอคติส่วนตัวกับหล่อนก็ไม่ทราบ
“หอมค่ะ หอมนวล” บอกชื่อของตัวเองแล้วยิ้มให้คนที่เพิ่งรู้จัก
“ชื่อเพราะจังเลย งั้นพี่นอนด้วยได้ไหม” พยักหน้ารับรู้เมื่อได้ยินชื่อ ดูเข้ากับเจ้าตัวทั้งยังชอบในน้ำเสียงหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอทำให้มองด้วยแววตาชื่นชน
ไม่เห็นขี้เหร่อย่างที่แสงอรุณบอกมาตลอดทางเลย ออกจะสวยกว่าที่คิดเอาไว้ ไม่แปลกใจทำไมเพื่อนของตนถึงยอมแต่งงานด้วยทั้งที่ความจริงจะปฏิเสธหรือให้เงินเพื่อปิดเรื่องก็จบแล้ว
ความสวยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจจดทะเบียนสมรสสินะ…
แต่คนปากแข็งอย่างนั้นคงไม่ยอมรับง่ายๆ หรอก ค่อยสังเกตอาการเพื่อนเอาแล้วกัน
“ไม่ได้ เธอต้องนอนห้องเดียวกับฉัน เดี๋ยวจะไปติดเชื้อของพวกเจ้าเล่ห์เพทุบายจะทำยังไง ไปนอนห้องฉันปลอดภัยกว่า” ถูกดึงกลับมาอีกครั้งพร้อมจูงมือเธอขึ้นบนห้องพร้อมกับกระเป๋าสองใบซึ่งเป็นของตนและของมัสลิน
“ปล่อยแสง ไอ้แสง!” เสียงโวยวายดังไปทั่วบ้านแต่เขาก็ไม่คิดสนใจ ลากหล่อนขึ้นมาบนห้องแล้วปิดประตูห้องนอนของตัวเองพร้อมล็อคคอเอาไว้แน่นหนา
เธอสะบัดมือเขาออกพร้อมถอนหายใจเสียงดัง ทำหน้าบึ้งก่อนจ้องแสงอรุณอย่างไม่ชอบใจ กลัวคนอื่นเข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของตน แต่คิดอีกทีก็ไม่รู้จักใครที่นี่เลยสักคน
ทว่าสิ่งที่ไม่ชอบมากกว่านั้นคือสร้างบาดแผลให้ผู้หญิงคนอื่น เพื่อนของเธอรู้สึกอย่างไรไม่ค่อยแน่ใจ แต่ค่อนข้างมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองว่าหอมนวลชอบเพื่อนของหล่อน
ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะแสงอรุณเป็นคนหล่อ ทั้งยังอัธยาศัยดี ฐานะทางบ้านก็รวยอีกต่างหาก
ผู้หญิงคนไหนบ้างจะไม่หลงรัก…ยกเว้นเธอเอาไว้คนหนึ่งแล้วกัน
“ทำอะไรของนายวะ น้องเขาหน้าเสียหมดแล้ว” ชกไหล่กว้างด้วยความหมั่นไส้ปนหงุดหงิด แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่ วางกระเป๋าของหล่อนไว้มุมเสาค่อยโยนกระเป๋าของตัวเองเข้าไปในตู้เสื้อผ้า ล้มตัวลงนอนบนเตียงที่นุ่มและหอมกรุ่นด้วยกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่ม
เขาไม่ได้สังเกตว่าบ้านเปลี่ยนไปหรือห้องของตนดูอบอุ่นขึ้น กลับมาก็ดึกแล้วจึงอยากนอนมากกว่า
“ช่างสิ ใครสนใจ” นอนมองเพดานแล้วกระดิกเท้าไปมา ก่อนนึกได้ว่ามีเพื่อนอยู่ด้วยจึงรีบลุกอย่างรวดเร็ว สุภาพบุรุษก็ต้องสละเตียงเพื่อให้สุภาพสตรีได้พักผ่อน
“เธอนอนบนเตียงเดี๋ยวฉันนอนบนพื้นเอง นั่นห้องน้ำไม่มีอะไรก็ไปซื้อเอา” ชี้ไปยังห้องน้ำแล้วลุกไปหยิบผ้าห่มผืนหนากับหมอนในตู้มาปูบนพื้น ไม่ถือสาเรื่องนอนห้องเดียวกันเพราะรู้จักกันนานจนเห็นไส้เห็นพุงหมดแล้ว แทบไม่ได้มองหล่อนเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ นึกว่าเป็นเพื่อนชาย
ร่างบางเดินไปหยิบของสำคัญในกระเป๋า พรุ่งนี้มีประชุมที่จังหวัดใกล้เคียงจึงขอร้องให้เขาไปส่งแล้วขากลับค่อยขึ้นเครื่องบินไปเมืองหลวง คืนนี้คิดจะนอนพักกับแสงอรุณหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานอยากอัพเดทชีวิตของเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อย่างการจดทะเบียนสมรส
“น้องเขาก็ดูไม่มีพิษมีภัยนะ นายจะไม่ลองเปิดใจหน่อยเหรอ ไหนๆ ก็แต่งงานจดทะเบียนสมรสกันแล้ว บางทีอาจจะได้ของดีก็ได้นะ หรือว่ายังไม่ลืมแฟนเก่า” หยิบเสื้อผ้าเพื่อเตรียมอาบน้ำ แต่ก็ยังคุยติดลมกับชายหนุ่มที่ล้มตัวนอนบนผ้าผืนหนาเป็นที่เรียบร้อย ก่อนออกจากบ้านอาบน้ำแล้วจึงไม่คิดจะอาบอีกให้เปลืองน้ำ
“เลิกเป็นชาติจนจำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร ฉันแค่ไม่ชอบวิธีการของเขา ถ้าชอบก็เข้ามาจีบตรงๆ สิวะ ไม่ใช่จับมัดมือชกแบบนี้ แล้วท่าทางก็อ่อนปวกเปียกทำเหมือนตัวเองบริสุทธิ์ เหอะ อย่างกับฉันโง่มองออกหมดนั่นแหละว่ามารยาทั้งนั้น” ได้โอกาสระบายความในใจของตัวเองหลังเก็บไว้มานานไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง
หล่อนถอนหายใจกับคำพูดของเพื่อนที่ดูอคติกับฝ่ายหญิงมากเกินไป ในสายตาของเธอที่เพิ่งเจอกับหอมนวลครั้งแรกก็ไม่เห็นว่าหญิงสาวจะเจ้ามารยาตรงไหน ดูอ่อนปวกเปียกเสียด้วยซ้ำ คงต้องมีเหตุผลบางอย่างถึงได้ทำเช่นนี้
“ปากนายเนี่ยนะ เอาหมาออกมาบ้าง” อยากเขกกบาลเพื่อนสักครั้ง อยู่ด้วยกันสองคนยังพูดไม่รักษาน้ำใจภรรยาสักนิด ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าอยู่กันสองคนจะปากดีขนาดไหน นึกสงสารหอมนวลขึ้นมาเสียแล้วสิ
