๒ ไม่เคยเป็นที่รัก 2
“อีกแค่ห้าเดือน ฉันก็เป็น อิสระแล้ว ไม่มีเธอ ในชีวิต ได้อยู่คนเดียว สบายใจ สบายใจเหมือนเดิม ตอนไหนจะไปจากฉัน สักที ไม่ได้รัก ไม่รัก...เธอ” ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินจากเขาทำให้เธอกำเบรกอย่างแรงจนคนข้างหลังไถลเข้ามาใกล้ตนมากกว่าเดิม
ประตูรั้วเปิดไว้ทำให้ขับเข้าไปจอดหน้าบ้านไม่ต้องลุกไปเปิดรั้วให้ยุ่งยาก ดวงตากลมโตมีน้ำใสคลอเบ้า แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อได้ยินว่าเขาไม่รักกัน
เธอไม่ควรคาดหวังความรักแต่แรกเพราะมีเพียงตนที่หลงรักชายหนุ่มข้างเดียว
ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยรักกันเลย...
“ถึงบ้านแล้ว พี่ค่อยๆ เดินนะ” แกะเชือกที่ผูกเราสองคนเข้าด้วยกันออก ค่อยลงจากรถโดยประคองร่างสูงเอาไว้ จากนั้นจึงพยายามพยุงเพื่อให้อีกฝ่ายเดินเข้าบ้านอย่างปลอดภัย ไม่ล้มหัวคะมำไปเสียก่อน แต่ดูเหมือนความหวังดีจะส่งไปไม่ถึง
“ไม่ต้องมายุ่ง” ปัดมือเธอออกอย่างไม่ไยดี แล้วยืนพิงผนังหน้าบ้านระหว่างรอให้หญิงสาวไขกุญแจ
เธอเปิดประตูแล้วพาอีกฝ่ายเข้ามาข้างใน คนเมาเดินโซเซจนหล่อนต้องรีบเข้ามาประคอง กลับถูกเขาผลักไสอีกรอบจนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายพูดออกมาเสียเองกลัวว่าเขาจะล้มลงแล้วลำบากต้องคอยดูแลยามเจ็บอีก
“พี่เดินจะไม่ไหวอยู่แล้วจะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง อย่าดื้อได้ไหม ปล่อยก็หน้าทิ่ม” จับแขนหนาเอาไว้แล้วพาเขาเดินขึ้นบนบ้าน เจ้าตัวยังคิดจะแกะมือของเธอออกทั้งที่เปลือกตาปิดแทบสนิท ทำได้เพียงหรี่มองภาพข้างหน้าเห็นว่าเป็นบันไดก็ก้าวเท้ากว่าจะผ่านแต่ละขั้นเล่นเอาเหนื่อยจนแทบหอบ
“ปล่อย ปล่อยดิ ไม่ทิ่ม” เดินขึ้นมาถึงชั้นสองก็สะบัดหล่อนออกในทันที คราวนี้หอมนวลยอมปล่อยไม่ยื้อเอาไว้ ผลลัพธ์คือคนเมาซวนเซจนล้มลงบนพื้น
“เหวอๆๆ” ร้องเสียงหลงตอนจะล้ม คิดจะคว้าหญิงสาวเอาไว้แต่เธอกลับยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองภาพตรงหน้าอย่างมีความสุข นึกหมั่นไส้เขาเป็นทุนเดิมจึงแอบแกล้งตอนที่ร่างหนาเมาบ้าง ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นจะจำได้หรือเปล่าว่าโดนเอาคืนเล็กน้อย
“ปล่อยทำไม จับฉันสิ!” โวยวายเสียงดังแล้วพยายามหยัดกายลุกยืนอย่างลำบาก
“พี่เอาแต่ใจ” โต้กลับบ้าง
เขาจ้องหน้าเธออย่างเอาเรื่องก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เห็นเตียงก็คิดจะโถมกายล้มตัวลงนอนทันที กลับถูกคนที่เดินตามมาคว้าคอเสื้อเอาไว้จนตาเบิกกว้าง หันมามองหล่อนอย่างรวดเร็วจนหอมนวลต้องปล่อยเขา
“จะนอนได้ยังไง เสื้อผ้าก็มีแต่กลิ่นเหล้าเต็มไปหมด ไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิค่อยมานอน” บอกด้วยความหวังดีแต่กลายเป็นว่าเขายิ่งรำคาญหล่อนมากกว่าเดิม ตะคอกใส่หญิงสาวจนร่างบางสะดุ้งโหยง
“ไม่ต้องมายุ่ง!” พูดจบก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงของตนทันที
ไม่ได้ใส่ใจว่าตอนนี้สภาพตัวเองจะเป็นอย่างไร ขอเพียงได้นอนหลังจากดื่มมาหลายชั่วโมงก็พอแล้ว สภาพตอนไปทำงานของเขาจึงดูไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่คิดใส่ใจเพราะทำงานที่นี่ไม่ต้องสนรูปลักษณ์ภายนอก ต่างจากตอนอยู่กรุงเทพฯ ทำให้เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ อยากทำอะไรก็ทำไม่ต้องสนสายตาใคร
“พี่แสง...ฟังกันหน่อยเถอะ” คิดเกลี่ยกล่อมอีกฝ่าย เขากลับลุกมาตะคอกใส่หล่อนอีกครั้ง พร้อมย้ำเตือนถึงสถานะของเรา
“ฟังทำไม เป็นแม่ฉันหรือไง เป็นแค่คนอาศัยอย่ามาสั่งเจ้าของบ้าน!” พูดจบก็ล้มตัวลงนอน หยิบหมอนข้างมากอดเอาไว้เหมือนเด็ก เธอถอนหายใจแล้วมองเขาก่อนแก้ไขความเข้าใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้แต่เหมือนเขาจะปิดกั้นไม่ยอมรับฟัง
“ไม่ได้สั่ง แค่หวังดี”
“เธอต้องการอะไรจากฉัน อยากได้เงินเหรอ...เอาเงินใช่ไหม” ลุกนั่งอีกครั้งพร้อมหยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิด ก่อนพบว่าไม่มีเงินสักบาทเพราะเขาจ่ายค่าเหล้าไปหมดแล้ว จึงขว้างกระเป๋าลงบนพื้นไม่ไยดี พร้อมตะโกนใส่เธอคล้ายเห็นหญิงสาวเป็นเครื่องระบายอารมณ์
“แต่ฉันไม่มี! ฉันไม่มีเงินเลยสักบาทมีแต่หนี้ เธอก็ทิ้งฉันแล้วไปหาไอ้เสี่ยอาธรนั่นสิ ปล่อยฉันเถอะขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปปป” โวยวายด้วยความหงุดหงิดจนคนฟังต้องปาดน้ำตาที่ไหลนองใบหน้า ก่อนเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ของเขากลับมาวางลงบนเตียง
“รอหน่อยแล้วกัน สักวันหอมจะยอมปล่อยพี่ไป” บอกด้วยความน้อยใจแล้วเดินออกจากห้อง ไม่สนใจว่าเขาจะอาบน้ำหรือเข้านอน
หัวใจของตนไม่ใช่หินที่จะทนต่อการดูถูกตลอดเวลาได้...
สิ่งแรกที่เขาทำหลังออกมาจากห้องคือกากบาทปฏิทินเพื่อนับวันรอวันจะได้หย่ากับหล่อน เดินลงมาข้างล่างได้กลิ่นหอมของอาหารก็ยิ้มกรุ่น อยากกินข้าวร้อนๆ เหมือนที่แม่ทำไว้คอยทุกครั้งยามตื่นนอน แต่เมื่อเห็นใครบางคนซึ่งกำลังคดข้าวใส่จานก็ต้องหุบยิ้มทันที
อารมณ์สุนทรีของเขาหายไปหมดเมื่อได้พบกับคนที่ไม่ชอบหน้าตั้งแต่เช้า จากวันที่ดีก็เปลี่ยนไปในทันที ถอนหายใจหนักแล้วคิดจะเดินออกจากบ้าน กลับถูกหญิงสาวพบเข้าเสียก่อนแล้วเรียกเสียงดังเพื่อรั้งเขาไว้
“พี่แสง! ไม่กินข้าวด้วยกันเหรอ” ถึงเมื่อคืนจะโดนด่าโดนไล่อย่างไร ตื่นเช้ามาทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติสำหรับเธอ ยังคงทำอาหารเช้าไว้ให้เขาพร้อมทั้งเตรียมกับข้าวใส่ปิ่นโตสำหรับมื้อเที่ยงไว้เพื่อร่างสูงโดยเฉพาะ
แต่งงานกันมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วแต่ไม่เคยได้ร่วมโต๊ะกันเลยสักครั้ง ทำอาหารไว้ก็ถูกเมินกระนั้นหล่อนก็ยังขยันทำไม่เปลี่ยนจนเป็นเขาที่หงุดหงิดกับความกระตือรือร้นของเธอ พอจะมองออกว่าอีกฝ่ายคิดจับตน
ถึงเขาแสดงออกว่าไม่รวยเธอก็ไม่ยอมทิ้งกันไปไหน ไม่รู้ว่าจะหน้าด้านอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่
“บอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากร่วมโต๊ะกับเธอ” บอกตามความจริงไม่คิดรักษาน้ำใจกันสักนิด ก้าวเท้าเพื่อออกจากบ้านก็โดนเธอเดินมาดักหน้าแล้วยัดปิ่นโตใส่มือเขา
“ถ้าอย่างนั้นห่อไปกินที่อำเภอไหม หอมเตรียมไว้ให้แล้ว...” ยิ้มกว้างสบดวงตาคมซึ่งทำให้คนมองยิ่งรังเกียจมากกว่าเดิม เขาไม่ยอมรับของจากเธอทั้งยังยัดใส่มือคืนหอมนวล ถึงท้องจะร้องด้วยความหิวก็ไม่อยากกินของที่หล่อนเป็นคนทำ
ไม่มีทางแตะเป็นอันขาด...แม้กลิ่นจะหอมยั่วยวนมากเพียงใดก็ตาม
“ไม่ต้อง เอายาเสน่ห์ใส่ฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ของที่เธอทำฉันไม่อยากกิน เก็บเอาไว้กินคนเดียวเถอะ” ทำตาขวางใส่เธอแล้วคิดจะเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง บ้านพักกับที่ว่าการอำเภออยู่ห่างกันแค่หนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น การเดินทางค่อนข้างสะดวกจึงไม่ได้ใช้รถยนต์เลยสักครั้ง
คนฟังนึกสะท้านในอกจนไม่อาจเก็บความเสียใจไว้คนเดียว เอ่ยตัดพ้อเขาที่ไม่เคยให้โอกาสกันเลยสักครั้ง ความสัมพันธ์ที่แย่อยู่แล้วยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิม การพูดคุยของเราไม่เคยจบลงด้วยดีเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนเธอเริ่มน้อยใจ
“พี่แสง...ยังไงเราก็ร่วมหอลงโรงกันแล้วพี่อย่าผลักไสหอมนักได้ไหม แค่ห้าเดือนมันคงไม่นานเกินไปหรอก อย่างน้อยก็อยู่อย่างพี่น้อง...” ร่างหนาหันกลับมาหาเธอแล้วสวนกลับทั้งที่หญิงสาวยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ
“อยากเป็นพี่น้องแล้วแต่งงานทำไมตั้งแต่แรก อยากเป็นพี่น้องก็บอกสิจะเป็นให้เลย” สองสายตามองกันนิ่งไม่มีใครยอม ก่อนเธอจะผินหน้าหลบกลัวเขาเห็นว่าตนกำลังอ่อนแอ คล้ายว่าน้ำตาจะไหลออกมาอีกแล้ว
