๑ คนน่ารังเกียจ 3
ทว่าเขาก็ไม่ได้โกหกเสียหน่อย มารดาเป็นแม่บ้านที่ทำงานสังคมแก้เบื่อ ส่วนบิดาก็ขายยางรถยนต์ไปทั่วโลก เพียงแค่ไม่ได้ขยายความให้เข้าใจเท่านั้นเอง
“ไม่น่าเป็นได้แค่คนจน คงหวังพึ่งลูกที่เป็นข้าราชการแต่ลูกก็จนไม่ต่างกัน...เก็บเสื้อผ้าออกไปจากบ้านได้แล้ว ไปอยู่ที่บ้านผัวเลยไป” หงุดหงิดลูกเขยแล้วก็มาลงที่ลูกเลี้ยง ซึ่งเธอก็รอคำนี้เหมือนกันจึงตอบรับอย่างไม่ลังเลสักนิด
“จ้ะ!”
บอกให้ร่างสูงนั่งรอข้างนอกส่วนตนก็ไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นซึ่งมีไม่เยอะ ขนรอบเดียวก็หมดจึงได้ล่ำลามารดาที่เลี้ยงมาแต่กลับไม่ค่อยมีความผูกพันต่อกันเท่าไหร่ ก่อนออกจากรั้วบ้านก็พบหลานชายที่เพิ่งกลับถึงบ้านหลังจากไปเล่นสนุกกับกลุ่มเพื่อน
“น้าหอมไปไหน” เข้ามากอดขาน้าเอาไว้ทันที
เด็กชายเป็นลูกของพี่สาว ซึ่งเป็นลูกติดแม่เลี้ยงไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่พวกเราก็ไม่ได้โกรธแค้นหรือชิงชัง มีความเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน นอกจากนั้นยังมีน้องสาวที่ตอนนี้ไปเรียนอยู่เมืองหลวง ลูกที่พ่อกับแม่รักนักหนาตามใจหมดทุกอย่าง เรียนที่ดีๆ ได้ใช้ของดีๆ ต่างจากพวกพี่
จนตอนนี้ไปร่ำเรียนในกรุงเทพฯ ได้สองปีไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลยสักครั้ง...
“น้าจะไปอยู่อีกบ้าน เอาไว้น้าจะมาเล่นด้วยนะ” ยกมือลูบหัวมนด้วยความเอ็นดู แต่เสียงของนางรมณีก็เอ่ยไล่หลังจนเธอสะดุ้ง
“ไม่ต้องมา! ถ้ามีเงินค่อยมา” ใบหน้าหวานเจื่อนลงเล็กน้อย กระนั้นก็ยังคงยิ้มให้หลานเหมือนเดิม
“ไปแล้วนะแม่ น้าไปก่อนนะพุ” ลามารดากับหนุ่มน้อยวัยสามขวบที่เธอเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก ค่อยขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ของสามีในนามที่ขับออกจากบ้านซึ่งหล่อนอาศัยแต่เด็ก มองหลานชายกับบ้านหลังน้อยจนลับสายตา
ก่อนที่เขาจะขับรถมาจอดยังบ้านสองปูนสองชั้นทาด้วยสีขาวทั้งหลังซึ่งเธอมักจะมองด้วยความชื่นชมอยู่เสมอ ขับผ่านทีไรก็อยากจับจองเป็นเจ้าของเพียงแต่ให้เช่าในราคาที่แพงเกินฐานะของตน ไม่คิดเลยว่าแสงอรุณจะอยู่ที่นี่
แค่ค่าเช่าบ้านก็เดือนล่ะแปดพันแล้ว ไม่รู้ชายหนุ่มเอาเงินที่ไหนกินอยู่ เขาคงจะลำบากน่าดู...
เงินห้าหมื่นของชายหนุ่มก็ลอยหายไปอยู่ในมือมารดาของหล่อนแล้ว ยิ่งรู้สึกผิดกับเขามากกว่าเดิมจึงคิดจะหาเงินมาคืนให้เร็วที่สุด แต่ด้วยจำนวนเงินไม่น้อยเลย ลำพังเงินเดือนของหล่อนก็คงต้องเก็บอีกหลายเดือนกว่าจะได้
คิดด้วยความหวั่นวิตกแล้วก้าวเข้ามาในบ้าน ทางด้านหน้ามีสวนขนาดย่อมซึ่งไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร หญ้าก็เหลืองกรอบเพราะไม่ได้รับการดูแลที่ดี ยิ่งเข้ามาในบ้านแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ นอกจากโซฟากับโทรทัศน์ที่ดูแล้วคงไม่ได้ใช้งาน
วางกระเป๋าลงบนพื้นแล้วเดินตามร่างสูงขึ้นไปด้านบน มีประตูสองบ้านที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม แต่ไม่ทันที่จะได้สำรวจก็ต้องสะดุ้งกับเสียงเข้มที่เอ่ยขึ้น
“สามเดือน” ประโยคของเขาสร้างความฉงนแก่คนฟังเป็นอย่างยิ่ง
“คะ”
ร่างสูงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ยอมเข้าใจความนัย จึงเดินไปเปิดปฏิทินที่แขวนไว้ข้างฝาผนัง พร้อมกับหยิบปากกาที่วางไว้แถวนั้นมาถือ พร้อมอธิบายให้เธอฟังเพื่อความชัดเจน
“ฉันให้เธออยู่ที่นี่ได้แค่สามเดือนแล้วเราจะหย่ากันทันที เรื่องเงินอย่างที่เห็นว่าฉันก็จนเหมือนกันคงไม่มีเงินให้เธอ แต่ค่าน้ำค่าไฟค่าอาหารฉันจัดการเอง ส่วนเธอช่วยอยู่เงียบๆ แบบคนอาศัย ฉันกลับมาบ้านต้องไม่เห็นหน้าเธอ ถ้าจะให้ดีก็อยู่แบบคนไร้ตัวตน” ย้ำชัดถึงชีวิตคู่ของเรา ถือว่าถอยให้เธอมากพอแล้ว
ไม่สนใจว่าต่อจากนี้หญิงสาวจะกลายเป็นแม่ม่ายเมื่อหย่าขาด ปฏิเสธการจดทะเบียนสมรสแต่แรกกลับเป็นเธอที่ยืนกรานจะแต่ง ช่วยไม่ได้ที่ต้องกลายมาเป็นคนรองรับอารมณ์ของชายอารมณ์ร้อนเช่นตน
ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็พร้อมหย่าทุกเมื่อ!
“หนึ่งปีได้ไหมคะ” ต่อรองกับเขาพร้อมคำนวณระยะเวลาที่จะสามารถหาเงินมาคืนชายหนุ่มได้ ทั้งเธอยังคิดจะอยู่บ้านนี้อย่างคนอาศัย อำนวยความสะดวกแก่ชายหนุ่มทุกอย่าง ถือเขาเป็นผู้มีพระคุณฉุดตนขึ้นมาจากนรก
มองดวงตาคมแล้วต่อรอง แต่ร่างสูงกลับคิดว่าหนึ่งปีนานเกินไป เขาจึงตัดสินใจกำหนดเวลาชัดเจนเพื่อไม่ให้เธอได้ร้องขออีก
“ห้าเดือน! ฉันให้มากสุดได้แค่ห้าเดือนแล้วเราไปหย่ากันทันที” พูดจบก็จัดการกากบาทที่ปฏิทิน เพื่อเตือนความจำว่าอีกไม่นานวันหย่าของเรากำลังจะมาถึงแล้ว
“กากบาทวันนี้วันแรก อีกห้าเดือนไปหย่ากันที่อำเภอ” ย้ำชัดต่อหน้าเธออีกครั้ง หอมนวลทราบเป็นอย่างดีจึงพยักหน้า สงสัยว่าต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อหาเงินมาคืนคนตรงหน้า สายตาค่อยมองไปยังประตูด้วยความกังวล
เธอต้องนอนกับเขาหรือเปล่านะ
“แต่ตอนนี้เรายังเป็นสามีภรรยา...” พูดไม่จบก็เจอสายตาพิฆาตของคนฟัง
“บอกแล้วไงว่าให้เธออยู่แบบคนอาศัย ห้ามข้องเกี่ยวกัน...นั่นห้องของเธอ” ชี้ไปยังห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวชะงักครู่หนึ่งเพราะรู้ดีว่าห้องนั้นฝุ่นเยอะเพียงใด ตอนที่พาคนเมากลับมาบ้านเพื่อเริ่มละครโรงใหญ่ก็เปิดดูทั้งสองห้องเพื่อหาห้องนอนของเขา
เหมือนชายหนุ่มจะกลั่นแกล้งกัน แต่รู้ดีว่าตนเป็นแค่คนอาศัยทั้งยังเป็นคนผิด จึงไม่อาจโต้แย้งได้ อย่างไรก็มีห้องนอนเป็นของตัวเอง ดีกว่าอยู่บ้านเก่าที่ต้องใช้ห้องร่วมกับน้องสาว เพิ่งได้อยู่คนเดียวไม่กี่ปีมานี่เอง
“ค่ะ”
พูดจบก็มองแผ่นหลังกว้างที่เดินเข้าห้องนอนของตน ส่วนเธอก็ถือกระเป๋าไปยังห้องตรงข้าม
แค่เปิดประตูฝุ่นก็คลุ้งแล้ว จึงต้องวางกระเป๋าไว้ข้างนอกแล้วลงไปชั้นล่างเพื่อหาอุปกรณ์ทำความสะอาด เธอไม่อาจนอนในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นได้ ยังดีที่มีเบาะนุ่มให้นอนถึงจะไม่มีเตียงก็ตาม ของบางอย่างก็ทำเป็นชั้นวางได้ ขาดเหลือสิ่งใดค่อยซื้อเพิ่ม
อย่างน้อยก็ได้อาศัยในบ้านที่เมื่อก่อนทำได้แค่มอง ต้องขอบคุณเขาที่นำพาความสุขมาให้เธอ
พ้นจากเสี่ยอาธรมาได้...ก็ถือว่าเป็นโชคดียิ่งแล้ว
“ซวยอะไรขนาดนี้วะไอ้แสง โว๊ย!” ปิดประตูห้องแล้วร้องโวยวายด้วยความหงุดหงิด
นั่งลงบนเตียงก่อนล้มตัวลงนอน ยกมือก่ายหน้าผากคิดหนักกับเหตุการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญ ไม่คิดเลยว่าจะต้องจดทะเบียนสมรสกับคนที่ไม่มีใจเสน่หาทั้งยังเพิ่งเคยพบหน้าไม่กี่ครั้ง แบบนี้ต่างอะไรกับการคลุมถุงชน
แต่ยังโชคดีที่คนทางบ้านไม่ทราบ อีกทั้งไม่มีใครทราบภูมิหลังของเขาเรื่องจึงไม่เข้าหูมารดา ไม่เช่นนั้นตนคงแย่เป็นแน่ ยังถือว่าตัวเองโชคดีในเรื่องนี้ ถอนหายใจโล่งอกที่เรื่องจดทะเบียนสมรสรู้กันแค่คนในอำเภอ อีกไม่นานหลังจากหย่าขาดก็ต่างคนต่างไปคงไม่ได้เจอกันอีก
ระหว่างที่กำลังจมอยู่ในความคิดก็มีเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมา เห็นชื่อปลายสายก็ถึงกับสะดุ้ง รีบลุกนั่งบนเตียงแล้วรับสายกรอกเสียงสดใสทักทาย
“สวัสดีครับแม่” หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ กลัวอย่างยิ่งว่ามารดาจะทราบเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่
‘เป็นยังไงบ้าง ไม่โทรหาแม่เลยนะ’
